📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 572

บทที่ 572 - หากเจ้ากล้าข้ามเส้นนี้ ศีรษะจะถูกบั่น
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

ครืน!

ปราณหยินวิญญาณเหมันต์สีฟ้าน้ำแข็งบิดม้วนเยี่ยงกระแสน้ำ

ร่างของซูอี้เคลื่อนไหวรวดเร็วไปยังสุดก้นถ้ำราวมัจฉาแหวกวารี

คลื่นน้ำกระเพื่อมเป็นวงปรากฏขึ้นบนผิวทั่วกาย และเมื่อเขาเคลื่อนร่างผ่านปราณหยินวิญญาณเหมันต์ เขาก็ไม่ได้รับผลใด ๆ จากมันเลย

ยิ่งลงไปลึก ปราณหยินก็ยิ่งเข้มข้นหนาแน่น พลังจากจิตสัมผัสเองก็ถูกขัดขวาง อย่างมากที่สุดที่สัมผัสได้ก็เป็นเพียงระยะทางในรัศมีสิบจั้งเท่านั้น

ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ซูอี้จึงใช้เคล็ดวิชา ‘เนตรเปลวเพลงสีทอง’ ดวงตาของเขาเรืองแสงสีทอง ลวดลายลึกลับเกี่ยวกระหวัดพิสดารเป็นประกาย

สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถมองเห็นพื้นที่ระยะร้อยจั้งได้ ยามเกิดอุบัติภัย เขาจะได้ไหวตัวไม่สายไป

สามพันจั้ง

ห้าพันจั้ง

เมื่อมาถึงพื้นที่ใต้พิภพแปดพันจั้ง ซูอี้ก็ขมวดคิ้ว

ปราณหยินวิญญาณเหมันต์รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับกระแสน้ำหนาหนักอันหนาวยะเยือก ยิ่งลงไปลึก แรงดันยิ่งทวีคูณ

การที่ผู้ฝึกตนทั่วไปจะขยับกายแทบเป็นไปไม่ได้เลย

หากฝืนทน พวกเขาจะถูกปราณหยินวิญญาณเหมันต์ปกคลุมร่างและหนาวจนแข็งตาย!

“กระทั่งชีพจรฟ้าดินยังยากสร้างปรากฏการณ์เช่นนี้ หรือปราณหยินวิญญาณเหมันต์จะมารวมกันเพราะวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ที่ซุกซ่อนอยู่อย่างนั้นหรือ?”

ดวงตาซูอี้วูบไหว

วัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์คือสมบัติที่ถือกำเนิดนับแต่ก่อกำเนิดฟ้าดิน พวกมันสามารถพบพานแต่ไม่อาจค้นหา และความล้ำค่าของมันมากพอจะทำให้ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิน้ำลายหก!

ยิ่งกว่านั้น ซูอี้ยังสงสัยมากว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ซึ่งถูกฝังอยู่ในภูเขาพระสุเมรุจะมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับการจองจำแห่งยุคมืด

“หากเป็นเช่นนั้น อันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ก็ย่อมเหนือธรรมดา”

ขณะกำลังครุ่นคิด ซูอี้ก็ยังคงโรยร่างดิ่งลงไป

เมื่อถึงระดับเก้าพันจั้ง ดวงตาของซูอี้ก็ฉายประกายวาบ และความเร็วในการเหินของเขาก็รวดเร็วขึ้น

ไม่กี่อึดใจถัดมา ซูอี้ก็ทะยานออกจากมวลปราณหยินวิญญาณเหมันต์ราวปลากระโดดเหนือผิวน้ำ ร่างของเขาพลิ้วลงสู่พื้น

ภาพตรงหน้าเขาเปลี่ยนแปรไปฉับพลัน

นี่คือโลกใต้พิภพ กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา

สิ่งที่น่าตกใจคือโลกแห่งนี้เต็มไปด้วยหลุมฝังศพแน่นขนัด และที่หน้าหลุมศพแต่ละแห่งต่างมีป้ายหลุมศพศิลา

ไอหมอกโลหิตลอยอ้อยอิ่งในอากาศ ปกคลุมหมู่หลุมศพ เพิ่มบรรยากาศชั่วร้ายให้กับสถานที่

ไม่ว่าใครที่ได้เห็นสถานที่นี้ เกรงว่าคงเข้าใจผิดเป็นแน่ว่าตนได้หลงเข้าสู่สุสานใต้พิภพ

“เหตุใดจึงมีป้ายหลุมศพมากมายเช่นนี้อยู่ใต้ภูเขาพระสุเมรุกัน?”

ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย และเห็นว่าไกลออกไปในหมู่หลุมศพอันหนาตา มีประตูสีดำบานหนึ่งเชื่อมต่อระหว่างผืนนภาและผืนพิภพราวประตูแห่งโลกา กว้างใหญ่ไร้ใดเทียบ

ราวกับเป็นรัตติกาลที่แผ่คลุมทั่วโลก ทำให้ผู้คนใจหายวาบ

เพราะระยะห่างไกลเกินไป ซูอี้จึงมองไม่เห็นว่าเกิดอันใดขึ้น และไม่อาจยืนยันต้นกำเนิดของประตูสีดำอันคล้ายกับคูเมืองนี้ได้

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็จิกปลายนิ้วของตน โลหิตสีทองสายหนึ่งผุดออกมา จากนั้นโลหิตสีทองก็สั่นไหวเล็กน้อยราวกับสัมผัสบางสิ่งได้

“ดูเหมือนว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์จะซุกซ่อนอยู่ในที่อันห่างไกลมาก”

ซูอี้เก็บโลหิตทองคำไปและสรุปเช่นนั้น

เขาไม่ได้รีบร้อนลงมือ จากนั้นก็เดินไปยังหลุมศพที่ใกล้ที่สุด ดวงตาทอดมองลงบนป้ายหลุมศพเบื้องหน้า

อักขระจารึกบนป้ายหลุมศพเป็นภาษาปีศาจโบราณ ลายมือบนป้ายเขียนหวัด ๆ อย่างเห็นได้ชัดเจนว่าเร่งรีบจารึก

“ศิษย์ในสำนักหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุรุ่นที่เก้า สุสานแห่งวังซูเหมย” ซูอี้อ่านออกเสียง

ไร้สิ่งใดควรจดจำ

เขาหลับตาลง และก้าวมาเบื้องหน้า สายตามองป้ายสุสานหน้าหลุมศพอีกหลุม

“ศิษย์ในสำนักหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุรุ่นที่เก้า สุสานแห่งเจี่ยนหมิงชง” ลายมือบนป้ายยังคงหวัด เห็นได้ชัดว่ามาจากคนเดียวกัน

ซูอี้เดินหน้าต่อ ป้ายหลุมศพแทบทุกหลุมที่เขาเห็นระหว่างทางแทบเหมือนกันหมด มีเพียงชื่อและฐานะของแต่ละป้ายเท่านั้นที่แตกต่างกัน

ทว่าซูอี้ก็มีเมฆหมอกแห่งความเคลือบแคลงเกิดขึ้นในใจ

ที่แห่งนี้มีสุสานอย่างน้อยที่สุดก็หลายพัน ทว่าผู้อยู่ในหลุมเหล่านั้นแทบทั้งหมดเป็นศิษย์รุ่นที่เจ็ดถึงเก้า

นอกเหนือจากนั้น ลายมือที่จารึกบนป้ายหลุมศพต่างมาจากคน ๆ เดียวกัน

มันให้ความรู้สึกเชิงว่าผู้ที่ถูกฝังที่นี่ต่างประสบภัยพิบัติบางอย่างและตกตายตามกัน จากนั้นผู้เหลือรอดจึงฝังพวกเขาไว้ที่นี่ด้วยกัน ตั้งป้ายหลุมศพเพื่อพวกเขาแค่ละคน!

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมื่อการจองจำแห่งยุคมืดปรากฏขึ้นเมื่อสามหมื่นปีก่อน จะเกิดภัยพิบัติอันใดขึ้นที่นี่ ดังนั้นศิษย์หอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุจึงหนีไม่ทันและตายลง?”

ซูอี้ครุ่นคิด

ทันใดนั้น เสียงการต่อสู้ก็แว่วมาจากไกล ๆ

ม่านตาของซูอี้หดตัวเล็กน้อย เผยให้เห็นสีหน้าแปลกประหลาด มีผู้มาถึงก่อนเขาหรือ?

เขาไม่มัวคิดมากและใช้วิชาหลบหนีทะยานเวหาทะยานไกลออกไป

หลังทะยานผ่านหลุมศพอันแน่นขนัดไปเบื้องหน้า เขาก็เผชิญกับโลกอันมืดมนหดหู่ เศษซากศพลอยดั่งดวงดาราหนาแน่น เคว้งคว้างบนนภากาศอย่างเงียบงัน

หมอกโลหิตหนาโรยตัวลงจากเบื้องสูงเยี่ยงน้ำตก เป็นสีแดงฉาน

เป็นภาพอันน่าขนลุก

ผู้คนอาจนึกถึงหมอกสีเลือดอันปกคลุมนภาเหนือยอดเขาพระสุเมรุ และซากศพดุจดารานับไม่ถ้วนซึ่งยังคงถูกแขวนห้อย

ทว่าซูอี้กลับมองว่าภาพตรงหน้าแตกต่างออกไป!

จำนวนและขนาดของซากศพดาราล่องลอยเหนือโลกใต้พิภพนี้มากยิ่งกว่าที่เขาได้เห็น ณ โลกภายนอกเสียอีก!!

และหมอกโลหิตเหล่านั้นมีปราณมรณะเน่าเหม็นเจืออยู่ แม้จะไม่เป็นอันตราย ทว่าหากปล่อยให้แทรกซึมเข้าสู่ร่างได้ มันจะกัดกร่อนพลังชีพและแปดเปื้อนวิญญาณ…

ครึ่งชั่วยามผันผ่าน

ในที่สุด ซูอี้ก็ได้เห็นว่าประตูสีดำทมิฬซึ่งเชื่อมนภาและแดนดินไกลออกไป ที่แท้แล้วคือประตูเชื่อมมิติ สร้างขึ้นจากพลังมิติอันลึกลับและลึกล้ำ!

ณ ก้นบึ้งของประตูสีดำ มีบานประตูสำริดสูงเก้าจั้งตั้งอยู่

ประตูสำริดนี้ปิดสนิท ฝังอยู่ด้านในประตูมิติ สลักอักขระอาคมลึกลับนับไม่ถ้วน

“พรมแดนมิตินี้ถูกใช้เพื่อแยกตัวจากโลกภายนอก สร้างเป็นประตูกั้นเขตแดน การจัดวางเช่นนี้ทำให้แม้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ ทว่าหากไม่เข้าใจเคล็ดวิชาปลดผนึกพลัง คนผู้นั้นก็จะทำได้เพียงหยุดลงที่นี่”

ซูอี้ครุ่นคิด

เขาเลื่อนสายตาไปยังอีกสถานที่ไม่ห่างจากประตูสำริดทันที

มีสนามประลองขนาดหลายพันจั้งตั้งอยู่

ยามนี้ ศึกอันดุเดือดบังเกิดขึ้นในสนามประลอง

ชายชราชุดขาวสวมหมวกทรงสูงผู้หนึ่งกำลังผนึกกำลังร่วมกับชายวัยกลางคนในอาภรณ์สีเลือด ต่อสู้อย่างดุเดือดกับดาบวิญญาณเล่มหนึ่ง

นี่คือศึกอันแสนอันตรายและหาได้ยากยิ่ง

ซูอี้มองปราดแรกก็เห็นได้ว่าชายชราชุดขาวและชายวัยกลางคนชุดแดงต่างเป็นมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบโนlวลกูดอทคoม

ชายชราชุดขาวควบคุมดาบวิญญาณสีหิมะพิสุทธิ์ วิถีดาบของเขาสูงส่งยิ่ง แม้จะต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มบุคคลในขอบเขตสยายวิญญาณก็ยังถือไพ่เหนือกว่าได้

ส่วนชายวัยกลางคนในชุดสีเลือดถือง้าวสั้นสีดำในมือแต่ละข้าง อำนาจร้ายกาจของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าชายชราชุดขาว

จากการตัดสินของซูอี้ ด้วยความแข็งแกร่งของมหาปราชญ์สวรรค์ทั้งสอง พวกเขาก็พอที่จะรับมือหวนเฉ่าโหยว ผู้ร้ายกาจแห่งยุคโบราณผู้ซึ่งเพิ่งเลื่อนขอบเขตได้!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจิตดั้งเดิมทั้งสองมีที่มาที่ไปมากมาย

ทว่าสิ่งที่ทำให้ซูอี้สนใจได้จริง ๆ ก็คือคู่ต่อสู้ของทั้งสอง

มันคือดาบวิญญาณขึ้นสนิมกระดำกระด่างเล่มหนึ่ง ยาวสามฉื่อสองชุ่น ใบดาบทั้งเล่มเป็นสีน้ำเงินครามเลื่อมพราย

ดาบเล่มนี้คมกริบราวอสนีบาต แข็งแกร่งเยี่ยมยอด เพียงปาดเบา ๆ ก็สร้างลำแสงดาบเจิดจ้าพร่างพรายราวเกล็ดน้ำแข็งหิมะสีฟ้าอ่อนโปรยปราย เย็นและสว่างไสว กำเนิดแสงสว่างแก่จักรวาล

แม้จะต้องต่อสู้กับสองจิตดั้งเดิมในขอบเขตสยายวิญญาณระดับสมบูรณ์แบบก็ยังไม่แพ้พ่าย!

ทว่าซูอี้สังเกตเห็นว่าที่ใบดาบมีรอยร้าวมากมาย มีสนิมเกาะกระดำกระด่างและสีของคราบเลือดเกรอะกรังลบไม่ออก ซึ่งทำให้สนิมสีทองแดงบนใบดาบปรากฏเฉดสีชาดจาง ๆ

เมื่อมองจากไกล ๆ ดาบเล่มนี้ดูโบราณอย่างยิ่งและให้ความรู้สึกถึงเวลาที่ผันผ่าน ใบดาบสีน้ำเงินครามมีสนิมเกาะแซมแดง แม้จะมีรอยร้าว ทว่าพลังของมันยังคงร้ายกาจจนชวนให้ผู้คนตัวสั่น

“ดาบนี้… ไม่เลว!”

ซูอี้อดแปลกใจไม่ได้

ในฐานะนักดาบ เขาจะไม่เห็นได้เช่นไรว่าดาบนี้น่าอัศจรรย์ใจเพียงไร?

กล่าวได้ว่านี่คือดาบโบราณระดับสูงสุดที่เขาได้พบพานนับแต่เข้าสู่ต้าเซี่ย

ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหลอมดาบ วิธีขัดเกลา หรือจิตวิญญาณเฉพาะตัวที่แผ่ออกมาจากใบดาบล้วนแล้วแต่น่าทึ่งไม่ธรรมดา

สิ่งเดียวที่น่าเสียดายนั้นคือดาบเล่มนี้มีตำหนิ ตัวดาบเสียหายอย่างหนัก หาไม่ อำนาจของมันจะเลิศล้ำยิ่งกว่าปัจจุบัน

เคร้ง!

ทันใดนั้น เสียงดาบกู่ร้องก็ดังสะท้าน

แทบจะในคราเดียวกัน ปราณดาบสีเงินก็ปรากฏขึ้น ตวัดฟันใส่ซูอี้

ซูอี้ยืนนิ่ง แววตาเยือกเย็น

ตู้ม!

ปราณดาบสีเงินนี้ฟาดลงตรงหน้าเขาสามฉื่อ ทำพื้นร้าวเป็นทางยาว และปราณดาบที่แหลกสลายเป็นจุณกระจายไปทุกหนแห่ง ส่งผลให้อาภรณ์สีเขียวของซูอี้ส่งเสียงหวีดแหลม

เมื่อฝุ่นควันจางหาย สุรเสียงเย็นชาแข็งกร้าวก็ดังขึ้น เฉียบคมราวคมมีด

“หากเจ้ากล้าข้ามเส้นนี้ ศีรษะจะถูกบั่น”

ซูอี้เงยหน้าขึ้น พบชายชุดดำผู้หนึ่งยืนอยู่ในเงามืดนอกสนามประลองพันจั้ง

เขาร่างผอมสูง ผมหนายาวสยายยุ่งเหยิงดั่งกอหญ้า ใบหน้าดูราวไร้โลหิต บรรยากาศคล้ายคนขี้โรค

จิงหลิงเจิน!

ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณแห่งสำนักผลาญตะวัน ผู้มีบุคลิกเฉยเมยเก็บตัว

แม้เขาจะไม่เป็นที่รู้จักในต้าเซี่ย ทว่าในตัวตนยุคโบราณ เขาค่อนข้างไร้ปรานี

ทันทีที่มายังเกาะเซียนพระสุเมรุ ซูอี้ก็ได้พบกับอีกฝ่าย และทราบจากเวิงจิ่ว ว่าแม้จิงหลิงเจิน เยี่ยนจิงอวิ๋น และโม่ซิงเจ๋อจะไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมมวลพฤกษา หากแต่ทั้งสามต่างก็มีวิถีเต๋าและความสามารถสูงส่งกว่าใคร!

ยามซูอี้มองมา จิงหลิงเจินนั้นเฉยชาอย่างมาก ทั้งยังให้ความรู้สึกกดดันราวเป็นคมมีด

ไร้การปิดบังจิตมุ่งร้าย!

ซูอี้ไม่ได้มีโทสะ สีหน้าของเขาเฉยเมยไม่ต่างจากก่อน

เขาเห็นได้ว่าจิงหลิงเจิน บุคคลระดับสูงสุดในหมู่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณได้เหยียบย่างสู่วิถีวิญญาณแล้ว บางทีอาจเพราะเหตุนี้ กิริยาของอีกฝ่ายจึงแข็งแกร่งดุดัน ทั้งยังก้าวร้าว

จู่ ๆ เสียงหัวเราะอีกเสียงก็ดังกังวาน “ไม่คาดว่านอกจากข้าและพี่จิง สหายเต๋าซูยังมาถึงที่นี่เป็นผู้แรก”

ไกลออกไป ณ อีกฝั่งของสนามประลองอันโอฬาร ร่างหนึ่งเดินออกมาปรากฏกาย

ชายผู้นี้มีผิวสีดำแดง คิ้วกระจัดกระจายและเส้นผมสยายยาว

เขาสวมชุดคลุมสีดำ แบกกล่องดาบไว้บนหลัง ดวงตากระจ่างเยี่ยงดวงดาว เขายกมือขึ้นทักทาย เผยบรรยากาศดุดันฉูดฉาด

เยี่ยนจิงอวิ๋น!

ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณแห่งสำนักวิถีสุญญะ นายเหนือผู้ได้รับการยอมรับจากสำนักวิถีแห่งใต้หล้า

ในด้านภูมิหลัง ประวัติและฝีมือ คนผู้นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าหวนเฉ่าโหยว เฉิงผู และบุคคลชั้นยอดในหมู่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณเลย และเป็นที่รู้จักในนาม ‘ดาบคลั่ง’!

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset