📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 573

บทที่ 573 - จิ้งหรีดไม่รู้ใบไม้ผลิหรือโรย
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

แม้นซูอี้จะไม่เคยใส่ใจเกี่ยวกับผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณหรือผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันเหล่านั้น แต่ความจำของเขาก็ไม่เลว

เขาย่อมจำเยี่ยนจิงอวิ๋นได้

และเขาก็ยังคงจำยามพบกันคราแรกที่ภูเขาเทียนหมางได้ เยี่ยนจิงอวิ๋นเป็นคนทักเขาก่อน และเรียกตนเองว่า ‘นักดาบผู้หนึ่ง’

ครั้งหนึ่ง เยี่ยนจิงอวิ๋นกระทั่งเสนออย่างสนอกสนใจว่าต้องการหาโอกาสเรียนรู้วิถีดาบจากเขาบ้าง

แน่นอนว่าซูอี้ในยามนั้นตอบปฏิเสธ บอกไปตรง ๆ ว่าเยี่ยนจิงอวิ๋นไม่มีคุณสมบัติ

ยามนั้น สีหน้าของเยี่ยนจิงอวิ๋นย่ำแย่เล็กน้อยตามคาด ทว่าไม่ได้พูดอันใด

และเมื่อครานี้ได้พานพบเยี่ยนจิงอวิ๋นอีกครั้ง และอีกฝ่ายก็ได้เหยียบย่างสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเฉกเช่นจิงหลิงเจินแล้ว!

“ในโลกนี้ มีสิ่งต่าง ๆ มากมายเหลือเกินที่ไม่อาจนึกถึงได้”

ซูอี้รำพึง

เยี่ยนจิงอวิ๋นอดหัวเราะไม่ได้ เขากล่าวว่า “สหายเต๋าซูยังคงเย่อหยิ่งมั่นใจเช่นเคย”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวด้วยแววตาเจือความขี้เล่น “ข้าไม่ทราบว่าวันนี้สหายเต๋าซูคิดว่าเยี่ยนผู้นี้มีคุณสมบัติเข้ารับคำชี้แนะวิถีดาบจากเจ้าหรือยัง?”

คำพูดติดตลกนั้นเต็มไปด้วยความขำขัน

ทัศนคตินี้คล้ายคลึงกับหลี่หานเติงแต่เดิมมาก หลังจากเขาเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณและได้พานพบซูอี้ เขาก็ดูจะมีความรู้สึกเหมือนก้มลงมองผู้อื่นจากที่สูง

ก่อนหน้านี้ จิงหลิงเจินกล้าฟาดฟันส่งปราณดาบไปตรงหน้าซูอี้สามฉื่อและข่มขู่เขา เกรงว่าคงเป็นทัศนคติแบบเดียวกัน

เห็นได้ชัดว่าในใจพวกเขา ด้วยการฝึกฝนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลในวิถีต้นกำเนิดเช่นซูอี้ ความห่างชั้นจะยิ่งใหญ่ราวสวรรค์และมนุษย์!

ซูอี้มองเยี่ยนจิงอวิ๋นอย่างจริงจัง พลางกล่าวว่า “เกิดเป็นมนุษย์อย่าได้งมงายเกินไป ในวิถีดาบก็เช่นกัน”

เยี่ยนจิงอวิ๋น “…”

เขาย่อมตีความคำพูดของซูอี้ได้

คำดูแคลนซึ่งแสดงอยู่ในคำพูดลดคุณค่าทำให้เยี่ยนจิงอวิ๋นผงะ ชายผู้นี้ไม่รู้จริง ๆ หรือว่าความต่างระหว่างวิถีวิญญาณและวิถีต้นกำเนิดห่างกันเพียงไร?

เยี่ยนจิงอวิ๋นส่ายหน้าทันที เขาหัวเราะและกล่าวว่า “จิ้งหรีดไม่รู้ใบไม้ผลิหรือโรย และกบก็พูดคุยกับสวรรค์ไม่ได้ การใช้สำบัดสำนวนเช่นนี้คงไม่อาจหลีกเลี่ยง”

คนใจกว้างเช่นเขาไม่คิดนำเรื่องของซูอี้มาหนักใจตน

ต่อมา เยี่ยนจิงอวิ๋นก็ชี้ไปทางศึกบนสนามประลอง พลางกล่าวว่า “สหายเต๋าซูก็เห็นแล้ว เจ้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง โอกาสนี้ถูกข้าและพี่จิงจับจองแล้ว เราไม่มีความขุ่นข้องเคืองแค้นใด ๆ ต่อกัน และข้าไม่อยากให้เจ้าทำเรื่องโง่ ๆ”

พูดจบ เขาก็หันมองรอยดาบบนพื้นตรงหน้าซูอี้สามฉื่อ และกล่าวช้า ๆ “ดังนั้น ข้าขอแนะนำให้เจ้าฟังคำพูดพี่จิงและไม่ข้ามเส้นนี้ หาไม่…”

ก่อนทันพูดจบ เขาก็เห็นซูอี้พยักหน้า กล่าวว่า “ได้ ข้าจะให้พวกเจ้าทุกคนลองก่อน”

เยี่ยนจิงอวิ๋นสะดุ้ง ราวไม่เคยคิดว่าด้วยนิสัยถือดีของซูอี้ อีกฝ่ายจะยินยอมเต็มใจผ่อนปรนให้ผู้อื่นด้วย

เขาเอ่ยปากชื่นชมอย่างปลาบปลื้มทันที “สหายเต๋าซูเป็นคนฉลาดจริงแท้!”

ขณะเดียวกัน จิงหลิงเจินนั้นเงียบขรึม เฝ้ามองอย่างเฉยเมย ไม่พูดแม้สักคำ

เมื่อเห็นซูอี้ยอมถอย จิงหลิงเจินก็อดแสดงแววตารังเกียจแฝงเร้นออกมาไม่ได้ จึงหันศีรษะกลับไปมองศึกที่สนามประลองแทน

“สหายเต๋าซูมาถึงที่นี่ก่อนผู้อื่น หากคิดแล้ว เจ้าคงมีสมบัติลับที่สามารถหลบการจองจำแห่งยุคมืดได้ด้วยหรือ?”

เยี่ยนจิงอวิ๋นโพล่งถามขึ้น

ซูอี้ตอบอย่างเฉยเมย “การจองจำแห่งยุคมืดที่ปกคลุมภูเขาพระสุเมรุสลายไปแล้ว”

เยี่ยนจิงอวิ๋นม่านตาหดตัว พลางกล่าวอย่างประหลาดใจ “หากเป็นเช่นนั้น ไฉนเจ้าจึงมาที่นี่ผู้เดียวเล่า?”

ซูอี้กล่าว “ที่แห่งนี้อันตรายเกินไป การที่พวกเขาเลือกหยุดฝีเท้าคือการตัดสินใจอันชาญฉลาดที่สุด”

เยี่ยนจิงอวิ๋นยิ้มเยาะ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าไม่กลัวตายหรือไร สหายเต๋าซู?”

ซูอี้ถามกลับ “เจ้ามาถึงแต่ยามใด?”

เยี่ยนจิงอวิ๋นดูราวกับคาดไว้แล้วว่าจะถูกถามเช่นนี้ เขายิ้มและตอบกลับ “เหมือนพี่จิง ในวันที่ห้าหลังมาเยือนเกาะเซียนพระสุเมรุ ข้าก็ย่างเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ในเช้าตรู่วันที่เจ็ด พี่จิงและข้าร่วมมือกันทะลวงเข้ามาในภูเขาพระสุเมรุนี้ และผ่านมาได้ห้าวันจนยามนี้”

ซูอี้พยักหน้า พลางกล่าว “เช่นนี้เอง ดูเหมือนในยามที่เจ้ามายังภูเขาพระสุเมรุ เจ้าคงได้เผชิญหน้ากันบนเขาพระสุเมรุมาก่อนแล้ว เข้าใจสถานการณ์ จึงเตรียมตัวพร้อมสรรพก่อนลงมือ”

เยี่ยนจิงอวิ๋นยิ้มโดยไม่พูดจา

ซูอี้มองศึกบนสนามประลองห่างออกไป กล่าวว่า “น่าเสียดายที่แม้ว่าเจ้าจะมาไวเพียงไร ก็ไร้ผลอยู่ดี”

รอยยิ้มของเยี่ยนจิงอวิ๋นเลือนหาย จา่กนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความเช่นไร สหายเต๋าซู?”

ซูอี้กล่าว “ดาบเล่มนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าปราบได้”

เพิ่งสิ้นเสียง…

สงครามที่สนามประลองพลันเปลี่ยนกระแส

เคร้ง!

ดาบวิญญาณสีครามขึ้นสนิมโปรยพิรุณปราณดาบพรรณราย กดดันร่างของทั้งชายชราชุดขาวและชายอาภรณ์โลหิตให้เซถอยหลัง

ท้ายที่สุด เขาตื่นตะลึงเสียจนปลิวออกนอกสนามประลอง เกือบหล่นลงกระแทกพื้น สภาพดูไม่จืดยิ่ง

“แย่ชะมัด! พลาดอีกแล้ว…” สีหน้าของชายชราชุดขาวหม่นหมอง ทั้งตกใจและโกรธเคือง

ชายชุดแดงกัดฟันกรอด แม้นจะไม่พูดอันใด แต่สีหน้าก็มืดทะมึนสุดขีด

ในสนามประลอง ดาบวิญญาณสีครามหมุนไปรอบ ๆ และปาดเป็นเส้นตรงกลางอากาศ เงียบกริบและไม่ไล่ตามออกไป

มันให้ความรู้สึกราวดาบนี้กำลังพิทักษ์สนามประลอง ไม่อนุญาตให้คนนอกบุกรุก

เห็นเช่นนี้ ซูอี้ไม่ได้พูดอันใด ทว่าสีหน้าของเยี่ยนจิงอวิ๋นย่ำแย่ลงเล็กน้อย

“อาจารย์อาจู่ ท่านไม่เป็นไรหรือไม่?”

เยี่ยนจิงอวิ๋นก้าวออกไปหาชายชราชุดขาว

“ไม่เป็นไร”

ชายชราชุดขาวส่ายหัวด้วยสีหน้าระคนจนใจ “ดาบขจีบริสุทธิ์เล่มนี้คือดาบของราชันย์ปีศาจพระสุเมรุหยวนหมอเทียน แม้จะเสียหายหนัก แต่จิตวิญญาณและพลังของมันยังคงแข็งแกร่ง”

ดาบขจีบริสุทธิ์…

ซูอี้แสดงสีหน้าแปลกใจนิด ๆ ปรากฏว่าดาบขึ้นสนิมด่างดำนี้คือดาบขจีบริสุทธิ์ซึ่งกล่าวกันว่า ‘ดั่งรุ้งที่สามารถผ่าผืนฟ้า’!

มิน่าเล่า แม้เสียหายเพียงนี้ ทว่าก็ยังเกินคาดเดา

รูปลักษณ์ วัตถุดิบและพลังของดาบที่ราชันย์ปีศาจพระสุเมรุตีขึ้นเองย่อมเทียบกับดาบวิญญาณทั่วไปไม่ได้โน!วลกูดoทคอม

“ดาบเล่มนี้ใกล้หมดพลังแล้ว หากไม่สามารถใช้พลังที่ประตูจองจำทำจากสำริดบานนี้หนุนเสริม มันจะเป็นคู่ต่อสู้เราได้เช่นไร?” ชายชุดแดงแค่นเสียงเย็นชา

ทันใดนั้น เขาก็หันมามองซูอี้ จากนั้นกล่าวคำออก “ชายผู้นี้เป็นใคร?”

จิงหลิงเจินกล่าวอย่างเฉยเมย “ผู้ไม่เกี่ยวข้อง”

ชายอาภรณ์โลหิตขมวดคิ้วกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น ไยจึงไม่ฆ่าเล่า?”

จิตดั้งเดิมในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นสมบูรณ์ตนนี้ช่างกระหายเลือดโดยแท้!

จิงหลิงเจินกล่าว “ก็แค่ปลาซิวปลาสร้อย ไม่ส่งผลต่อการกระทำของเราหรอก”

“ผิดแล้ว สหายเต๋าซูไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อย”

เยี่ยนจิงอวิ๋นกล่าวเสียงดัง “ในระดับวิถีต้นกำเนิดทุกวันนี้ อำนาจต่อสู้ของสหายเต๋าซูไร้เทียมทานในโลกหล้า แม้จะแข็งแกร่งเช่นหวนเฉ่าโหยวยังหาใช่คู่ต่อกรเขาไม่”

ทั้งชายชราชุดขาวและชายอาภรณ์โลหิตต่างอดชะงักไม่ได้

พวกเขาทั้งหมดรู้ดีว่าหวนเฉ่าโหยว ทายาทตระกูลหวนเผ่ามารแข็งแกร่งเพียงไร ทว่าหากชายหนุ่มที่อยู่ห่างออกไปผู้นั้นสามารถเอาชนะหวนเฉ่าโหยวได้จริง เขาจะเป็นคนธรรมดาได้เช่นไร?

“ยิ่งกว่านั้น จักรพรรดิเซี่ยในปัจจุบันยังให้ค่าสหายเต๋าซูยิ่งนัก ไม่น่าแปลกใจเลย เมื่อยามสหายเต๋าซูก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ เขาจะกลายเป็นตัวตนเหนือธรรมดาเป็นแน่!”

เยี่ยนจิงอวิ๋นเอ่ยชมเขาอย่างใจกว้าง

เขากล่าวพลางยิ้มให้ซูอี้ที่ห่างออกไปด้วยแววตาสื่อความนัย “แน่นอน มันจะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อสหายเต๋าซูมีโอกาสรอดออกจากที่นี่ก่อน”

ซูอี้ดูเฉยเมย เมินคำพูดซ่อนเข็มในฝ้าย กล่าวว่า “ยังอยากลองต่อหรือไม่?”

ทุกคนต่างตกใจ

เยี่ยนจิงอวิ๋นขมวดคิ้วถาม “สหายเต๋าซูหมายความเช่นไร?”

ซูอี้กล่าวสบาย ๆ “ก่อนหน้านี้ข้ามอบโอกาสให้เจ้าลองสยบดาบนี้ ทว่าเห็นกันชัด ๆ ว่าทำไม่ได้ ยามนี้คือตาข้าลงมือแล้ว”

ทันทีที่คำเหล่านี้ถูกเอื้อนเอ่ย เยี่ยนจิงอวิ๋นก็แทบไม่เชื่อหู ถามขึ้นว่า “ตาเจ้า… สยบดาบขจีบริสุทธิ์หรือ!?”

จิงหลิงเจินกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าบอกว่า หากเจ้ากล้าข้ามเส้นนี้ หัวของเจ้าจะถูกบั่น!”

ชายชราชุดขาวเสสรวล “ช่างเถิด ให้เขาลองดู”

ซูอี้เมินคำพูดเหล่านี้ และเดินตรงดิ่งเข้ามาใกล้สนามประลอง

ชิ้ง!

จิงหลิงเจินชักดาบ ร่างเปี่ยมปราณพลุ่งพล่าน เย็นเยือกเสียดกระดูก พร้อมโจมตีทุกขณะ

“ปล่อยเขาไป” ชายวัยกลางคนชุดแดงกล่าวพลางมองซูอี้ราวมองคนใกล้ตาย

ห้าวันที่ผ่านมา พวกเขาได้ใช้ไพ่ตายเกลี้ยงหีบ และจนยามนี้ก็ยังไม่อาจสยบดาบขจีบริสุทธิ์ได้

ยามนี้ บุคคลในขอบเขตรวบรวมดาราคิดลองสยบดาบที่แกร่งเกินเอื้อม สิ่งนี้ต่างอันใดกับฆ่าตัวตาย?

จิงหลิงเจินเก็บดาบไปเงียบ ๆ สะกดกลั้นจิตสังหารในใจ ถูกของอีกฝ่าย บุคคลซึ่งเขาทิ้งไว้เบื้องหลังแสนนาน หากคิดอยากหาที่ตาย ก็ปล่อยให้สมหวังไป!

เมื่อเห็นร่างของซูอี้เดินเข้ามาใกล้สนามประลอง เยี่ยนจิงอวิ๋นก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “สหายเต๋าซู อย่าโทษเยี่ยนผู้นี้ว่าไม่เตือนเลย ยามข้าร่วมมือกับพี่จิงก่อนหน้านี้ เรายังห่างไกลจากการเป็นคู่มือของดาบขจีบริสุทธิ์ มีเพียงผู้อาวุโสทั้งสองของเราที่สามารถยืนหยัดต่อดาบนี้แบบกินกันไม่ลงได้ ยามนี้เจ้าเพิ่งอยู่ในขอบเขตรวบรวมดารา ยังมีหนทางรอดชีวิต หากไม่ฟังคำเตือนนี้…”

กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจ “เกรงว่าโลกนี้คงเสียบุคคลชั้นยอดไปอีกหนึ่ง…”

มันดูคล้ายคำเตือนสติ ทว่าที่จริงมันคือการล้อเลียน

ณ หน้าสนามประลอง ซูอี้กระทืบเท้า หันหลังให้ผู้คน แล้วกล่าวว่า “พลังของดาบนี้แข็งแกร่งสุดยอดจริงแท้ ทว่าน่าเสียดายที่มันไม่อาจส่งเจ้าไปตายได้ ดังนั้นจึงเอาแต่ขวางเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า”

สีหน้าของทุกคนล้วนมืดคล้ำ

“ซูอี้ เจ้าหมายความเช่นไร?”

สีหน้าของเยี่ยนจิงอวิ๋นมืดทะมึนเล็กน้อย

ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ “แม้ข้าจะพูดแล้ว เจ้าก็ไม่เข้าใจ”

เสียงยังไม่ทันสิ้น เขาก็เหยียบย่างสู่สนามประลอง

เคร้ง!

ยามนี้ ดาบวิญญาณขจีบริสุทธิ์ซึ่งยังลอยค้างอยู่ไกล ๆ ก็ทอแสงพร่างพราย เปล่งปราณดาบเย็นเยือกเยี่ยงหิมะและน้ำแข็ง แผ่กะจายทั่วนภา

เยี่ยนจิงอวิ๋น จิงหลิงเจิน ชายชราชุดขาวและชายวัยกลางคนชุดแดงต่างเมินความคิดเห็นของเขาและจับจ้องที่ดาบขจีบริสุทธิ์

ชิ้ง!

ดาบขจีบริสุทธิ์ดูราวสายรุ้งเจิดจรัส ปราณดาบครามขจีเกือบกลืนสนามประลองแห่งนี้ไปเสียมิด

เมื่อเห็นเช่นนี้ เยี่ยนจิงอวิ๋นและคณะต่างตกใจ พวกเขาอดเห็นจินตภาพนองเลือดของซูอี้ที่ถูกดาบบั่นคอคาที่ขึ้นมาในหัวไม่ได้

พวกเขาตระหนักรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของดาบเล่มนี้แล้ว แม้ว่าจะเป็นตัวตนผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบก็ยังไม่อาจต่อกรกับมันได้ อย่าว่าแต่ผู้อยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราเพียงผู้เดียวเลย?

ในขณะเดียวกัน สีหน้าของซูอี้ก็ไม่ไหวหวั่น มือขวาของเขายกขึ้น ริมฝีปากกระซิบ

“เจ้าดาบน้อย ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว เลือกเองเถิด”

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset