📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 8

บทที่ 8 - วันเกิดของหญิงสาว
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“สันเขามารดาภูตผีมีซากศพหยินหกสมบูรณ์ดำรงอยู่…”

“เช่นนี้ก็น่าจะมีชิ้นส่วนชีพจรวิญญาณหยินฝังอยู่ที่นั่น!”

“มีเพียงเหตุนี้เท่านั้นที่เหล่าภูตผีในสันเขามารดาภูตผีจะกลายเป็นซากศพหยินหกสมบูรณ์ได้”

“ในเก้ามหาแดนดินชีพจรวิญญาณหยินเป็นของธรรมดา แต่ในอาณาจักรโจวที่มีปราณวิญญาณน้อย มันจึงเป็นของหายาก…”

ขณะคิดถึงเรื่องนี้ ซูอี้ก็เดินตรงไปเมืองกว่างหลิงเลียบลำแม่น้ำต้าฉาง

“ขอบเขตที่สามของวิถียุทธ์ ขอบเขตหลอมกำเนิด จำเป็นต้องบ่มเพาะอวัยวะภายในทั้งห้า การใช้ ‘ชีพจรวิญญาณหยิน’ บ่มเพาะอวัยวะภายในทั้งห้าจะได้ผลสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว”

“นอกจากนี้บนยอดเขามารดาภูตผียังมีหญ้าหกหยินและดอกไม้แสงตะวัน ที่เป็นของสำคัญในการฝึกขอบเขตหลอมกำเนิด”

“เมื่อข้าสำเร็จขอบเขตโคจรโลหิต ข้าคงต้องขึ้นไปเดินเล่นเสียหน่อย”

ซูอี้ตัดสินใจแล้ว

การเผชิญหน้ากับเซียวเทียนเชวี่ยและจื่อจิ่นในครั้งนี้ทำให้เขาได้อะไรมากมาย

เงินหมื่นตำลึงก็เพียงพอแล้วที่เขาจะซื้อยาทุกชนิดที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูและบ่มเพาะร่างกายในทีเดียว

ในเวลาเดียวกัน ข่าวอันมีค่าเกี่ยวกับยอดเขามารดาภูตผีก็ถูกรับรู้ด้วย

เป็นต้นว่ามีชีพจรวิญญาณหยิน!

เมื่อซูอี้มาถึงประตูเมืองกว่างหลิง เขาก็เห็นเหล่าทหารประจำการอยู่ที่นั่นด้วยยุทโธปกรณ์ครบครัน

ที่ด้านหน้าแถวทหารหลวงยังมีคนจำนวนมากรออยู่ที่นั่น ทุกคนมีท่าทีที่ไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ในตำแหน่งเบื้องบนมาเป็นเวลานานจนดูโดดเด่นกว่าผู้บ่มเพาะทั่วไป

เหตุการณ์การรวมกลุ่มกันของคนชั้นสูงเช่นนี้หาได้ยากมากในเมืองกว่างหลิง

คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวประตูเมืองต่างตกตะลึง และรู้สึกสงสัยเมื่อเดินผ่านมา

“ท่านเจ้าเมืองกับทหารของเขาออกมายืนกันที่หน้าประตูมืองทำไม? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

บทสนทนาดังจอแจ

“เป็นเจ้าเมืองฟู่ซานกับทหารของเขา…”

แม้ซูอี้จะคิดสงสัย แต่เขาก็ไม่คิดอยากสอดรู้ ชายหนุ่มเดินตรงไปที่ประตูเมืองเพื่อผ่านเข้าไปด้านใน

แต่แล้วในขณะที่เขาเดินผ่าน มีเสียงพูดคุยของคนใหญ่คนโตดังมาจากด้านหลัง

“ดูสิ นั่นซูอี้ลูกเขยตระกูลเหวินไม่ใช่หรือ? เขาเคยเป็นหัวหน้าศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอ เป็นชายหนุ่มอัจฉริยะคนหนึ่ง”

“น่าเสียดายจริง ๆ”

“ในความเห็นข้ามันน่าเสียดายจริง ๆ ที่เหวินหลิงเจา ผู้มีพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะเป็นเลิศแถมยังมีความงามที่หาได้ยากยิ่งต้องมาแต่งงานกับซูอี้คนนี้ นางช่างโชคร้ายจริง ๆ”

ซูอี้ยิ้มไม่สนใจ ก่อนที่จะหายตัวไปจากถนนอันพลุกพล่านนั้นอย่างรวดเร็ว

จากนั้นไม่นาน

เซียวเทียนเชวี่ยและจื่อจิ่นก็ปรากฏตัวนอกกำแพงเมืองแต่ไกล

“ผู้น้อยฟู่ซาน คารวะนายท่าน คารวะคุณหนู!”

แทบจะในบัดดลนั้น ฟู่ซานเจ้าเมืองกว่างหลิงก็ดูเคร่งขรึมก่อนก้าวไปด้านหน้าเพื่อค้อมคำนับ และพูดด้วยเสียงดังก้อง

“ผู้น้อยขอคารวะจวิ้นอ๋อง คารวะคุณหนู!”

คนใหญ่คนโตที่อยู่ด้านหลังฟู่ซาน รวมถึงเหล่าทหารต่างตกตะลึงและพากันคำนับตาม

ทั้งด้านนอกและด้านในเมืองพลันเงียบลงถนัดตา

คนที่เดินผ่านไปมาพากันหวาดหวั่น และเงียบลงเหมือนจักจั่นหยุดร้อง

ไม่ไกลจากนั้น เซียวเทียนเชวี่ยเอามือไพล่หลังพลางพยักหน้าเล็กน้อย เผยลักษณะความยิ่งใหญ่ออกมาตามวิสัยผู้ซึ่งมีตัวตนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งมาช้านาน

เมื่อมองไปยังจื่อจิ่นอีกครั้ง ร่างสูงระหงนั้นก็ยืนตัวตรง ใบหน้ารูปไข่ที่ดูสง่างามนั้นแสดงรัศมีความสูงส่งราวกับให้คนเห็นได้ตั้งแต่พันลี้

“ฟู่ซาน ข้าไม่ใช่จวิ้นอ๋องอะไรอีกแล้ว ให้ทุกคนกลับไปเสีย อย่าได้รบกวนชาวบ้าน!” เซียวเทียนเชวี่ยขมวดคิ้ว

“ผู้น้อยรับบัญชา!” เจ้าเมืองฟู่ซานตอบรับด้วยความเคารพ จากนั้นเขาจึงโบกมือ

ทันใดนั้นกลุ่มคนระดับสูงและทหารในบริเวณใกล้เคียงก็รีบทำตามคำสั่งทันที ไม่มีผู้ใดกล้าชักช้า

“ท่านอาฟู่ได้โปรดไปซื้อยาตามใบสั่งนี้ด้วย ข้าต้องใช้พวกมันทุกวันเป็นเวลาเจ็ดวันติดต่อกัน และโปรดเตรียมเรือนเงียบ ๆ ให้ข้าและท่านปู่ด้วย”

จื่อจิ่นก้าวไปด้านหน้าก่อนจะยื่นใบสั่งยาให้

“ผู้น้อยจะทำตามบัญชาท่านหญิงมิให้ขาดตกบกพร่อง!”

เจ้าเมืองฟู่ซานประสานกำปั้นด้วยความหวั่นเกรง

เซียวเทียนเชวี่ยพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก ก่อนเข้าไปในประตูเมืองพร้อมกับจื่อจิ่น

ฟู่ซานรีบตามทั้งสองไป

กระทั่งคนพวกนั้นไปหมดแล้ว ผู้คนบริเวณประตูเมืองก็ราวกับตื่นจากความฝัน และเริ่มพูดกันจอแจอีกครั้ง

ฟู่ซานคือเจ้าเมืองกว่างหลิง เขากุมอำนาจและปกครองเมืองอย่างเบ็ดเสร็จด้วยตัวคนเดียว นอกจากนี้เขายังเป็นผู้นำของหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองกว่างหลิงด้วย

ทว่าตอนนี้เขากลับทำตัวราวกับสุนัขเชื่องเมื่ออยู่ต่อหน้าคู่ปู่หลานนี้!

สิ่งนี้ได้เปิดหูเปิดตาผู้คน และพวกเขาล้วนพากันคาดเดาตัวตนของเซียวเทียนเชวี่ยและจื่อจิ่นไปต่าง ๆ นานา

ณ ตระกูลเหวิน

ในห้องนั้น ซูอี้นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ

ดวงตาของเขาหลับอยู่ ระหว่างลมหายใจแต่ละเฮือกมีอากาศสีขาวจาง ๆ ล่องลอยอยู่ในอากาศคล้ายกับลิ้นงู ดูเป็นจังหวะน่าอัศจรรย์

นี่คือวิธีฝึกปราณแบบ ‘เคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง’

ในอ่างอาบน้ำมียาต้มที่ทำจากสมุนไพรมากกว่าห้าสิบชนิด ที่ต้มมาแล้วกว่าหนึ่งชั่วยาม

ถึงแม้ว่าสมุนไพรพวกนี้มิใช่ ‘สมุนไพรวิเศษ’ ที่เหล่าผู้บ่มเพาะเสาะแสวงหา ทว่าแต่ละชนิดก็มีราคาที่แพงมาก รวมราคาได้ราวห้าร้อยตำลึง!

สำหรับคนทั่วไปในเมืองกว่างหลิง ค่าใช้จ่ายรายปีพวกเขาคิดเป็นเพียงเงินราวสิบตำลึงเงินเท่านั้น

จากการเปรียบนี้แสดงให้เห็นว่า ‘ยากจนเป็นบุ๋น มั่งมีเป็นบู๊!’

มีเพียงคนร่ำรวยเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะบ่มเพาะได้

แม้แต่ตระกูลเหวินที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลหลักแห่งเมืองกว่างหลิงซึ่งมีสมาชิกในตระกูลนับพันคน ยังมีคนในตระกูลเพียงน้อยนิดที่ได้รับการส่งเสริมให้บ่มเพาะตั้งแต่วัยเด็ก

ไม่มีทางที่ตระกูลไหนในเมืองกว่างหลิงที่จะสามารถส่งเสียรุ่นเยาว์ของตนบ่มเพาะได้ครบทุกคน ด้วยการบ่มเพาะนั้นมีราคาสูงเกินไป!

ผู้บ่มเพาะทั่วไปต้องกินอาหารบำรุงหลายชนิดทุกวันเพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกาย และต้องการสมุนไพรอีกหลายชนิดมาช่วยเรื่องการบ่มเพาะพลังด้วย

ครอบครัวชาวบ้านไม่อาจแบกรับค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้เลย

นี่เป็นเรื่องธรรมดาในอาณาจักรโจวnovelgu.com

เวลาผ่านไป เงาตะวันก็เบี่ยงไปทางทิศประจิม

ซูอี้นั่งทำสมาธิได้หนึ่งชั่วยามครึ่ง และทันใดนั้นก็มีกระแสลมสองเส้นพวยพุ่งออกจากรูจมูกของเขา

กระแสการพุ่งของลมสองเส้นนั้นรุนแรงราวกับลูกเกาทัณฑ์ มันพุ่งออกไปราวสามคืบเสียดสีกับอากาศจนส่งเสียงได้ยินชัดเจน

นี่คือสัญญาณของพลังปราณในร่างกายที่กำลังพลุ่งพล่าน

ขณะนี้ ซูอี้ลืมตาขึ้นก่อนมีแสงสว่างวาบผ่านรูม่านตาของเขา ดูราวกับสายฟ้าที่แปลบปลาบ และใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะหายไป

“ตอนเช้าวันนี้ข้าได้ใช้ปราณวิญญาณฟ้าดินเพื่อฝึกฝนที่ริมฝั่งแม่น้ำต้าฉางนอกเมือง ตอนเที่ยงข้าแช่น้ำสมุนไพรเพื่อคงสภาพร่างกาย ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งวัน รากฐานของขอบเขตโคจรโลหิตขั้นหนึ่งของข้ามั่นคงโดยสมบูรณ์แล้ว…”

ซูอี้ลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ ก่อนสวมเสื้อผ้าและเดินตรงไปยังลานบ้าน

แสงตะวันกำลังลาลับฟ้า

ต้นพุทราในลานบ้านถูกสาดส่องด้วยแสงนวลตา

ร่างของซูอี้ยืนอย่างตระหง่านมั่นคง เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณและโลหิตในร่างกาย ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ชี้นิ้วส่งพลังดัชนีออกไปยังกิ่งของต้นพุทราราวกับแทงกระบี่

เปรี้ยง!

กิ่งไม้แตกเป็นเสี่ยง ๆ และสลายกลายเป็นผุยผง

ที่น่าอัศจรรย์คือใบไม้สีเขียวบนกิ่งนั้นมิได้สูญสลายไปด้วย

ซูอี้เก็บนิ้ว และผงกศีรษะเงียบ ๆ

ในช่วงต้นของการบ่มเพาะ ร่างกายและพลังปราณและโลหิตจะถูกปรับแต่งใหม่ ดังนั้นจุดสำคัญคือต้องรู้กำลังตัวเองอยู่ตลอดและต้องควบคุมพลังของตัวเองให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเสมอ

เฉกเช่นเดียวกับพลังดัชนีของซูอี้

ถึงมันจะดูธรรมดา ทว่าอันที่จริงมันเคลื่อนที่ราวกับสายฟ้าแลบ!

และพลังดัชนีนั้นก็ทำลายกิ่งของต้นพุทราได้อย่างหมดจด ในขณะที่ใบพุทราอันแสนบอบบางนั้นกลับคงสภาพอยู่โดยสมบูรณ์

การควบคุมพลังได้เช่นนี้จริง ๆ แล้วมันยากเกินอธิบายได้ แต่เขากลับทำมันได้อย่างง่ายดายและสมบูรณ์แบบจนน่าตื่นตกตะลึง

อย่างไรก็ดี หากเทียบกับพลังของเขาเมื่อชีวิตที่แล้วที่แค่เพียงดัชนีเดียวก็สามารถทำให้ภูผาป่นปี้ได้อย่างง่ายดาย ทักษะนี้ก็นับว่าเล็กน้อยจนไม่น่ากล่าวถึง

ในยามเช้าห้าวันต่อมา ซูอี้ออกนอกเมืองไปเพื่อบ่มเพาะที่ริมแม่น้ำต้าฉางเฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา และก่อนยามเที่ยงเขาก็กลับมาแช่น้ำสมุนไพรเพื่อคงสภาพร่างกาย

…ความแข็งแกร่งของชายหนุ่ม ตอนนี้เรียกได้ว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปราวกับพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน!

ในช่วงทีผ่านมานี้ เหวินหลิงเสวี่ยน้องภรรยาของเขาก็กลับไปบ่มเพาะที่สำนักดาบซ่งอวิ๋น

แต่ก่อนที่นางจะจากไป เด็กสาวได้กำชับซูอี้เป็นพิเศษด้วยว่า อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดปีที่สิบหกของนาง และหวังว่าซูอี้จะเข้าร่วมด้วย

สำหรับเรื่องนี้ ซูอี้ก็ตอบรับโดยไม่ลังเล

“ขอบเขตโคจรโลหิตขั้นหนึ่งสำเร็จแล้ว!”

ในเช้านี้ หลังจากที่กลับจากแม่น้ำต้าฉางข้างนอกเมืองมาถึงเรือนพัก เขาก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย รอยยิ้มแห่งความพอใจปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก

เคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องนั้นคู่ควรจะเป็นยอดวิธีรวมชีพจรในเก้ามหาแดนดินนี้!

หลังจากบรรลุถึงแก่นแท้และความพิศวงของมันแล้ว ภายในห้าวัน เขาก็ได้เปลี่ยนแปลงร่างกายจนแข็งแกร่งไร้เทียมทานหากเทียบกับผู้บ่มเพาะระดับเดียวกัน!

แน่นอนว่าถ้าเทียบกับตัวเขาในภพชาติก่อนหน้า ก็ถือว่าแข็งแกร่งกว่าด้วย!

“ด้วยพลังกายของข้าตอนนี้ ผู้บ่มเพาะขอบเขตโคจรโลหิตคนอื่น ๆ ไม่มีทางเทียบข้าได้…”

ซูอี้มีความทรงจำและประสบการณ์ในชีวิตตลอดช่วงสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา หลังจากเปรียบเทียบส่วนหนึ่ง ก็มีสิ่งที่พอยืนยันได้

ว่าแม้แต่ศิษย์เอกในสำนักดาบชิงเหอที่สำเร็จขอบเขตโคจรโลหิตแล้ว คนผู้นั้นก็ยังต้องแพ้ราบคาบหากมาเผชิญหน้ากับเขา!!!

แต่ขอบเขตโคจรโลหิตก็เป็นเพียงก้าวแรกของวิถียุทธ์เท่านั้น แม้จะแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปแต่ก็ถือว่าอยู่ในขั้น ‘ธรรมดา’ หากเทียบกับผู้บ่มเพาะที่แท้จริงอยู่ดี

“ในเวลาแค่ห้าวัน ข้าใช้เงินไปแล้วสองพันห้าร้อยตำลึง และนี่ยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น…”

“คาดว่าส่วนผสมสมุนไพรที่จำเป็นสำหรับการบ่มเพาะในอนาคตจะต้องเพิ่มเป็นสองเท่า ซึ่งเงินที่จำเป็นต้องใช้ในส่วนนี้ก็คงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”

“ไม่ว่ายังไงหากข้าต้องการบ่มเพาะได้อย่างราบรื่น ข้าคงจำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับการหาเงินให้ได้มาก ๆ ควบคู่ไปด้วย” ซูอี้พูดเบา ๆ

มิตรสหายและความมั่งมี คือสิ่งจำเป็นต่อการบ่มเพาะ

และคำว่า ‘มั่งมี’ สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง!

ซูอี้รู้ดีว่าอนาคตเมื่อหนทางของเขาก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ สินทรัพย์ที่เขาต้องการก็จะยิ่งมากขึ้นตามตัว

ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับผู้บ่มเพาะ ‘ความมั่งคั่ง’ มิใช่เพียงเงินและทองเท่านั้น แต่หมายถึงสมบัติที่สำคัญต่อการบ่มเพาะทั้งหมด

เป็นต้นว่าสมุนไพรวิเศษ โอสถสวรรค์ สมบัติศักดิ์สิทธิ์ และของอื่น ๆ อีกมาก

“อันที่จริงหากตัวข้าเข้าร่วมกับสำนักชั้นนำได้ ข้าคงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เลย…”

แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูอี้ก็ส่ายหน้าและปฏิเสธความคิดนั้น

เขายังไม่มีความคิดที่จะออกจากเมืองกว่างหลิงในตอนนี้

ขณะที่คิดเรื่องนี้อยู่ ซูอี้ก็กลับไปยังจวนตระกูลเหวิน

แต่ไกล ๆ นั้น เขาเห็นเรือนร่างเพรียวงามร่างหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูจวน

เหวินหลิงเสวี่ย

หญิงสาวสวมชุดสีม่วงเข้ม พันผ้าไหมสีครามไว้ที่มวยผม เผยให้เห็นใบหน้าเล็ก ๆ งามประณีต แววตาใสเป็นประกายราวกับดวงดารา

นางโบกมือ และยืนอยู่ตรงนั้นดูน่ารัก มีคิ้วที่โค้งงามราวกับภาพวาด บ่งบอกถึงความฉลาดหลักแหลมของนาง

“ท่านพี่เขย!”

เมื่อเห็นซูอี้แต่ไกล เหวินหลิงเสวี่ยก็ยิ้มและโบกมือด้วยความร่าเริง

ขณะนั้นเอง รัศมีที่เปล่งประกายก็แผ่ออกมาจากร่างของเด็กสาว ชวนให้ผู้คนรู้สึกว่าแสงตะวันดูมืดสลัวไป

“ทำไมเจ้าไม่ไปเรียนล่ะ เจ้ากลับมาทำไม?” ซูอี้ยิ้มทักทายนาง

“วันนี้เป็นวันเกิดของข้าไง!”

เหวินหลิงเสวี่ยยิ้มก่อนพูด “ข้าจัดงานเลี้ยงและจองห้องในภัตตาคารวมเซียนที่อยู่ในเมือง ข้าเชิญสหายร่วมสำนักของข้าบางคนไปด้วย พวกเรารีบไปที่นั่นกันเถอะ!”

ขณะที่พูด นางก็จับแขนซูอี้ด้วยเสน่หาและเดินออกไป

ซูอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ทุกวันนี้เขาเอาแต่จดจ่อกับการบ่มเพาะจนลืมไปหมดแล้ว ซึ่งมันไม่ควรเป็นเช่นนี้เลย

พอคิดเรื่องนี้แล้ว เขาพลันเหล่มองหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความหวัง ดูมีเสน่ห์และสดใสยิ่งนัก และยิ่งไปกว่านั้น เด็กสาวไม่ได้คิดจะกล่าวโทษเขาเลย

แต่ในทางกลับกันยิ่งซูอี้คิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งลำบากใจมากเท่านั้น

หลังจากคิดดูแล้ว สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจได้

ข้าจะให้ของขวัญวันเกิดที่ดีงามอย่างหนึ่งแก่นาง!

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset