📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 640

บทที่ 640 - อหังการขั้นเทพ!
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

ถึงเวลานี้แล้ว แม้กระทั่งพวกที่ไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุก็ยังมองออกเช่นกันว่าซงจั่งเฮ่อถือโอกาสงานชุมนุมล่องเมฆาหาเรื่องโจมตีซูอี้!

บรรยากาศเริ่มเคร่งเครียดมากขึ้น

หยวนเหิงถ่ายทอดเสียง “นายท่าน ดูท่าแล้ววันนี้ซงจั่งเฮ่อจะไม่ยอมรามือง่าย ๆ เป็นแน่”

ทว่าซูอี้กลับถอนใจเบา ๆ “น่าเสียดาย เวลาที่ตั้งกฎระเบียบขึ้นมา การเชือดไก่ให้ลิงดูก็ต้องมีตัวตนที่มีบทบาทเหมาะสม ซงจั่งเฮ่อผู้นี้นับว่าไม่เหมาะเอาเสียเลย”

หยวนเหิง “…”

เมื่อได้ยินคำกล่าวเหล่านั้นของซงจั่งเฮ่อแล้ว เมิ่งจิ้งไห่ผู้ที่นั่งตำแหน่งประธานถึงกับหนังตากระตุก และกล่าวด้วยความลังเล “ถ้าเช่นนั้น… สหายเต๋าคิดจะทำเช่นใด?”

ซงจั่งเฮ่อกล่าว “พี่เมิ่งโปรดวางใจ สำนักเบญจอัสนีของข้ายังไม่ถึงขั้นต้องทำลายงานชุมนุมล่องเมฆาเพื่อเรื่องนี้ เงื่อนไขของข้านั้นง่ายมาก ให้คนที่พูดเช่นนี้เก็บคำพูดนั้นกลับคืนไปก็พอ!”

นิ่งเงียบไปสักครู่ เขาก็กล่าวเสียงราบเรียบ “จากนั้น กล่าวขออภัยต่อสำนักเบญจอัสนีของข้า เช่นนี้ ข้าก็จะไม่ถือสาเอาความในเรื่องนี้อีก”

เพิ่งพูดจบ คนจำนวนไม่น้อยเบนสายตามองไปที่ซูอี้

แต่ซูอี้กลับมีสีหน้าเฉยเมย ราวกับไม่ได้ยินไม่รับรู้ ไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆ ออกมา

ทำให้พวกผู้เฒ่าทั้งหลายรู้สึกไม่พอใจจนพูดไม่ออก กล่าวกันจนถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อีก?

ผู้อาวุโสในชุดแต่งกายหรูหราท่านหนึ่งกระแอมขึ้นมา ยิ้มพลางกล่าว “หากยุติการต่อสู้ สร้างความสงบได้ เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลย”

ผู้กล่าวคำก็คือส่านอวิ๋นฉีเจ้าสำนักรุ้งเขียวแห่งอาณาจักรต้าฉิน มหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ

“ผู้ที่สมควรจะขอโทษจงก้าวออกมาด้วย เวลาของทุกคนล้วนมีค่า อย่าได้เสียเวลาของงานชุมนุมล่องเมฆาเลย!”

หญิงสาวผมพลิ้วสยาย ท่าทีสุภาพและสุขุมเอ่ยพูด บนใบหน้าที่งดงามแสดงอาการหมดความอดทน

ฮูหยินฮัวถิง

ผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักวิญญาณหมู่พฤกษาแห่งอาณาจักรต้าฉิน!

เมื่อเห็นว่าส่านอวิ๋นฉี ฮูหยินฮัวถิงออกมาช่วยพูด อีกทั้งพูดโจมตีสอดคล้องกับซงจั่งเฮ่อ สีหน้าและท่าทีของผู้ยิ่งใหญ่ในงานจึงเปลี่ยนไป

กู้ซานตูกับเฉาอิ๋งก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจ

หากบุคคลระดับสุดยอดของแต่ละขุมกำลังเหล่านี้ร่วมมือกัน ซูอี้ยังจะกล้าเชิดหน้าไม่ยอมก้มหัวอีกหรือ?

เวลานี้ แม้กระทั่งเมิ่งจิ้งไห่ผู้เป็นเจ้าภาพในงานชุมนุมล่องเมฆาก็ยังเข้าใจเหตุการณ์

เขาตระหนักดีว่า ซงจั่งเฮ่อทำเช่นนี้ภายนอกดูเหมือนกับต้องการโจมตีซูอี้ ทว่าแท้จริงไม่เท่ากับเป็นการร่วมมือกับขุมกำลังอื่น ๆ ในงานเพื่อกดดันตนเองหรอกหรือ?

เพราะอย่างไรเสีย งานชุมนุมล่องเมฆาในครั้งนี้ตนเองเป็นผู้จัดให้มีขึ้นด้วยตนเอง

หากว่าซูอี้ไม่ตอบรับเงื่อนไขของซงจั่งเฮ่อ ถ้าเช่นนั้นพวกของซงจั่งเฮ่อก็ไม่มีทางจะทำตามกฎระเบียบ ไม่ยอมยุติความไม่สงบในใต้หล้า!

หากเป็นเช่นนี้ งานชุมนุมล่องเมฆาที่จัดขึ้นในครั้งนี้ก็ไร้ความหมาย

‘คนสารเลวเหล่านี้ ถือโอกาสนี้สร้างความหวั่นไหว เห็นชัด ๆ ว่ามีใจขัดขืนข้อเสนอของข้า…’

เมิ่งจิ้งไห่คิดในใจ

เขาเสนอว่าให้ขุมกำลังผู้ฝึกตนแต่ละแห่งเคารพและทำตามกฎระเบียบ เพื่อหลีกเลี่ยงการแก่งแย่งชิงดีกันเอง เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องดีมีประโยชน์ต่อขุมกำลังแต่ละฝ่าย

แต่เห็นได้ชัดว่ามีขุมกำลังบางแห่งกลับไม่ต้องการจะทำเช่นนี้!

สำหรับสาเหตุของเรื่องนี้ เมิ่งจิ้งไห่ก็สามารถเดาออกได้เช่นกัน ขุมกำลังเหล่านั้นต้องการจะถือโอกาสที่ใต้หล้าไม่สงบขยายกำลังและอาณาเขตของตัวเองนั่นเอง!

แต่สิ่งที่ทำให้เมิ่งจิ้งไห่ถึงกับตะลึงก็คือ ถึงเวลานี้แล้ว ซูอี้ยังคงสงบนิ่งไม่แสดงท่าทีอันใดออกมา ดื่มสุราของตัวเองโดยไม่สนใจผู้ใด

ราวกับไม่รู้เลยสักนิดว่า ตนเองตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งหลายตั้งนานแล้ว

ไม่เพียงแต่เมิ่งจิ่งไห่ที่คาดไม่ถึงเท่านั้น ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ ในงานก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าซูอี้จะสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้

ในที่สุด จูคุนหยางก็ทนไม่ไหว และกล่าวขึ้นมา “ซูอี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าเพียงแต่ก้มหัวขอโทษสำนักเบญจอัสนีของข้าเท่านั้น เรื่องนี้ก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน และพวกข้าก็จะไม่เอาความต่อฝูอวิ๋นหลางอีก”

เขาเป็นคนแรกที่เอ่ยนามของซูอี้ให้ซูอี้กล่าวขอโทษต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้!

บรรยากาศในเหตุการณ์จึงมีแรงกดดันและเงียบสงบยิ่งกว่าเดิม

สายตาของทุก ๆ คนล้วนจับจ้องไปที่ซูอี้อย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับต้องการจะดูว่าเขาจะตัดสินใจเช่นใด

เวลานี้ แม้กระทั่งหลานซัวที่นั่งอยู่อีกด้านของซูอี้ก็ยังรู้สึกกดดันเพิ่มขึ้น ราวกับนั่งอยู่บนพรมตะปู หัวใจขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอยแล้ว

ทว่าซูอี้กลับยกกาขึ้นเพื่อรินสุราให้ตัวเอง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น กวาดสายตามองดูทุกคนในงาน และกล่าว

“นอกจากคนที่เพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่ ยังมีใครอีกที่คิดว่าข้า ซูผู้นี้ควรจะกล่าวขอโทษต่อสำนักเบญจอัสนี?”

สีหน้าของหนุ่มน้อยราบเรียบประดุจผิวน้ำ น้ำเสียงไม่สะทกสะท้าน

ทว่าเมื่อโดนสายตาอันลุ่มลึกของเขากวาดมอง บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างก็รู้สึกหนาววาบ จนไม่กล้าสบตากับเขา

เมื่อซูอี้เบนสายตามองไปที่ซงจั่งเฮ่อ เจ้าสำนักเบญจอัสนีท่านนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางกล่าว

“คนหนุ่ม สำนักเบญจอัสนีของข้าแสดงท่าทีเป็นมิตรออกมาอย่างเต็มที่แล้ว ขอเพียงเจ้ากล่าวขอโทษ ก็จะไม่เอาความกับสิ่งที่ผ่านมา ขอเตือนเจ้าสักหน่อย อย่าได้ทำลายงานชุมนุมล่องเมฆาในครั้งนี้เพราะความวู่วามของเจ้าเชียว”

น้ำเสียงอ่อนโยนซ่อนเข็มร้าย ข่มขู่อย่างแรง

ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจ

เขาเบนสายตาไปทางอื่น กวาดมองไปที่จูคุนหยางกับหยวนซั่ว สุดท้ายมองไปที่เมิ่งจิ่งไห่ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน

“งานชุมนุมล่องเมฆาในครั้งนี้ เจ้าเป็นผู้จัดขึ้น เมื่อเจอการขัดแย้งขึ้นเช่นนี้ ในฐานะที่เจ้าเป็นเจ้าภาพ เดิมทีข้าเข้าใจว่าเจ้าควรจะมีกำลังการตัดสินใจอยู่บ้าง แต่การแสดงออกของเจ้ากลับทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังยิ่งนัก”

ซูอี้ถอนใจ

คำที่กล่าวมาทำให้คนในงานต่างก็ตื่นตะลึง

ไม่มีใครคาดคิดว่าซูอี้ผู้ที่โดนซงจั่งเฮ่อพุ่งหัวหอกเอาเรื่องด้วยจะตั้งคำถามและกล่าวสั่งสอนเมิ่งจิ้งไห่ในเวลาเช่นนี้!

ซงจั่งเฮ่อหรี่ตาเล็กน้อย ก่อนกล่าวคำ “ซูอี้ เจ้าต้องการจะยืมมือของสหายเต๋าเมิ่งมาแทรกแซงเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ?”

สีหน้าและแววตาของเมิ่งจิ้งไห่เกิดความสับสนไม่นิ่ง ฉับพลันสีหน้าก็เคร่งเครียดลง พลางกล่าว “พี่ซง เจ้าอย่าได้พูดจาบีบคั้นคนอื่นจนเกินไป!”

ทุกคนต่างพากันตะลึง

สีหน้าของซงจั่งเฮ่อเปลี่ยนไปในทันใด ก่อนกล่าว “สหายเต๋าเมิ่ง เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”

เมิ่งจิ่งไห่กล่าวเสียงเย็นชา “หมายความว่าอย่างไร? เมิ่งผู้นี้จัดงานชุมนุมล่องเมฆาขึ้นเพื่อสร้างผลดีต่อขุมกำลังผู้ฝึกตนแต่ละแห่ง ไม่ต้องการจะเห็นแต่ละฝ่ายต้องแก่งแย่งชิงดีกัน ต่อสู้รบราเสียเลือดเนื้อไม่หยุด แต่เจ้า ซงจั่งเฮ่อ กลับถือโอกาสนี้ร่วมมือกับคนอื่น ๆ สร้างความวุ่นวายขึ้น!”

บรรยากาศสงบนิ่งราวกับป่าช้า

ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเริ่มนั่งไม่ติด

“สหายเต๋าเมิ่งโปรดระงับโทสะ”

คนจำนวนมากมายต่างก็ส่งเสียงเตือน

ซงจั่งเฮ่อไม่คิดมาก่อนว่าเพียงแค่คำพูดเหล่านั้นของซูอี้ เมิ่งจิ้งไห่ถึงกับแสดงความโกรธออกมาเช่นนี้ ผิดความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิงโนเวลกูดอทคoม

“ก่อนหน้านี้ หากว่าข้าซงจั่งเฮ่อทำผิดอะไรไป หวังว่าพี่เมิ่งจะให้อภัย ดีที่สุดอย่าได้ตัดสินความด้วยอารมณ์”

ซงจั่งเฮ่อกล่าวเสียงเรียบ “ยิ่งไปกว่านั้น ฝูอวิ๋นหลางทำร้ายศิษย์สำนักเบญจอัสนีของข้า แต่ซูอี้กลับช่วยออกหน้าแทนฝูอวิ๋นหลาง เพื่อเรื่องนี้ถึงกับข่มขู่สำนักเบญจอัสนีของข้า ตอนนี้ข้าเพียงแค่ต้องการให้ซูอี้กล่าวคำขอโทษเท่านั้น คำขอนี้… ไม่เกินไปหรอกกระมัง?”

บรรยากาศยิ่งตึงเครียดมากขึ้น

ใคร ๆ ก็มองออกว่า เจอกับอาการโกรธเกรี้ยวของเมิ่งจิ้งไห่แล้ว ซงจั่งเฮ่อก็ยังไม่คิดจะยุติเพียงเท่านี้

เมิ่งจิ้งไห่ขมวดคิ้ว ต้องการจะพูดอะไรอีก

ซูอี้โบกมือพลางกล่าว “เอาล่ะ ข้าต้องการอยากจะรู้ท่าทีของเจ้าเท่านั้น”

เมิ่งจิ้งไห่ตะลึง

คนทั้งหลายในงานเกิดความสงสัยยิ่งนัก ซูอี้กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?

ก็เห็นซูอี้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับถือกาสุรา

จากนั้น เขาเบนสายตามองไปที่หยวนซั่วผู้ที่อยู่ข้างกายซงจั่งเฮ่อ พลางกล่าวคำออก “คำกล่าวที่ข้าพูดกับเจ้าเมื่อตอนนั้น ได้บอกต่อเจ้าสำนักของเจ้าตามความเป็นจริงหรือไม่?”

เมื่อถูกสายตาลุ่มลึกคู่นั้นของซูอี้จับจ้อง หยวนซั่วจึงลอบสะดุ้ง สีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด พลางกล่าว “ข้า หยวนซั่ว ไม่มีทางทำผิดในเรื่องนี้อย่างแน่นอน!”

เขายังอยากจะพูดต่ออีก ทว่าซูอี้เบนสายตามองไปที่ซงจั่งเฮ่อแล้ว ก่อนกล่าว “ดูท่าแล้ว เจ้าได้ตัดสินใจไปแล้ว”

ซงจั่งเฮ่อแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา ก่อนกล่าวคำออก “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? คิดจะลงมือตรงนี้เลยเช่นนั้นหรือ?”

ผู้ยิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อยพากันขมวดคิ้ว

ผู้ยิ่งใหญ่ที่เอ่ยพูดขึ้นเมื่อก่อนหน้า อย่างส่านอวิ๋นฉีเจ้าสำนักรุ้งเขียว กับฮูหยินฮัวถิงเจ้าสำนักหมู่พฤกษา ได้แต่หัวเราะเย็นชาขึ้นมา

ซูอี้คนนี้ไม่ได้ดูบ้างเลยว่าที่นี่เป็นที่ใด คิดว่าตัวเองเคยกวาดล้างขุมกำลังตำหนักมารเทียนอวี้มา อยากจะทำอะไรก็ได้เช่นนั้นหรือ?

เมิ่งจิ่งไห่มีลางสังหรณ์ว่าเหตุการณ์ไม่ดีแล้ว จึงรีบกล่าวขึ้น “สหายเต๋าซู อย่าได้โกรธเกรี้ยวไป เรื่องในวันนี้ เมิ่งผู้นี้จะไม่ปล่อย…”

ซูอี้เอ่ยตัดบท “นี่เป็นเรื่องข้ากับสำนักเบญจอัสนีของพวกเขา เจ้าจงคอยดูอยู่ห่าง ๆ จะดีกว่า”

พูดจบ เขายกกาสุราขึ้น ก้าวเดินไปยังตำแหน่งที่นั่งของซงจั่งเฮ่อ

ก้าวเดินช้า ๆ เนิบ ๆ

พรึ่บ!

ผู้ยิ่งใหญ่ในงานต่างก็ตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล ต่างก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง แสดงท่าทีตื่นตะลึงออกมา ซูอี้คนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่?

“พี่หยวนเหิง คุณชายซู…”

หลานซัวเป็นกังวลยิ่งนัก หัวใจแทบจะหลุดออกจากอก

หยวนเหิงกล่าวด้วยอาการสงบ “แม่นางหลานซัวอย่าได้ตื่นตระหนกไป นายท่านเพียงแค่ต้องการจะเชือดไก่ให้ลิงดูเท่านั้น”

หลานซัว “?”

“ซูอี้ ที่นี่เป็นงานชุมนุมล่องเมฆา เจ้าคิดจะทำเรื่องชั่วร้ายที่นี่เช่นนั้นหรือ?”

เมื่อซูอี้เดินผ่านส่านอวิ๋นฉี เจ้าสำนักรุ้งเขียวคนนี้ถึงกับแผดเสียงร้องตะโกนถาม

เขาแต่งกายในชุดหรูหราและผูกด้วยผ้าคาดเอว ท่าทีสง่าไม่ธรรมดา เดิมทีก็เป็นตัวตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นปลายคนหนึ่ง

แต่เมื่อเขาแสดงท่าทางโกรธเกรี้ยวออกมา พลังอานุภาพในตัวพลันเปลี่ยนไป ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดทั่ว ๆ ไปเห็นแล้วจะต้องตื่นตระหนกล้มไปกองกับพื้นทำอะไรไม่ถูกอย่างแน่นอน

ทว่าซูอี้ไม่ใช่ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดทั่ว ๆ ไป

ระดับการฝึกตนของเขาได้รับการขัดเกลาจนถึงขอบเขตรวบรวมดาราขั้นสมบูรณ์แล้ว แม้กระทั่งจิตสัมผัสและจังหวะวิถีซึ่งไร้มลทินก็ไปถึงขั้นสมบูรณ์เพียบพร้อมไร้ช่องโหว่ในช่วงระยะเวลาสองเดือนที่นั่งสมาธิปิดตน

ชิงลั่วในครานั้นแข็งแกร่งถึงเพียงใด สามารถฆ่าอิงเชวียผู้ที่อยู่ขอบเขตสยายวิญญาณได้อย่างง่ายดาย

ทว่าในกำมือของซูอี้ สุดท้ายชิงลั่วก็ยังไม่รอด!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะตกใจในอานุภาพของส่านอวิ๋นฉีได้เช่นใดกัน?

“โหวกเหวกเสียงดัง”

ซุอี้สะบัดแขนเสื้อไม่แม้แต่จะหันไปมอง

ปัง!!

โต๊ะที่อยู่ตรงหน้าส่านอวิ๋นฉีระเบิดกระจุยกลายเป็นเศษไม้ปลิวว่อน

ถัดจากนั้น ร่างผอมกะหร่องของส่านอวิ๋นฉีก็กระเด็นออกไปอย่างแรงราวกับว่าวเชือกขาด

ตุบ!

ส่านอวิ๋นฉีร่วงหล่นลงไปอยู่ไกลถึงหลายสิบจั้ง เลือดกระอักออกจากปากและจมูก ใบหน้าแก่ ๆ ขาวซีดไร้สีเลือดขึ้นมาในทันใด ร่างกระตุกขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด

ทุกคนนิ่งเงียบ ไร้สุ้มเสียง

ต่างก็ตื่นตระหนกกับภาพเหตุการณ์นี้จนอ้าปากค้าง

เพียงแค่สะบัดแขนเสื้อเท่านั้น มหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอย่างส่านอวิ๋นฉีกระเด็นออกไปไกลราวกับหนอนแมลงตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น!

จะไม่ให้คนอื่น ๆ ตะลึงได้อย่างไร?

ที่หนาวสะท้านยิ่งกว่าก็คือ เดิมทีซูอี้ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าที่นี่คือสถานที่ใด และไม่มีความหวาดกลัวต่อสิ่งใด จึงลงมือได้โดยไม่ต้องยั้ง

ทั้งหมดนี้ล้วนเกินกว่าที่พวกเขาทั้งหลายคาดเดาเอาไว้!

ต้องเข้าใจว่า งานปรึกษาหารือที่รวบรวมตัวตนระดับอย่างพวกเขาอยู่ด้วยเช่นงานนี้ หากไม่ใช่เวลาที่จำเป็นจริง ๆ จะไม่มีใครเริ่มเป็นฝ่ายพลิกโต๊ะก่อนอย่างแน่นอน

เพราะว่าผลที่ได้หลังการพลิกโต๊ะนั้นไม่คุ้มค่า ทำให้ทุกคนต้องเดือดดาล และตกเป็นเป้าหมายของคนอื่น!

แต่เห็นได้ชัดว่าซูอี้ไม่สนใจกับสิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อย และไม่สนใจด้วยว่าการทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดผลอันใด!

เพียงแต่ว่า พวกเขายังไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง…

เมื่อมีความสามารถเพียงพอจะพลิกโต๊ะ ใครกันจะไปสนใจถึงผลที่จะตามมา?

“คุณชายซู…”

หลานซัวนิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้น สมองชาไปหมด รู้สึกเพียงแต่ว่าซูอี้เวลานี้อหังการยิ่ง!

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset