📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 652

บทที่ 652 - ลดสิ่งที่เกิน ซ่อมสิ่งที่ขาด
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

เป็นไปตามคาด วาจาถัดมาของท่านเทพแห่งความกรุณายืนยันการคาดเดาของซูอี้

“ถ้ำโลหิตหมิงหลิงเหมือนเป็นคุกที่เต็มไปด้วยเลือดและวิญญาณร้าย สูบเลือดกลืนการฝึกฝนและพลังชีวิตของผู้ฝึกตน”

“ผู้ใดที่อยู่ต่ำกว่าวิถีจักรพรรดิจะกลายเป็นศพแห้งกรอบภายในวันเดียว”

“และผู้ที่อยู่ในวิถีจักรพรรดิเช่นข้า แม้จะสามารถต้านทานบรรยากาศนองเลือดได้ ทว่าเมื่อกาลเวลาผันเปลี่ยน พลังชีวิตและการฝึกฝนของข้าก็ยังถูกกัดกร่อนอยู่ดี…”

ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวด้วยเสียงต่ำขมขื่น “มันให้ความรู้สึกเหมือนข้ากลายเป็นพืชผักในไร่ การฝึกฝนและพลังชีวิตของข้าถูกเก็บเกี่ยว และข้าจะตายในไม่ช้าก็เร็ว”

ซูอี้ขมวดคิ้ว “พัศดีมองบุคคลในวิถีจักรพรรดิเป็นหนอนเจาะฝักข้าวโพด สูบพลังชีวิตและผลการฝึกฝนของพวกเขา… ทำเช่นนี้เพื่ออันใดกัน?”

ท่านเทพแห่งความกรุณาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตอบว่า “หลอมโอสถ! ใช้ผู้ฝึกตนเป็นวัตถุดิบ เด็ดมหาวิถีขูดพลังชีวิต และใช้พวกมันหลอมเป็นเม็ดโอสถ!”

ซูอี้หรี่ตาเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ไฉนจึงเห็นเช่นนั้น?”

“ทุก ๆ พันปี พัศดีผู้หนึ่งจะเข้ามาเก็บพลังโลหิตมารที่สะสมอยู่ในถ้ำโลหิตหมิงหลิงก่อนจะจากไป”

เสียงของท่านเทพแห่งความกรุณาครุ่นแค้นยิ่งยวด “ในขณะเดียวกัน พัศดีก็จะนำนักโทษที่จับมาได้ใหม่ ๆ มาขังไว้ในถ้ำโลหิตหมิงหลิง และรอการเก็บเกี่ยวในพันปีให้หลัง”

ดวงตาของซูอี้ดูพิกล เขากล่าวกับตนเอง “วิธีพรรค์นี้คล้ายกับพรรคมารอย่างไรอย่างนั้น…”

ไม่นานมานี้ เขาเคยส่งอิงเชวียไปติดตั้ง ‘ค่ายกลโลหิตแปรสวรรค์’ ที่หุบเขามารบุปผาโลหิต

เมื่อค่ายกลนี้เสร็จสมบูรณ์ ผู้ฝึกตนจากต่างโลกทั้งหมดซึ่งเดินทางมายังโลกใต้พิภพในหุบเขามารบุปผาโลหิตจะถูกมหาค่ายกลนี้สังหาร

เลือดเนื้อและพลังชีวิตของผู้ฝึกตนเหล่านี้จะแปรเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ซึ่งจะทำให้ค่ายกลโลหิตแปรสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ…

นี่คล้ายคลึงกับสิ่งที่พัศดีทำ

ถ้ำโลหิตหมิงหลิงนั้นราวกับเป็นค่ายกลโลหิตแปรสวรรค์ และผู้ที่ถูกจองจำในถ้ำโลหิตหมิงหลิงเยี่ยงท่านเทพแห่งความกรุณาก็จะถูกเปลี่ยนเป็นสารอาหารให้เก็บเกี่ยว

และแต่เดิม ‘ค่ายกลโลหิตแปรสวรรค์’ ก็เป็นค่ายกลที่สืบทอดกันในสำนัก ‘แดนอสูรปรีดี’ แห่งเก้ามหาแดนดิน!

“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีพัศดีกี่คน และมาจากหนใด?”

ซูอี้ถาม

“มีพัศดีอยู่มากกว่าหนึ่ง พวกเขาน่าจะมาจากขุมอำนาจเดียวกัน ทว่าข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนของกลุ่มเต๋าใด”

ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าว “ทว่า ในที่ที่ข้าถูกกักขังมีแท่นเคลื่อนย้ายอยู่ และพัศดีเหล่านั้นก็เข้ามาในถ้ำโลหิตหมิงหลิงผ่านแท่นเคลื่อนย้ายนี้ โดยแท่นนั่นได้สลักข้อความเอาไว้บรรทัดหนึ่ง”

ซูอี้ดูสนใจ “ข้อความใดหรือ?”

“มรรคาแห่งสวรรค์ ลดสิ่งที่เกิน ซ่อมสิ่งที่ขาด”

ท่านเทพแห่งความกรุณาร่ายคำต่อคำ

ซูอี้อดสะดุ้งไม่ได้ และกล่าวว่า “น่าสนใจ พวกเขาพยายามสร้างความยุติธรรมเพื่อสวรรค์หรือไร?”

คำกล่าวที่ว่า ‘ลดสิ่งที่เกิน’ ย่อมหมายถึงในขุมอำนาจของพัศดี ‘นักโทษ’ ที่พวกเขาจับได้ก็นับว่าเป็น ‘สิ่งที่เกิน’

การกัดกร่อนพลังชีวิตและการฝึกฝนของ ‘นักโทษ’ เหล่านั้นก็คือ ‘ลดสิ่งที่เกิน’!

แล้วสิ่งใดเล่าคือ ‘ซ่อมสิ่งที่ขาด’?

ต่อล่าหนอนเจาะฝักข้าวโพดเพื่อเตรียมอาหารให้ทายาท

หรือการที่พัศดีจับกุมนักโทษ ลดพลังชีวิตทอนการฝึกฝน จะเป็นการทำเพื่อคนรุ่นหลังของพวกเขา?

“พวกเขาจะเป็นตัวแทนมรรคาแห่งสวรรค์ได้เช่นไร? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาปฏิบัติต่อผู้ฝึกตนเช่นเราเป็นวัตถุดิบ เก็บเกี่ยวพวกเราตามใจภายใต้ข้ออ้าง ‘สร้างความยุติธรรมเพื่อสวรรค์’!”

ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวอย่างโมโห

ซูอี้พยักหน้า

ข้อความที่ว่า ‘มรรคาแห่งสวรรค์ ลดสิ่งที่เกิน ซ่อมสิ่งที่ขาด’ นั้นไม่ได้มีความหมายดูหมิ่นผู้ใดในตัว แต่เป็นการประกาศศักดาของการปฏิบัติงานภายใต้มรรคาแห่งสวรรค์

การสร้างความยุติธรรมเพื่อสวรรค์ที่ว่านั่นเหลวไหลทั้งเพ

ซูอี้เอ่ยถามต่อ “ข้อความเหล่านี้เขียนด้วยอักษรแบบใด?”

ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวอย่างไร้ลังเล “อักษรมนุษย์โบราณ”

ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย หรือขุมพลังของพวกพัศดีจะไม่ใช่ขุมอำนาจมารโบราณ แต่เป็นผู้ฝึกตนมนุษย์?

หากเป็นเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาทำจะเรียกได้ว่าลดสิ่งที่เกิน!

เพราะถึงอย่างไร ขุมพลังที่สามารถจับกุมผู้อยู่ในวิถีจักรพรรดิอย่างท่านเทพแห่งความกรุณาได้อย่างง่ายดายจะต้องมีความแข็งแกร่งในตัวมันเอง!

ยิ่งกว่านั้น ขุมอำนาจนี้ยังเป็นไปได้สูงที่จะควบคุมอำนาจการจองจำของการจองจำแห่งยุคมืดได้

นี่ทำให้ซูอี้สงสัย ว่าการจองจำแห่งยุคมืดซึ่งอุบัติสู่มหาทวีปคังชิงเมื่อสามหมื่นปีก่อนจะมาจากอักขระจารึกบนแท่นนี้!

“ในเวลาหลายหมื่นปีที่ข้าถูกกักขัง ข้าเองก็เคยเห็นผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ที่ถูกจับมาเช่นกัน พวกเขามาจากโลกต่างกันออกไป น่าเสียดายที่ผลการฝึกฝนของพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งนัก พวกเขาจึงตายไปไม่นานหลังถูกจับตัว พลังชีวิตและการฝึกฝนถูกรีดไม่เหลือเลย”

ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวขึ้นอีกครั้ง “แต่ระหว่างสนทนากับพวกเขา ข้าก็เรียนรู้ว่าพวกเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าพัศดีเหล่านี้มาจากขุมอำนาจใด ได้ยินมาเพียงว่าอีกฝ่ายสร้างความยุติธรรมแทนสวรรค์ ดังนั้นจึงเรียกกันเองว่า ‘สำนักมรรคาสวรรค์’”

“สำนักมรรคาสวรรค์?”

ซูอี้ส่ายหน้า ในโลกนี้ ขุมอำนาจใดจะกล้าเรียกตนว่าสำนักมรรคาสวรรค์?

ขอเพียงอยู่เฉย ๆ ก็นับเป็นปรปักษ์ต่อขุมอำนาจกลุ่มเต๋าอื่นแล้ว!

เพราะถึงอย่างไร เส้นทางแห่งการฝึกฝนนั้นคือการฝืนกฎแห่งสวรรค์!

ในกาลต่อมา ซูอี้และท่านเทพแห่งความกรุณาก็พูดคุยกันหลายเรื่อง

ยามนั้นเอง เขาจึงรู้ว่าท่านเทพแห่งความกรุณา ยอดฝีมือผู้สืบสายเลือดมารเผิงเก้าวิญญาณมีอำนาจติดตัวเกี่ยวพันกับมิติ เรียกว่า ‘ตราประทับมิติเอื้อมมือ’

นับแต่กาลก่อน อีกฝ่ายเคยใช้อำนาจพิเศษนี้ในการสร้างประตูมิติมายังมหาทวีปคังชิง และด้วยเส้นทางนี้ เขาจึงได้รวบรวมสาวก และสร้างลัทธิหมิงหลิงขึ้นมา

และจากการเสียสละของสาวกเหล่านี้ ท่านเทพแห่งความกรุณาจึงได้รับวัตถุดิบและโอสถวิญญาณบางอย่างและยื้อชีวิตในถ้ำโลหิตหมิงหลิงได้ต่อจนยามนี้

ส่วนสมญา ‘ท่านเทพแห่งความกรุณา’ นั้น เขาก็ตั้งให้ตนเอง

การถูกคุมขังไม่อาจขยับไปไหนได้เป็นเวลานานย่อมเป็นมหาวิปโยคในชีวิต

จู่ ๆ วังวนโลหิตที่ลอยอยู่บนอากาศก็สั่นไหว ขัดจังหวะการสนทนาระหว่างซูอี้และท่านเทพแห่งความกรุณาโนฺเวลกูดoทคอม

“สหายเต๋า ประตูมิติจะพังแล้ว คราหน้าหากคิดเปิดมัน ข้าเกรงว่าคงต้องเป็นสักสองสามเดือนจากนี้”

ท่านเทพแห่งความกรุณารีบกล่าว

แม้ว่าพลังของตราประทับมิติจะน่าอัศจรรย์ แต่มันก็กินพลังของท่านเทพแห่งความกรุณาไปอย่างมหาศาล

“นี่คือเคล็ดวิชากลั่นไอชั่วร้ายส่วนที่เหลือ ภายหน้าเมื่อมีเวลา เราจะคุยกันต่อ”

ซูอี้หยิบแผ่นหยกโบราณที่เตรียมไว้โยนเข้าไปในวังวนโลหิต

“ขอบคุณสหายเต๋าที่กรุณา!”

ท่านเทพแห่งความกรุณาอุทานอย่างตื่นเต้น

ไม่นานจากนั้น วังวนโลหิตก็หายไป

ซูอี้นั่งเดียวดายบนเก้าอี้หวาย ตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด

บทสนทนานี้มอบเบาะแสอันมีค่าให้เขามากมาย

ยกตัวอย่าง ภายในจักรวาลพร่างดาวไม่ได้มีเพียงเวิ้งเก้าดารา แต่มีเวิ้งดาราอื่น ๆ อยู่ด้วย

เช่น ภายใต้ข้ออ้างการสร้างความยุติธรรมแทนสวรรค์ พัศดีจาก ‘สำนักมรรคาสวรรค์’ ปฏิบัติต่อผู้อยู่ในวิถีจักรพรรดิเยี่ยงท่านเทพแห่งความกรุณาเป็นนักโทษ

เช่น เหนือจักรวาลพร่างดาวมีสถานที่หนึ่งชื่อถ้ำโลหิตหมิงหลิง ซึ่งสงสัยว่าจะเป็นคุกขนาดยักษ์ที่สำนักมรรคาสวรรค์สร้างขึ้น

เบาะแสเหล่านี้ สุดท้ายแล้วก็ล้วนเกี่ยวพันกับการจองจำแห่งยุคมืด!

และการจองจำแห่งยุคมืดก็ถูกควบคุมโดยพวก ‘สำนักมรรคาสวรรค์’!

แน่นอน ยังยากจะกล่าวว่าขุมอำนาจกลุ่มเต๋านี้มีนามว่า ‘สำนักมรรคาสวรรค์’ จริงหรือไม่

“ดูเหมือนว่า มีเพียงการจับพัศดีสักคนที่คุ้มกันเวิ้งดาราอยู่เท่านั้น เราจึงจะได้ค้นพบทุกความจริง”

ซูอี้ลอบคิด

เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็อดคิดถึงสิ่งที่อยู่ในถ้ำอุกกาบาตซึ่งคาดว่าจะมาจากส่วนลึกในจักรวาลพร่างดาวขึ้นมา

“เจ้านี่ใช้พลังของการจองจำแห่งยุคมืดได้ มันต้องมีความเกี่ยวพันอันไม่อาจแยกกับสำนักมรรคาสวรรค์ ข้ามีเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงในมือ เมื่อเจ้าพวกนั้นเกิดปัญหา ต้องพยายามหาข้าก่อนเป็นแน่…”

“ยามเมื่อถึงเวลา จับเขามาเสียก็พอจะได้เรียนรู้เรื่องมากมายแล้ว!”

ซูอี้สนใจในเรื่องราวนอกจักรวาลอย่างยิ่ง

ยามเมื่อเขาอยู่บนจุดสูงสุดเมื่ออดีตชาติ เขามีโอกาสได้ข้ามจักรวาลพร่างดาว ทว่าสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่ไป แต่เลือกจะหาวิถีแห่งดาบที่สูงกว่าโดยการเวียนวัฏสงสาร

ทว่ายามนี้ ในเมื่อเขามีโอกาสได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาว ชายหนุ่มย่อมไม่ยอมพลาด!

ไม่นานนัก ชายหนุ่มในชุดสีเงินนามชิ่งหยวน ผู้เฒ่าเครายาว เตียวอวิ๋นเหอและซั่วเหมิงก็กลับมา พวกเขาไตร่ตรองรอบคอบและไม่ถามซูอี้ว่าพูดคุยอันใดกับท่านเทพแห่งความกรุณา

ซูอี้ย่อมไม่กล่าวอันใดนัก

“ได้เวลาที่ข้าต้องไปแล้ว”

ซูอี้ลุกขึ้น เก็บเก้าอี้หวาย และตัดสินใจกลับสู่หอเซียนดาบเพื่อเก็บตัวฝึกฝน รอโอกาสเลื่อนขอบเขตต่อ

ชิ่งหยวนและคนอื่น ๆ จึงรีบลุกขึ้นส่งพวกเขา

“ใต้เท้า ให้ข้าน้อยส่งท่านเถิด”

อสูรสิงโตทองคำกล่าวอย่างนอบน้อม

ซูอี้พยักหน้า ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งบนหลังอสูรสิงโตทองคำตามใจชอบ

“อสูรสิงโตทองคำ ภายหน้าจงติดตามผู้อาวุโสซู วาสนาของเจ้าจะสูงส่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ฝึกฝนอย่างตั้งใจ อย่าทำให้ผู้อาวุโสซูผิดหวังนะ”

ชิ่งหยวนเร่ง

“ขอรับ!”

อสูรสิงโตทองคำตอบรับอย่างจริงจัง

มันแบกร่างซูอี้ทะยานสู่ฟ้า และไม่นานก็หายลับท้องนภาราตรีไป

เมื่อเห็นเช่นนั้น ชิ่งหยวนและคนอื่น ๆ ก็ถอนหายใจโล่งอก

ราวร่วมเดินทางกับเสือ!

เมื่อคราวที่พวกเขาเดินทางกับซูอี้ พวกเขาต่างรู้สึกกดดันหนักหนาว่าจะทำสิ่งใดผิดพลาดจนปลุกเร้าความรังเกียจจากซูอี้

และยามนี้ ในที่สุดพวกเขาก็ได้ผ่อนคลาย

“ยามที่เขาไม่ได้ลงมือ ใต้เท้าซูก็ยังพูดเก่งมากเลยนะ”

ซั่วเหมิงกล่าวอย่างเปี่ยมอารมณ์

“เจ้ายังอยากพบเขาอีกหรือ?”

เตียวอวิ๋นเหอ ผู้เฒ่าเครายาวถาม

ซั่วเหมิงรีบส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เห็นคงดีกว่า”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น”

ชิ่งหยวนถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน “แต่จากความสัมพันธ์ระหว่างผู้อาวุโสซูและอาจารย์ ข้าก็สงสัยว่าเราจะยังได้พบเขาในภายหน้าอยู่…”

ซั่วเหมิงและเตียวอวิ๋นเหอเงียบไปครู่หนึ่ง

วันถัดมา

ซูอี้ หยวนเหิง หลานซัว และอาจารย์อวิ๋นหลางรวมพลในเมืองตงฝู จากนั้นพวกเขาก็ทะยานสู่ลึกในทะเลวิญญาณโกลาหล

สองวันต่อมา

วันที่ยี่สิบสองเดือนหนึ่ง

ซูอี้และคณะของเขากลับมายังหอเซียนดาบ

หลังจากหลานซัวและอาจารย์อวิ๋นหลางได้รับการจัดการที่อยู่ หนิงซือฮวาก็มาหาซูอี้และกล่าวอย่างกังวล

“สหายเต๋า เย็นวานซืนนี้ บ่อน้ำแห้งแปลก ๆ ก็ปรากฏขึ้นในหอเซียนดาบ มีเสียงสะอื้นจากบ่อและกลิ่นอายคาวเลือดพวยพุ่งออกมา ข้ากังวลว่าที่แห่งนั้นจะอันตราย ข้าจึงขอให้อิงเชวียคุมที่นั่นไว้”

ซูอี้อดแปลกใจไม่ได้ ก่อนกล่าวว่า “พาข้าไปที”

หนิงซือฮวานำทางทันที

ไม่นานนัก ที่ลานอันรกร้างว่างเปล่าเบื้องหลังตำหนักเซียนดาบ ซูอี้ก็ได้เห็นบ่อน้ำแห้ง

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset