📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 558

บทที่ 558 - ภูเขาพระสุเมรุ
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“ทำตามแต่ใจต้องการ?”

หลี่หานเติงสูดหายใจลึก สะกดกลั้นจิตสังหารในใจพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะตั้งตารอว่ายามเมื่อตัวตนจากยุคโบราณอย่างหวนเฉ่าโหยวกับโม่ซิงเจ๋อมาพบเจ้า เจ้าจะทำตามแต่ใจต้องการได้หรือไม่!”

ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ “หากข้าเป็นเจ้า หลังจากย่างเท้าสู่วิถีวิญญาณก็คงกล้าสังหารอริอย่างเด็ดขาด ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยังอยากยืมมีดผู้อื่นมาจัดการกับข้า ช่างน่าผิดหวังนัก”

“เจ้า…”

สีหน้าของหลี่หานเติงพลันย่ำแย่

ซูอี้มองสบตากับอีกฝ่าย พลางกล่าวว่า “เจ้ากล้าหรือไม่?”

บรรยากาศตึงเครียดทันที

สีหน้าของหลี่หานเติงโลเล

เนิ่นนาน จากนั้นเขาก็ยิ้มเยาะ “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงคิดยั่วยุข้า แต่บนเกาะเซียนพระสุเมรุนี้ ในเมื่อหวนเฉ่าโหยว โม่ซิงเจ๋อและคนอื่น ๆ ต่างเล็งหมายหัวเจ้า ไฉนข้าต้องลงมือด้วย?”

“ไปกันเถิด!”

กล่าวจบ หลี่หานเติงก็เดินจากไป

อู๋ซุ่นและกู่หานชิวเห็นได้ชัดว่ายังไม่พอใจ ชัดเจนเสียจนพวกเขาทำได้เพียงอดทน ก่อนหันหลังเดินจาก

“หลี่หานเติงผู้นี้ไม่กล้าทำอันใดแต่ต้นจนจบ เห็นได้ชัดว่าเขายังคงกลัวศิษย์พี่ซูอยู่มาก”

เหวินซินจ้าวครุ่นคิดขณะมองพวกหลี่หานเติงหายลับไป

“เรื่องปกติ ในอดีตเมื่อเขายังอยู่ในขอบเขตเปิดทวาร ศิษย์พี่ซูก็สามารถสังหารฮั่วเทียนตูและบุคคลระดับสูงในช่วงกลางของวิถีวิญญาณได้ ยามนี้ศิษย์พี่ซูเลื่อนสู่ขอบเขตรวบรวมดารา จึงนับว่าสมเหตุสมผลหากหลี่หานเติงจะเป็นกังวล”

“ทว่าข้าไม่คาดว่าผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันเช่นเขาจะขี้ระแวงเพียงนี้แม้จะก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว”

“ความระมัดระวังช่วยชีวิตคนได้นะ”

เก๋อเฉียนกล่าว “เมื่อครู่หากเขาไม่ระวังตนและเลือกโจมตี ผลลัพธ์อาจต้องเสียชีวิตก็ได้”

แล้วทุกคนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

ซูอี้กล่าว “ความระมัดระวังไม่ใช่สิ่งแย่ อย่าพูดถึงการยืมมีดฆ่าคนเลย ด้วยนิสัยของหลี่หานเติง เขาย่อมไม่อยากรับความเสี่ยงอยู่แล้ว”

“ศิษย์พี่ซู เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่จัดการเขาเสีย?”

เหวินซินจ้าวถามอย่างฉงน

“ข้าไม่ใช่ฆาตกร ดังนั้นจึงไม่ควรสนใจคนเช่นเขามากนัก”

ซูอี้กล่าวอย่างเรื่อยเปื่อย “ยิ่งกว่านั้น เจ้าคิดหรือว่าหากข้าสังหารหวนเฉ่าโหยวและโม่ซิงเจ๋อลง คนอย่างหลี่หานเติงจะยังกล้าเป็นศัตรูกับข้าอีก?”

ทุกคนต่างส่ายหน้า

หากหวนเฉ่าโหยวและโม่ซิงเจ๋อผู้เหยียบย่างสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณยังไม่ใช่คู่ต่อกรของซูอี้ แล้วหลี่หานเติงจะกล้าเป็นศัตรูซูอี้ได้เช่นไร?

“ไปกันเถิด”

ซูอี้ไม่เสียเวลา แล้วจึงหันหลังจากไป

กลางดึก

“ศิษย์พี่หลี่ เหตุใดก่อนหน้านี้ท่านจึงไม่ฆ่าซูอี้เสีย?”

อู๋ซุ่นอดถามไม่ได้

กู่หานชิวเองก็มองหลี่หานเติง

“อย่าได้นำตนเองไปอยู่ในอันตราย เมื่อยามซูอี้อยู่ในขอบเขตเปิดทวาร เขาก็สังหารผู้อาวุโสในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้แล้ว”

หลี่หานเติงกล่าวอย่างใจเย็น “และคืนนี้ เขาก้าวสู่ขั้นรวบรวมดารา เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนแน่นอน …ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การนำตนไปเสี่ยงไม่ฉลาดเลยสักนิด”

อู๋ซุ่นไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวว่า “แต่เรามีไพ่ตายลับเป็นของขวัญจากอาจารย์ และด้วยผลการฝึกฝนปัจจุบันของท่าน เราก็น่าจะฆ่าซูอี้ได้แล้วแท้ ๆ”

หลี่หานเติงถามกลับ “หากซูอี้เป็นเหมือนกันเล่า? ผู้ท้าทายอำนาจสวรรค์เช่นนั้นจะไร้ไพ่ตายหรือไร?”

อู๋ซุ่นและกู่หานชิวเงียบไปครู่หนึ่ง

“รอก่อน หวนเฉ่าโหยวกับโม่ซิงเจ๋อไม่มีทางปล่อยซูอี้ไปแน่!”

แววตาของหลี่หานเติงวูบไหว

เขาไม่กลัวหากจะไปต่อสู้กับซูอี้

ทว่าในสถานการณ์ยามนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย

“ศิษย์พี่หลี่ เราจะทำเช่นไรต่อ?”

กู่หานชิวถาม

“ไปภูเขาพระสุเมรุ สถานที่ตั้งประตูของหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุ ที่นั่นต้องมีโอกาสและทรัพย์สมบัติมากมายจากหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุอยู่แน่”

หลี่หานเติงกล่าว “หากข้าคาดไม่ผิด น่าจะมีผู้ก้าวสู่วิถีวิญญาณหลายต่อหลายคนไปยังที่นั่นแล้ว”

วันที่สิบเดือนสิบ

ยามเช้าตรู่

“นี่หรือคือภูเขาพระสุเมรุ?”

กู่ชางหนิงมองไปไกลด้วยสีหน้าประหลาดใจ

สุดสายตาคือที่ราบกว้างใหญ่ มีขุนเขาสีทองสูงชันตั้งตระหง่านจากพื้น อาบไล้ด้วยแสงพิสดารสีดำและเงามืด

และเหนือยอดเขา มีหมอกสีโลหิตปกคลุมน่านฟ้าและดวงตะวัน มีซากดวงดารามากมายลอยห้อยอยู่ในหมอกสีเลือดอย่างเงียบงัน

มองจากไกล ๆ ภาพนี้ทำให้หัวใจของผู้มองเต้นกระตุก

ภาพนี้พิลึกเกินไป

ภูเขาทองลูกหนึ่งถูกปกคลุมด้วยแสงเงาดำขมุกขมัว หมอกโลหิตแผ่ปกคลุมใต้นภา เต็มไปด้วยซากศพดวงดารา สร้างเป็นบรรยากาศมืดหม่นชวนระทึกใจ

“ลือกันว่าเกาะเซียนพระสุเมรุนี้บรรจุความลับเกี่ยวข้องกับการจองจำแห่งยุคมืดไว้ หรือความลับที่ว่าจะอยู่ในภูเขาพระสุเมรุนี้?”

กู่ชางหนิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพลิ้วกายจากไป

ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่สูงส่งของภูเขาพระสุเมรุซึ่งตรงราวกับเป็นเสาค้ำนภาได้ เมื่อมาอยู่ต่อหน้า ผู้คนช่างเล็กจ้อยดั่งมด

เมื่อสามหมื่นปีก่อน หอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุเคยเป็นหนึ่งในสามสำนักผู้ฝึกปีศาจแห่งโลกหล้า เคียงข้างหอเซียนดาบและสำนักผลาญตะวัน

หากกล่าวถึงภูมิหลังและความแข็งแกร่ง หอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุสามารถครองตำแหน่งสำนักผู้ฝึกปีศาจอันดับหนึ่งได้อย่างมั่นคง

ผู้ก่อตั้งของมัน ‘ราชันย์ปีศาจพระสุเมรุ’ คือหนึ่งใน ‘เก้าราชันย์แห่งคังชิง’ เมื่อนานมาแล้ว

ในฐานะประตูแห่งหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุ ภูเขาพระสุเมรุย่อมเป็นหุบเขาลือนามชั้นหนึ่งอันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกา มันคือดินแดนบริสุทธิ์ไร้มลทินในใจของเหล่าผู้ฝึกตนบนโลกนี้โนlวลกูดอทคoม

ทว่ายามนี้ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี้กลับแปลกประหลาดและมืดครึ้มยิ่งนัก

“หือ?”

ไม่นานจากนั้น กู่ชางหนิงก็กระทืบเท้า

ณ ตีนเขาพระสุเมรุมีสนามประลองอันโอฬารอยู่แห่งหนึ่ง ที่สุดสนามประลองคือประตูภูเขา

เพียงแค่ว่าประตูภูเขานี้พังทลายลงไปนานแล้ว รูปสลักหินแตกกระจายและโขดหินระเกะระกะมากมาย ภายในประตูภูเขาคือเส้นทางบนเขาซึ่งปกคลุมด้วยแสงเงาขมุกขมัว

เส้นทางบนเขานี้แต่เดิมเคยเป็นบันไดหินวน ทว่ายามนี้กลับเสียหายหนักและเปื้อนคราบโลหิตจนน่าตกใจ

“นานมาแล้ว ที่นี่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดและน่าหวาดหวั่นเกิดขึ้นเป็นแน่!”

กู่ชางหนิงตะลึงอึ้ง

“มีผู้มาที่นี่อีกแล้ว”

“อืม ที่แท้ก็เป็นกู่ชางหนิง”

มีเสียงแว่วมาจากทางสนามประลอง

กู่ชางหนิงมองขึ้นไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

เขาเห็นร่างสิบกว่าร่างยืนอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ สนามประลองยักษ์

หวนเฉ่าโหยว โม่ซิงเจ๋อ หลวงจีนเฉินลวี่ และเหล่ายอดฝีมือต่างมารวมตัวกัน

ทว่า กู่ชางหนิงสังเกตเห็นบางอย่างผิดแปลก

ร่างสิบกว่าร่างนี้ดูจะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย

ฝั่งหนึ่งมีผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณเจ็ดคน นำโดยหวนเฉ่าโหยวและโม่ซิงเจ๋อ

พวกเขายืนอยู่ในสนามประลอง

ในขณะที่อีกฝั่งคือเหล่าผู้เก่งกาจยุคปัจจุบันห้าคน นำโดยหลวงจีนเฉินลวี่ รวมถึงอวี่เหวินซู่ เจียงหลีและคนอื่น ๆ

พวกเขายืนอยู่นอกสนามประลอง

ความแตกต่างชัดเจน

สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณหรือผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบัน พวกเขาทั้งหมดต่างก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเป็นที่เรียบร้อย!

กล่าวอีกอย่างคือ ผู้ยืนอยู่ในบริเวณนั้นในยามนี้ก็คือมหาปราชญ์สวรรค์สิบสองคนผู้มีความสามารถเหนือธรรมดาและพื้นหลังอันแข็งแกร่ง!

ทว่าไม่ว่าใครก็เห็นได้ว่ากลุ่มผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณนั้นได้เปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย

“พี่กู่ เจ้าเพิ่งมาถึง ยังไม่รู้สถานการณ์ที่หน้าภูเขาพระสุเมรุ มาสิ ให้ข้าแนะนำเจ้า!” ที่สนามประลอง ชายหนุ่มผมขาวในชุดคลุมกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“โอ้ เช่นนั้นข้าก็ต้องขอขอบคุณพี่ฉีแล้ว”

กู่ชางหนิงรู้จักอีกฝ่าย นามเขาคือฉีเซียว ตัวตนชั้นหนึ่งในหมู่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณ แม้จะไม่ร้ายกาจเช่นหวนเฉ่าโหยว โม่ซิงเจ๋อ และผู้อื่น แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็นับว่าเยี่ยมยอด

“ฮ่า ๆ ขอบคุณ”

ฉีเซียวยิ้มสว่างไสว จากนั้นเขาก็กล่าวแนะนำสถานการณ์

กู่ชางหนิงเข้าใจอย่างรวดเร็ว

เหตุที่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณและผู้เก่งกาจยุคปัจจุบันเหล่านี้มารวมตัวกัน ก็เพราะรอโอกาสเพื่อเข้าสู่ภูเขาพระสุเมรุ!

จากคำกล่าวของฉีเซียว แสงเงาขมุกขมัวที่ปกคลุมภูเขาพระสุเมรุนั้นคือพลังที่เหลืออยู่ของ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ ซึ่งยามนี้อ่อนแอลงมาก

จากการตีความของพวกเขา ในสามวัน อำนาจของการจองจำแห่งยุคมืดจะหายไปโดยสมบูรณ์

และยามนั้นคือช่วงที่ดีที่สุดในการเข้าสู่ภูเขาพระสุเมรุ

โดยสนามประลองที่พวกเขาอยู่ในยามนี้มีนามว่า ‘แท่นจุติเทียนเต๋า’ เป็นสถานที่ซึ่งอยู่ใกล้ประตูภูเขาพระสุเมรุที่สุด

“พี่กู่ ท่านก็เห็นว่ายามนี้ แท่นจุติเทียนเต๋าถูกเรา ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณครอบครอง”

ฉีเซียวกล่าว “ผู้ใดก็ตามที่เลือกอยู่ข้างเราจะได้รับโอกาสเข้าสำรวจภูเขาพระสุเมรุเป็นกลุ่มแรก”

“อีกประการ ยามค้นหาโอกาสโชคลาภ หากผู้ใดกล้าประชัน เขาคนนั้นจะเป็นศัตรูและคู่ต่อสู้ของเราทั้งผอง!”

กล่าวจบ เขาก็มองพวกหลวงจีนเฉินลวี่ซึ่งอยู่นอกสนามประลอง เห็นได้ชัดว่าแฝงความนัยบางอย่าง

“อย่างนี้เอง”

กู่ชางหนิงตระหนักเข้าใจ

หวนเฉ่าโหยว โม่ซิงเจ๋อ ฉีเซียว และผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณคนอื่น ๆ ร่วมพันธมิตรกันอย่างเห็นได้ชัด และยึดครองแท่นจุติเทียนเต๋าไว้ก่อนผู้ใด

ในลักษณะนี้ ยามเข้าสู่ภูเขาพระสุเมรุเพื่อสำรวจโอกาส พวกเขาจึงได้เปรียบที่สุด

ทว่าหากมองไปทางพวกหลวงจีนเฉินลวี่ ก็จะทราบได้ว่าแม้พวกเขาจะร่วมมือเป็นฝ่ายเดียว แต่พลังโดยรวมของพวกเขากลับด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

“พี่กู่ มานี่เร็ว”

ฉีเซียวเอ่ยชวยยิ้ม ๆ “ไม่ว่าอย่างไร เราล้วนแต่เป็นผู้คนที่อยู่รอดมาแต่สมัยโบราณ เราคือคนประเภทเดียวกัน เราก็ควรไปมาด้วยกัน”

เขาตบหน้าผากตนเองและกล่าวราวเพิ่งนึกได้ “จะว่าไป หากเลือกร่วมมือกับเรา พี่กู่ต้องยอมรับเงื่อนไขสองข้อนะ”

“ข้อแรก หลังเป็นฝ่ายเดียวกัน เจ้าต้องเดินหน้าถอยหลังร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกับเรา ทุกการกระทำในภูเขาพระสุเมรุต้องเชื่อฟังการจัดการของสหายเต๋าหวนและสหายเต๋าโม่”

กู่ชางหนิงขมวดคิ้วน้อย ๆ “แล้วเงื่อนไขข้อสองเล่า?”

ฉีเซียวกล่าวยิ้ม ๆ “มันง่ายมาก หลังร่วมพันธมิตร ศัตรูร่วมของเราจะเป็นซูอี้ หากเจ้าชั่วนี่โผล่มา เราต้องร่วมมือกับสหายเต๋าหวนและสหายเต๋าโม่จัดการเขาเสีย”

สังหารซูอี้?

ม่านตาของกู่ชางหนิงหดตัว

ยามนี้เอง เขาจึงพลันตระหนักว่าพันธมิตรของหวนเฉ่าโหยวมีเจตนาเช่นนี้

“พี่กู่คิดเช่นไร?”

ฉีเซียวถาม

กู่ชางหนิงเงียบไป

นี่ทำให้ฉีเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย และถามอย่างฉงน “กระไรหรือ ยังมีสิ่งใดที่ทำให้เจ้าลังเลจากเงื่อนไขเหล่านี้ด้วยหรือไร?”

ยามนี้ โม่ซิงเจ๋อซึ่งอยู่ใกล้เคียงพลันเปิดปากหยอกล้อ “สหายเต๋ากู่ เจ้าคงไม่คิดว่าเมื่อเราทั้งหมดร่วมมือกันจะยังไม่ใช่คู่มือซูอี้หรอกหรือไม่?”

ทันทีที่คำเหล่านี้ลั่นออกมา เหล่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณก็อดหัวเราะไม่ได้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความขบขัน

ยามนี้พวกเขาทุกผู้ต่างอยู่ในวิถีวิญญาณ ทั้งยังร่วมมือกันจัดการซูอี้ซึ่งอยู่ในวิถีต้นกำเนิด และยังคิดทำเรื่องราวใหญ่โต!

ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ไม่ว่าผู้ใดที่คิดว่าตนไม่ใช่คู่ต่อกรของซูอี้นั้นตาบอดโง่เง่าโดยแท้

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset