หากว่ากันในมุมหนึ่งแล้ว เขาเห็นซ่งเหยี่ยนชิงมาตั้งแต่เล็กจนโต ซ่งเหยี่ยนชิงไม่ชอบเรียนหนังสือตั้งแต่เด็ก บังเอิญไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์พอดี ถ้าหากตระกูลซ่งบีบบังคับให้ซงเหยี่ยนชิงร่ำเรียนหนังสือ เขาก็จะหลบไปอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทันที ดังนั้นพื้นฐานของซ่งเหยี่ยนชิงเป็นอย่างไรเขาย่อมทราบดี ด้วยภูมิหลังของตระกูลซ่ง การจะเสาะหาคนมาเขียนกลอนให้สักสองสามบทนั้นมิใช่เรื่องยากเย็นอันใดเลย
ทันทีที่เขาเห็นบทกลอนในมือ เขาก็มั่นใจว่ามิใช่กลอนที่แต่งโดยซ่งเหยี่ยนชิง เพียงแต่คนก็ตายไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องพูดอะไรอีก แล้วก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องทำให้ขายหน้าต่อหน้าคนนอกด้วย
แต่จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลอนใดก็ตามแต่ เขาก็รู้สึกนับถือในตัวลู่เซิ่งจงคนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะใช้ร้านเครื่องเขียนเช่นนี้เป็นจุดเริ่มต้นของแผนการได้ ตอนแรกยังนึกว่าอีกฝ่ายกำลังหลอกตนอยู่ ตอนนี้พอคิดดูดีๆ ก็พบว่าเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า ซางเฉาจงมีกำลังคนมากมายปานนั้น พวกเขาย่อมต้องมีการใช้เครื่องเขียนอย่างแน่นอน หากลงมือจากจุดนี้ก็จะไม่สะดุดตาและไม่ดึงดูดความสนใจจากคนอื่นด้วย เรียกได้ว่าเจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง แล้วตอนนี้ฝ่ายนั้นก็มาหาอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ มิใช่หรือ
“ยืมบทกลอนของซ่งเหยี่ยนชิงมาใช้ ล้างแค้นให้เขาได้ ก็นับว่าเป็นกงเกวียนกำเกวียนกระมัง หวังว่าดวงวิญญาณของซ่งเหยี่ยนชิงที่อยู่บนสวรรค์จะช่วยคุ้มครองพวกเราด้วย!” ลู่เซิ่งจงถอนหายใจ จากนั้นก็เอ่ยกับหลิวจื่ออวี๋ว่า “เรื่องนี้ไม่อาจรีบร้อนได้ มียอดฝีมือจากสำนักหยกสวรรค์อยู่ ไม่มีวิธีที่เร็วไปกว่านี้แล้ว หวังว่าหลิวซยงจะอดทนรอหน่อย”
หลิวจื่ออวี๋พยักหน้ารับ “ได้! จัดการทุกอย่างตามแผนการของลู่ซยงแล้วกัน!” สาเหตุที่เปลี่ยนแปลงท่าที ย่อมเป็นเพราะมองเห็นความสามารถของลู่เซิ่งจงแล้ว การที่มีคนมาซื้อของเมื่อครู่นี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าวิธีของลู่เซิ่งจงได้ผลจริงๆ
ลู่เซิ่งจงประสานมือขอบคุณที่เขายอมเข้าใจ จากนั้นเอ่ยถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าครั้งนี้ทางหลิวซยงมากันกี่คน ข้าจะได้วางแผนได้ถูก”
หลิวจื่ออวี๋กล่าวตอบ “ยังมีศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงอีกคู่หนึ่ง ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทอง เดี๋ยวพอถึงเวลาที่ควรจะปรากฏตัว พวกเขาก็จะปรากฏตัวเอง”
ลู่เซิ่งจงลอบรำพัน มีอำนาจมีอิทธิพลนี่มันช่างดีจริงๆ เพื่อล้างแค้นให้ทายาทที่ไม่เอาไหนคนหนึ่งของตระกูลซ่งแล้ว คิดไม่ถึงว่าสำนักเซียนสถิตจะส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองมาถึงสองคน
……
ภายในคฤหาสน์กลางเขา ใต้ต้นไม้เก่าแก่แข็งแรงต้นหนึ่ง หนิวโหย่วเต้าใช้มือหนึ่งค้ำกระบี่ยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าท่าทางเผยให้เห็นถึงความรู้สึกเกียจคร้าน เป็นความเกียจคร้าน ทว่ามิใช่เฉื่อยชา ทั้งสองมีความต่างกันในด้านของจิตใจ เขามองคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังสาละวนทำงานอยู่ใต้ชะง่อนผาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ใต้ชะง่อนผาเป็นพื้นที่รกร้างผืนหนึ่ง หยวนกังสั่งการให้เหล่าสมณะวัดหนานซานหักร้างถางพงสร้างพื้นที่เพาะปลูก สอนเหล่าสมณะวัดหนานซานปลูกพืชผัก เหล่าสมณะวัดหนานซานล้วนปลูกผักเป็น แต่เห็นได้ชัดว่าแนวคิดในการเพาะปลูกของหยวนกังนั้นล้ำหน้ากว่า หนิวโหย่วเต้านึกสงสัยอยู่บ้างว่าสักวันหยวนกังจะสร้างเรือนกระจกปลูกผักขึ้นมาหรือเปล่า
ระหว่างเดินทาง หนิวโหย่วเต้าให้หยวนกังรวบรวมเครื่องปรุงรสสำหรับประกอบอาหารมาจำนวนหนึ่ง แต่หยวนกังได้รวบรวมเมล็ดพันธุ์ผักมาด้วยไม่น้อยเลย พอมาถึงอำเภอชางหลูก็สั่งให้คนไปซื้อเมล็ดพันธุ์มาเพิ่มอีกเล็กน้อย
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่หนิวโหย่วเต้ารู้ดีว่าหยวนกังมีปัญหาส่วนตัวอย่างหนึ่ง นั่นคือไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ชอบปลูกผัก หยวนกังไม่ชอบนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร บอกว่าชอบทำเรื่องที่มีประโยชน์มากกว่า ยกตัวอย่างเช่นการปลูกผัก อย่างน้อยหยวนกังก็รู้สึกว่าการปลูกผักน่าสนใจกว่าการนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร หนิวโหย่วเต้าหมดหนทางจะอธิบายถึงความแตกต่างทางคุณค่าระหว่างทั้งสองสิ่ง ต่างคนต่างมีมุมมองและแนวคิดต่างกันไป เขาเองก็ไม่มีทางบังคับให้หยวนกังทำเรื่องที่ไม่ชอบด้วย
แต่แน่นอน การปลูกผักก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาอันใด หนิวโหย่วเต้าเองก็รู้เช่นกันว่านั่นคือนิสัยที่ติดตัวมาจากการใช้ชีวิตกับผองพี่น้องเมื่อในอดีตของหยวนกัง กลุ่มพี่น้องที่หยวนกังเคยอยู่ด้วยเหล่านั้นชื่นชอบเรื่องนี้
เพียงแต่การปลูกผักต้องใช้เวลา นับตั้งแต่ปลูกลงไปจนกระทั่งงอกเงยขึ้นมาจะต้องมีช่วงเวลาในการเติบโต!
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาจะไปจากที่นี่ รู้ว่าเขาจะไปเก็บตัวบำเพ็ญเพียร แต่หยวนกังก็ยังพาเหล่าสมณะวัดหนานซานไปปลูกผักอีก หนิวโหย่วเต้าได้แต่แอบถอนใจ เห็นได้ชัดว่าหยวนกังยังคิดว่าพวกเขาจะกลับมาอีก อย่างน้อยในมุมหนึ่งมันก็แสดงให้เห็นว่าลึกๆ แล้วหยวนกังไม่อยากไปจากที่นี่ นี่ทำให้เขาจนปัญญาเหลือเกิน
หนิวโหย่วเต้ารู้สึกว่าเขาไม่สามารถทำความเข้าใจในความคิดของคนบางคนที่มีต่อเรื่องบางอย่างได้ ไม่ทราบว่าปัญหาอยู่ที่ตนหรืออยู่ที่คนอื่นกันแน่ อย่างเช่นเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานที่อยู่ตรงหน้า เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทำเรื่องชั่วร้ายไปไม่น้อย แต่ขอเพียงมีเวลาว่าง ทั้งการทำวัตรเช้าเย็นตามวิถีชีวิตประจำวันในวัดล้วนแต่ไม่เคยขาดตกบกพร่องไปเลย ทั้งการเคาะปลาไม้สวดมนต์ ทั้งการตีระฆังยามรุ่งและการลั่นกลองยามเย็นก็ล้วนคงไว้เสมอมา ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นเพราะถูกหยวนฟางหล่อหลอมมาเป็นระยะเวลานานหรือเปล่า ดูเหมือนสมณะทุกรูปล้วนคิดถึงแต่เรื่องการฟื้นฟูวัดหนานซานให้รุ่งเรือง เสมือนเป็นความศรัทธาของทุกคน
ด้านหนึ่งก็ฆ่าคนวางเพลิง แต่อีกด้านหนึ่งกลับไม่ยอมกินเนื้อ! จุดนี้ทำให้หนิวโหย่วเต้ารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ประสาทหรือเปล่าเนี่ย คิดไม่ถึงเลยว่าปีศาจหมีตัวหนึ่งจะมุ่งมั่นรับใช้พุทธศาสนา เอาแต่พูดพร่ำวาดหวังว่าจะสร้างวัดหนานซานที่สง่างามโอ่อ่าอยู่ไม่ขาดปาก แสดงถึงความศรัทธาที่มีต่อพุทธองค์
คิดไม่ถึงว่าปีศาจหมีตัวหนึ่งกลับเป็นคนคอยกล่อมเกลาเหล่าสมณะไม่ให้ลืมเลือนพุทธองค์ บ้าบอไปหมดแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?
ระหกระเหินเดินทางมาไกล ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พักผ่อน ทันทีที่ทุกคนได้หยุดอยู่กับที่ ก็ดูเหมือนว่าปัญหาต่างๆ ของแต่ละคนจะพากันปรากฏออกมาให้เห็น ซ้ำด้านนอกยังมีชายติดอ่างที่คุกเข่าเฝ้าคอยมาเป็นเวลาหลายวันอยู่อีกคนหนึ่ง ช่างน่าหงุดหงิดนัก
…..
บานหน้าต่างเปิดอ้า ประตูเองก็เปิดกว้าง เพื่อเป็นการบอกว่าชายหญิงที่อยู่กันตามลำพังภายในห้องมีความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้กระทำเรื่องใดที่ไม่ดีงาม
หนิวโหย่วเต้านั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่ตั้งอยู่ตรงข้ามหน้าต่าง มองซางซูชิงที่กำลังเกล้าผมให้ตนอยู่ในคันฉ่อง
หลังจากมีครั้งแรกเกิดขึ้น ทุกๆ เช้าสตรีนางนี้จะมาปรากฏตัวหน้าประตูเรือนของเขาในเวลาเดิม เกือบทำให้หนิวโหย่วเต้าเข้าใจผิดคิดว่าท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ชอบทำงานของสาวใช้
แต่พอผ่านไปหลายวัน ตัวหนิวโหย่วเต้าก็แทบจะชินไปแล้ว เคยชินจนเกือบนึกว่ามีสาวใช้คนหนึ่งคอยติดตามปรนนิบัติ
เขาถึงขนาดนึกสงสัยว่าสตรีผู้นี้ชอบพอตนใช่หรือไม่? เพราะหากว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ เขาย่อมปฏิเสธอย่างเด็ดขาด แม้จะมิใช่การตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่รูปโฉมเจ้าก็ชวนให้คนตกใจจริงๆ นี่นา จุดนี้มันยากจะยอมรับได้จริงๆ
แต่ในใจเขาทราบดี ที่นางเสนอตัวมาเอาอกเอาใจนั้นมิได้มีความเกี่ยวข้องกับการชอบหรือไม่ชอบตนเลย มันเป็นเพียงกลวิธีลดตัวเพื่อรั้งเขาเอาไว้เท่านั้น
น้ำใจของอีกฝ่าย ตนกลับมองทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ นี่ก็คือความน่ารำคาญของการที่มองอะไรๆ ออกอย่างชัดเจน ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำตัวเลอะเลือน ไม่ปฏิเสธอันใด เลี่ยงไม่ให้คนเขาคิดมากไป
“เต้าเหยี่ย ตอนนี้เตรียมการไว้พอสมควรแล้ว พรุ่งนี้สามารถเดินทางไปยังเขตลับได้” ซางซูชิงเอ่ยเตือน
“โอ้!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ได้! กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงเตรียมตัวมาพร้อมเผื่อถูกเขาซักถามอันใด ผู้ใดจะทราบว่าปฏิกิริยาของอีกฝ่ายจะเรียบง่ายเช่นนี้ จึงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย บทกลอนที่ท่านแต่งยอดเยี่ยมนัก”
อีกแล้วหรือ? หนิวโหย่วเต้ายิ้มเจื่อน “กระหม่อมแต่งกลอนอันใดไม่เป็นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงก็มิได้โต้แย้งเขา เพียงกล่าวไปว่า “เต้าเหยี่ยเข้าใจผิดแล้ว ทางข้าได้กลอนใหม่มาบทหนึ่ง อยากรบกวนเต้าเหยี่ยช่วยติชมดูหน่อยว่าแต่งได้เป็นอย่างไรบ้าง”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อว่า “เช่นนั้นคงต้องล้างหูรอฟังแล้ว”
ซางซูชิงมิได้หยุดมือ หลังจากเรียบเรียงอยู่ครู่หนึ่ง น้ำเสียงที่นุ่มนวลอ่อนหวานก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ลองได้เยือนสมุทรไซร้ นทีใดมิเทียบทาน หากได้ยลเขาอูซาน เมฆาครามล้วนหมองมัว…” นางชะงักไปเล็กน้อย เพราะนางสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายที่นั่งตัวตรงของหนิวโหย่วเต้าสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่เลว เชิญว่าต่อเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางซูชิงเริ่มท่องอีกครั้ง “ลองได้เยือนสมุทรไซร้ นทีใดมิเทียบทาน หากได้ยลเขาอูซาน เมฆาครามล้วนหมองมัว แม้นยืนกลางบุปผชาติ ก็ยังคร้านจะเหลียวดู หนึ่งเพราะใจมุ่งสู่ อีกหนึ่งเพราะคะนึงนาง…เต้าเหยี่ย กลอนบทนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“กลอนดี เป็นกลอนดี ไม่เลวเลยพ่ะย่ะค่ะ” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยชมยกใหญ่ จากนั้นจ้องมองสตรีในคันฉ่องพลางเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าเขาอูซานในบทกลอนอยู่ที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงกล่าวตอบ “ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่นี้มาก่อน แต่ว่าใต้หล้ามีขุนเขามากมาย คาดว่าคงเป็นสถานที่ที่ผู้แต่งกลอนเคยไปเที่ยวชมมาก่อน แต่ทิวทัศน์ที่บรรยายอยู่ในบทกลอนกลับทำให้ข้าอยากไปเยือนดูสักครา วันหลังถ้ามีเวลาคงต้องไปขอคำชี้แนะจากผู้แต่งสักหน่อย เอาไว้ทราบสถานที่แน่ชัดแล้วค่อยนำมาบอกเต้าเหยี่ยก็ยังไม่สาย”
หนิวโหย่วเต้าร้องอ้อ เอ่ยถามต่อ “มีเวลาไปขอคำชี้แนะอย่างนั้นหรือ? หรือว่าผู้แต่งกลอนก็อยู่ในอำเภอชางหลูด้วยพ่ะย่ะค่ะ?”
“ถูกต้อง! บทกลอนถูกสอดรวมอยู่ในอุปกรณ์เครื่องเขียนที่จัดซื้อมา…” ซางซูชิงบอกเล่ารายละเอียดที่ได้บทกลอนมา เอ่ยด้วยความทอดถอนใจเป็นอย่างมากว่า “กลอนดีๆ เช่นนี้ข้าย่อมต้องสอบถามถึงที่มา พอถามถึงได้ทราบว่าเป็นเถ้าแก่ร้านขายเครื่องเขียนแห่งหนึ่งในอำเภอที่ชื่อว่า ‘หมึกวิเวก’ เป็นผู้แต่งขึ้นมา คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในอำเภอเล็กๆ เช่นนี้จะมีบัณฑิตผู้ทรงภูมิเช่นนี้อยู่ด้วย ต้องหาเวลาไปขอคำชี้แนะเสียแล้ว”
“เป็นบัณฑิตผู้ทรงภูมิจริงๆ ถ้ามีโอกาสกระหม่อมเองก็อยากจะทำความรู้จักสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” หนิวโหย่วเต้าแสดงท่าทีชื่นชม nᴏveʟɢu.ᴄᴏᴍ
หลังจากเกล้าผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้า จากนั้นหยิบกระบี่ที่วางพิงอยู่ด้านข้างมาถือไว้ เดินไปส่งซางซูชิงที่ประตูด้วยตัวเอง
ยามที่เดินไปถึงประตูเรือนด้านนอก จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยขึ้นมา “ท่านหญิง เรื่องเดินทางไปเขตลับเลื่อนออกไปสักระยะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? จู่ๆ กระหม่อมก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ ไม่ทราบว่าสะดวกเปลี่ยนเวลาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงงุนงงเล็กน้อย แต่ยังคงพยักหน้ารับพลางเอ่ยว่า “ไม่มีปัญหา เอาไว้เมื่อถึงเวลาที่เต้าเหยี่ยต้องการเก็บตัวแล้วค่อยว่ากันก็ได้” จากนั้นก็ค้อมคำนับอำลา
หลังเห็นนางจากไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็หันกลับมา เดินไปหาหยวนกังที่นั่งเช็ดมีดสั้นอยู่ในศาลา ยื่นฝักกระบี่เขี่ยเท้าหยวนกังเล็กน้อย
หยวนกังเงยหน้ามอง รอให้เขาพูด
หนิวโหย่วเต้ากล่าวอย่างเรียบเฉย “เมื่อกี้ฟังกลอนมา นายอยากฟังหน่อยไหม?”
หยวนกังไม่ตอบ ก้มหน้าเช็ดถูมีดสั้นต่อไป ท่าทางคล้ายสื่อว่าท่านจะพูดหรือไม่พูดก็แล้วแต่
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ “ลองได้เยือนสมุทรไซร้ นทีใดมิเทียบทาน หากได้ยลเขาอูซาน เมฆาครามล้วนหมองมัว แม้นยืนกลางบุปผชาติ ก็ยังคร้านจะเหลียวดู หนึ่งเพราะใจมุ่งสู่ อีกหนึ่งเพราะคะนึงนาง…กลอนบทนี้เป็นยังไงบ้าง?”
หยวนกังไม่แม้แต่จ
ะเงยหน้าขึ้นมา เพียงแต่มือที่ขยับเช็ดถูอยู่หยุดชะงักลงเล็กน้อย “คุณว่างมากหรือไง ไม่มีอะไรทำเหรอ?”
ถึงแม้เขาจะไม่แตกฉานในโบราณคดีเหมือนหนิวโหย่วเต้า แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ว่ากระทั่งกลอนบทนี้ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ดีร้ายอย่างไรเขาก็คลุกคลีอยู่ในวงการโบราณคดีมานานหลายปี
หนิวโหย่วเต้าหลุบตามองเขา “เมื่อกี้ท่านหญิงมาท่องให้ฉันฟัง ฉันไม่เคยท่องให้เธอฟังมาก่อน”
หยวนกังผงะไป ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จากนั้นกล่าวว่า “คุณก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนที่ชอบแสร้งทำตัวเป็นผู้ดีมีความรู้” ความหมายในคำพูดคือกำลังบอกว่าตนไม่เคยเอากลอนบทนี้ไปท่องให้ท่านหญิงฟัง
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เรื่องนี้ชักจะน่าสนุกแล้วสิ ท่านหญิงบอกว่าเถ้าแก่ร้านขายเครื่องเขียนร้านหนึ่งในตัวอำเภอแต่งกลอนบทนี้ขึ้นมา หรือว่านอกจากพวกเราแล้วยังมีคนอื่นที่ข้ามภพมาโลกนี้เหมือนกัน? เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามาปรากฏตัวในอำเภอชางหลูเหมือนกัน แบบนั้นก็ออกจะบังเอิญเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
หยวนกังสงสัยขึ้นมา “คุณแน่ใจนะว่าไม่เคยท่องกลอนบทนี้ให้คนอื่นฟัง?”
“ถามถูกประเด็นแล้ว!” หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ หันหลัง สายตาทอดมองออกไป “ฉันเคยท่องกลอนบทนี้ให้คนๆ หนึ่งฟัง แต่คนๆ นั้นตายไปแล้ว ถูกนายฆ่าทิ้งที่วัดหนานซาน คนๆ นั้นคือซ่งเหยี่ยนชิง!”
มีความเกี่ยวข้องกับซ่งเหยี่ยนชิง อีกทั้งยังปรากฏขึ้นในอำเภอชางหลู ไม่จำเป็นต้องเดาให้มากความแล้วว่าพุ่งเป้ามาหาใคร! หยวนกังสอดมีดสั้นในมือกลับเข้าฝักตรงต้นขา จากนั้นลุกขึ้นยืน จ้องมองดูเขา
“ร้านชื่อ ‘หมึกวิเวก’ ไปตรวจสอบดูหน่อย” หนิวโหย่วเต้าที่หันหลังอยู่เอ่ยเรียบๆ ขึ้นมา
หยวนกังไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ก้าวอาดๆ ออกไปทันที