📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 525

บทที่ 525 - ข่มขู่
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

วันที่ยี่สิบแปดเดือนเก้า

วันที่สี่ของชุมนุมมวลพฤกษา

เทียบกับสามวันก่อน การประลองในชุมนุมมวลพฤกษาของวันนี้ดุเดือดเป็นพิเศษ

เหตุผลนั้นง่ายมาก การประลองวิถีในวันนี้ เป็นศึกตัดสินรายชื่อร้อยผู้แข็งแกร่งสุดท้าย!

บรรดาตัวตนจากยุคโบราณ ผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันไม่กล้าสงวนพลังอีกต่อไป และต่างก็ลงมือด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เพราะกลัวเหลือเกินว่าจะพ่ายแพ้ในจังหวะนี้

ท้ายที่สุด ในช่วงพลบค่ำ ผู้ชนะร้อยคนก็เปิดเผยให้เห็น ทำเนียบร้อยผู้แข็งแกร่งออกจากเตา!

ภูเขาเทียนหมาง

“นายท่าน นี่คือทำเนียบร้อยผู้แข็งแกร่งในคราวนี้”

เวิงจิ่วส่งม้วนหยกขึ้นไปให้

ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบพลิกดูคร่าว ๆ จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถึงแม้ข้าหวังเหลือเกินว่าปฏิหาริย์จะเกิดขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในทำเนียบนี้เป็นที่หมายตาของผู้คนนับตั้งแต่เข้าร่วมชุมนุมมวลพฤกษา ส่วนที่เบียดเข้ามาในร้อยอันดับสุดท้าย มันก็ไม่น่าแปลกใจหรอก”

บนทำเนียบร้อยผู้แข็งแกร่ง เฉพาะผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณ และผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันก็กินรายชื่อไปแล้วเก้าในสิบ!

อีกหนึ่งส่วนที่เหลือต่างมีภูมิหลังและพลังวิถีไม่ธรรมดา

ผลเช่นนี้ อยู่ในความคาดหมายของชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบอยู่แล้ว

“หากให้พูดถึงม้ามืดล่ะก็ ผู้ติดตามของสหายเต๋าซูที่ชื่อหยวนเหิงนับว่าเป็นหนึ่งในนั้น”

เวิงจิ่วเอ่ยยิ้ม ๆ “ชุมนุมมวลพฤกษาในวันนี้ หยวนเหิงเอาชนะตัวตนจากยุคโบราณได้หนึ่งคน ผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันได้สองคน คราเดียวก็บุกเข้าไปติดร้อยอันดับ โดดเด่นทีเดียว ไม่รู้ว่ามีตาเฒ่าตะลึงกันกี่คนต่อกี่คน ล้วนพากันสืบเสาะภูมิหลังของเขา”

“หยวนเหิงไม่นับว่าเป็นม้ามืดหรอก”

ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบส่ายหัว “มีนายท่านสะท้านฟ้าอย่างซูอี้ ฝีมือของหยวนเหิงมีหรือจะแย่ ถ้าไม่เขาไม่ติดหนึ่งในร้อยสิแปลก”

เว้นจังหวะไปพักหนึ่ง จากนั้นเขาก็มีสีหน้าแปลกไปก่อนจะเอ่ยขึ้น “ว่าแต่เจ้าสังเกตหรือไม่ ในทำเนียบร้อยผู้แข็งแกร่ง มีอยู่สามคนซึ่งมาจากอาณาจักรเล็ก ๆ ห่างไกลอย่างต้าโจว นั่นก็คือหยวนเหิง เยว่ซือฉาน และเก๋อฉางหลิง

ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบกล่าว พร้อมทอดสายตามองเวิงจิ่ว “หยวนเหิงและเยว่ซือฉานไม่จำเป็นต้องอธิบายใด ๆ แต่เก๋อฉางหลิงผู้นี้เล่า เก่งกาจมาจากที่ใด”

“นายท่าน ข้าน้อยก็กำลังจะรายงานท่านเรื่องนี้อยู่พอดี”

สายตาของเวิงจิ่วเป็นประกาย “วิชาเต๋าและฝีมือการต่อสู้ที่เก๋อฉางหลิงผู้นี้ใช้แทบจะมาจากแขนงเดียวกับหยวนเหิง”

ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบผงะ “เจ้าสงสัยว่าเก๋อฉางหลิงผู้นี้ก็เกี่ยวข้องกับซูอี้อย่างนั้นหรือ”

เวิงจิ่วกล่าว “แปลกตรงนี้นี่ล่ะขอรับ ดูเหมือนเก๋อฉางหลิงจะไม่รู้จักหยวนเหิง”

ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบเอ่ย “เอาเถิด อย่าไปสนใจเรื่องเหล่านี้เลย บรรดาผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณและผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันมีผู้ใดบ้างปราศจากความลับประหลาด ๆ”

คิดไปคิดมา เขาก็ออกคำสั่งทันที “เหล่าจิ่ว รุ่งเช้าวันพรุ่งนี้ เจ้าไปเฝ้าที่ชุมนุมมวลพฤกษา หากสหายเต๋ามา เจ้าจงไปต้อนรับด้วยตัวเอง”

“ขอรับ”

เวิงจิ่วรับคำ

…..

ตกกลางคืน หลังจากทำเนียบร้อยผู้แข็งแกร่งของชุมนุมมวลพฤกษาออกจากเตา ภายในนครหลวงจิ๋วติ่งก็เริ่มมีเสียงเอะอะครึกโครมขึ้นเรื่อย ๆ

“ทุกท่านคิดว่าผู้ใดจะได้เป็นอันดับหนึ่งในชุมนุมมวลพฤกษาครานี้”

“ต้องให้พูดอีกหรือ ต้องเป็นหวนเฉ่าโหยวอยู่แล้ว ตั้งแต่เขาเข้าร่วมการต่อสู้ ทุกครั้งที่ออกโรงก็ได้ชัยเสมอ แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ อย่างวันนี้ ก็มีผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันสามคน และตัวตนจากยุคโบราณอีกหนึ่งพ่ายแพ้ให้กับเขาในการโจมตีเดียว!”

“หวนเฉ่าโหยวเป็นหนึ่งในผู้เข้าประลองที่ผู้คนตั้งความหวังมากที่สุด ทว่า นอกจากเขา คนระดับต้น ๆ อย่างเฉิงผู ฉือเจี่ยนซู่ เฉินลวี่ และอีกกว่าสิบคนก็มีหวังจะได้ที่หนึ่ง”

“ต้องยอมรับว่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณทรงพลังมากจริง ๆ ในบรรดาผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบัน ผู้ที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขามีเพียงหยิบมือเท่านั้น”

…ใต้ท้องฟ้ารัตติกาล ทุกแห่งหนในนครหลวงจิ๋วติ่งต่างถกกันถึงการประชันวิถีที่จะเปิดฉากในวันพรุ่งนี้

เมื่อพูดถึงหวนเฉ่าโหยว ไม่ว่าเป็นรุ่นผู้เฒ่าหรือผู้ฝึกตนวัยเยาว์ ต่างต้องยอมรับว่าทายาทตระกูลหวนเผ่ามารผู้นี้คือผู้เข้าประลองชิงอันดับหนึ่งที่เป็นที่นิยมที่สุด

เช่นเดียวกัน ในการประชันวิถีวันพรุ่งนี้ ว่ากันตามพลังโดยรวมแล้ว ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณแข็งแกร่งกว่าผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันไม่น้อย

ผู้ที่เทียบเคียงผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณเหล่านั้นมีเพียงเฉินลวี่ หลี่หานเติง เหวินซินจ้าว และอวี่เหวินซู่ซึ่งเป็นบรรดาบุคคลที่โดดเด่นที่สุด

สวนน้อยนภาเมฆ

“ไม่เลว ไม่เลว ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะติดหนึ่งในร้อย”

ซูอี้เอ่ยชมซึ่งเกิดขึ้นได้ยาก

ชุมนุมมวลพฤกษาครานี้ ดึงดูดความสนใจของทั้งโลกฝึกฝนในมหาทวีปคังชิง เฉพาะผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมก็มีจำนวนกว่าหมื่น ในนั้นมีผู้ร้ายกาจและผู้เก่งกล้าซึ่งไม่ได้แข็งแกร่งโดดเด่นอยู่มากมาย

รากฐานมหาวิถีและพรสวรรค์ของหยวนเหิงหาได้น่าทึ่งไม่ ที่บัดนี้เขาได้ชัยมาเรื่อย ๆ จนสุดท้ายติดหนึ่งในร้อย นับว่าไม่ง่ายเลย

“โชคดีที่นายท่านถ่ายทอดสุดยอดวิชาให้ข้า ทั้งยังคอยชี้แนะข้าอยู่เสมอ มิฉะนั้น ข้าไม่มีวันประสบความสำเร็จดั่งทุกวันนี้แน่นอน”

หยวนเหิงเกาหัว หัวเราะซื่อ ๆ หัวใจเต็มตื้นไม่น้อย

หลายเดือนก่อน เขายังเป็นเพียงผู้ฝึกปีศาจในอาณาจักรต้าโจวที่ไม่อาจก้าวสู่เส้นทางฝึกฝนวิถีต้นกำเนิดได้เสียที

ทว่า วันนี้ในหลายเดือนต่อมา เขาได้ติดอันดับหนึ่งในร้อยของชุมนุมมวลพฤกษาของต้าเซี่ยแล้ว ความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงนี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนผ่านมาแล้วเป็นชาติ

หนึ่งคนบรรลุขึ้นฟ้า หมูหมากาไก่รอบตัวพากันได้เป็นเซียน เห็นทีคงเป็นเช่นนี้แล!

“ชุมนุมมวลพฤกษานี้ ลงท้ายแล้วก็เป็นแค่บันไดหนึ่งขั้นบนเส้นทางมหาวิถีเท่านั้น หลังจากนี้เจ้ามีเส้นทางซึ่งยาวกว่านี้ต้องก้าวเดิน ห้ามทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วเด็ดขาด”

ซูอี้กำชับ

หยวนเหิงพยักหน้าขึงขัง

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายสุดก็ทนไม่ไหว จึงเอ่ยเสียงเบา “นายท่าน วันนี้ที่ชุมนุมมวลพฤกษา หวนเฉ่าโหยวผู้นั้นเข้ามาราวีแม่นางซินจ้าวกับแม่นางซือฉานอีกแล้ว วาจาไร้ยางอายยิ่ง ประกาศว่าช้าเร็วจะทำให้แม่นางทั้งสอง…”

เขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยต่อ แต่ความหมายของประโยคนั้นชัดเจนมาก

นัยน์ตาลึกล้ำของซูอี้หรี่ลง เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ฟ้าจะประทานฝน คนปรารถนาทางตาย ขวางอย่างไรก็ไม่อยู่ พรุ่งนี้ข้าจะไปดูที่ชุมนุมมวลพฤกษาด้วยตัวเอง”

ขุดคนมาถึงบ้านซูอี้ผู้นี้ ให้ทนไหวได้อย่างไร?

…..

เช้าวันรุ่งขึ้น วันที่ยี่สิบเก้าเดือนเก้า

ฟ้าเพิ่งสว่าง เยว่ซือฉานเตรียมอาหารเช้าร้อนกรุ่นไว้เต็มโต๊ะ ครบครันทั้งหน้าตา กลิ่นหอม และรสชาติ

จวบจนซูอี้ทานมื้อเช้าเสร็จอย่างแช่มช้า หยวนเหิงก็ได้จ้างเกี้ยวคันหนึ่งมารอคอยอยู่นอกสวนน้อยนภาเมฆแล้ว

ในไม่ช้า เกี้ยวก็นำพาซูอี้ เยว่ซือฉาน และหยวนเหิงมุ่งหน้าไปยังชุมนุมมวลพฤกษาซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกของเมือง

อากาศปลอดโปร่ง ลมเย็นสบาย

ต้นไม้ใบหญ้ามากมายที่ปลูกไว้ในเมืองเริ่มกลายเป็นสีเหลืองจาง ๆ แล้ว เมื่อต้องแสงอรุณแล้วเจิดจรัสดั่งทองคำโuเวลกูดoทคอม

แม้ว่าฟ้าเพิ่งจะสาง ทว่าตามถนนหนทางมีผู้คนขวักไขว่ เกี้ยวม้าสัญจรกันไปมา พวกเขาล้วนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกของเมือง

ช่วงที่ห่างจากชุมนุมมวลพฤกษาราว ๆ สิบลี้ พวกซูอี้จำต้องลงจากเกี้ยวแล้วเดินทางเท้า

ช่วยไม่ได้ จำนวนคนเยอะเกินไป เกี้ยวไม่อาจพาดผ่าน

หัวตรอกท้ายซอย เบียดเสียดแน่นขนัด ฝูงชนแออัด ทอดสายตามองไปมีแต่ศีรษะดำ ๆ ของคนเท่านั้น คลื่นเสียงเอะอะดังเป็นระลอก

ความยิ่งใหญ่ปานนี้ ซูอี้กลับขมวดคิ้วเป็นปม

ความสุขความเศร้าของผู้คนในโลกนี้แตกต่างกันไป

อย่างเช่นเวลานี้ ซูอี้รู้สึกเพียงหนวกหูมาก

“ไปกันเถิด”

ซูอี้ส่ายหัว มุ่งหน้าไปทางไกล ๆ

ตลอดทาง เมื่อฝูงชนได้เห็นเยว่ซือฉานผู้เดินสะพายดาบในชุดขาวราวหิมะ เสียงที่บ้างก็ทึ่ง บ้างก็ตื้นตัน หรือบ้างก็แสดงถึงความยำเกรง และเร่าร้อนก็ดังขึ้น

“ดูเร็ว นั่นน่ะท่านเซียนซือฉาน! อัจฉริยะวิถีดาบที่แท้จริง!”

“เป็นดังคำร่ำลือจริง ๆ ท่านเซียนซือฉานเยือกเย็นบริสุทธิ์ ดุจเทพเซียนบนสวรรค์ พอได้มองแล้วต้องละอายในความต่ำต้อยของตัวเอง…”

“ตื้นเขินนัก! สิ่งที่ผู้ฝึกตนอย่างเราให้ความสำคัญคือความเก่งกาจด้านฝีมือวิถีดาบของท่านเซียนซือฉานต่างหาก! พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าจุดนี้ต่างหาก คือจุดที่น่าหลงใหลคลั่งไคล้ที่สุดของท่านเซียนซือฉานหรือ?”

…ได้ยินคำวิจารณ์เหล่านี้แล้ว สายตาของซูอี้แปลกไปเล็กน้อย

เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า หลังจากประชันวิถีเต๋ามาสี่วัน บัดนี้เยว่ซือฉานได้กลายเป็นการดำรงอยู่อันเจิดจรัสที่ผู้คนต่างให้ความสนใจไปแล้ว

สิ่งที่ทำให้ซูอี้ตกใจยิ่งขึ้นคือหยวนเหิงข้างกาย ตลอดทางที่ผ่านมาเขาก็เป็นที่จับตาไม่น้อย และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นมากมาย

‘อย่างที่คิด ชุมนุมมวลพฤกษาเป็นเวทีที่ทั้งแผ่นดินให้ความสนใจ ขอเพียงมีพลังที่แข็งแกร่งพอ ก็จะทะยานขึ้นฟ้า ชื่อเสียงกึกก้อง เป็นที่จดจำของผู้คน’

ซูอี้รำพึงในใจ

เมื่อพวกเขาใกล้ถึงทางเข้าชุมนุมมวลพฤกษา ฝูงชนที่อยู่ไกล ๆ พลันโกลาหลขึ้นมา

จากนั้น ชายรูปงามในชุดหรู รัดเกล้าสีทองประดับอยู่บนเรือนผมสีม่วงก็เดินมาหาพวกซูอี้

“แม่นางซือฉาน ข้ามารออยู่ที่นี่นานแล้ว”

หวนเฉ่าโหยวทักทายยิ้ม ๆ ทั้งที่ยังห่างกันไกล รอยยิ้มนั้นสดใสสง่างาม

คิ้วเรียวของเยว่ซือฉานขมวดเล็กน้อย

หยวนเหิงมีสีหน้าอึมครึม หมอนี่ อย่างกับกาวหนังหมาติดหนึบไม่ปล่อย!

“เจ้าน่ะหรือหวนเฉ่าโหยว?” ซูอี้ถาม

หวนเฉ่าโหยวผงะ สายตาพิจารณาซูอี้ก่อนจะตอบด้วยหน้าตายิ้มแย้ม “ในนครหลวงจิ๋วติ่งแห่งนี้ ดูเหมือนไม่มีผู้ใดกล้าแอบอ้างชื่อข้านะ”

เสียงนั้นเจือแววทระนง

ซูอี้ตอบอืมมาหนึ่งคำ คร้านจะเสวนาพร่ำเพรื่อ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “ถ้าไม่อยากตาย หลังจากนี้ก็อยู่ให้ห่างจากแม่นางซือฉานและแม่นางซินจ้าวด้วย หากเจ้าจะรนหาที่ตายให้ได้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะส่งเจ้าไปลงนรก”

สิ้นประโยคนี้ เหล่าผู้ฝึกตนรอบ ๆ ที่คอยสังเกตการณ์ตรงนี้อยู่ล้วนสูดหายใจเข้าลึก เผยหน้าตาเหลือเชื่อ

เจ้านี่เป็นใคร ถึงบังอาจพูดจากับปีศาจตระกูลหวนผู้อันธพาลดุร้ายเช่นนี้

ที่นี่อยู่ใกล้ทางเข้าชุมนุมมวลพฤกษามาก เดิมทีก็มีคนใหญ่คนโตและผู้ฝึกคนมากหน้าหลายตาเข้ามารวมตัวกันอยู่แล้ว

เมื่อได้เห็นภาพนี้ พวกเขาต่างทอดสายตามองมาอย่างอดไม่ได้ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป

มีคนบังอาจข่มขู่หวนเฉ่าโหยวเช่นนี้เลยรึ?

คนหนุ่มชุดเขียวผู้นี้คือใคร?

เหตุใดไม่เคยเห็นเขาเลยก่อนหน้านี้?

บรรยากาศครึกครื้นโดยรอบพลันสงัดลงไม่น้อย

หวนเฉ่าโหยวชะงักไปครู่หนึ่ง ราวกับไม่อยากเชื่อ ก่อนจะชี้จมูกตัวเอง “เจ้า… ข่มขู่ข้าอยู่หรือ?”

เสียงนั้นดูเกินจริงไปหน่อย ท่าทางดูตกตะลึง

ซูอี้ตอบนิ่ง ๆ “ข่มขู่หรือไม่ เจ้ามาลองดูก็ได้”

สายตาของหวนเฉ่าโหยวสั่นระริก ครู่ใหญ่ต่อมา เขายิ้มอย่างจองหอง “ได้สิ ชุมนุมมวลพฤกษาในวันนี้จบเมื่อใด ข้าต้องไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง ดูว่าสหายจะปลิดชีพข้าด้วยวิธีใด!”

หน้าตาซูอี้ฉายแววผิดหวัง “ข้านึกว่าคนตระกูลหวนเผ่ามารซึ่งเลื่องชื่อว่านิสัยดุร้ายบ้าคลั่งหลังจากโดนท้าทายขนาดนี้แล้ว จะลงมือโดยไม่ลังเล ที่แท้… ก็เท่านี้เอง”

รอยยิ้มบนใบหน้าหวนเฉ่าโหยวหายไปทีละน้อย นัยน์ตาส่วนลึกมีแววเยือกเย็นดุดันกระหายเลือดวูบไหว

บรรยากาศรอบด้านกดดันลงเรื่อย ๆ

รุ่งเช้าในฤดูใบไม้ร่วงเดิมหนาวอยู่แล้ว บัดนี้ คล้อยตามรอยยิ้มที่จืดจางลงของหยวนเฉ่าโหยว ความเหน็บหนาวแทงกระดูกคืบคลานออกไปในอากาศ จนเหล่าฝูงชนรอบข้างที่คอยมองอยู่ขนลุกขนพอง

ผู้ใดก็ดูออกว่าหวนเฉ่าโหยวในตอนนี้ ดูเหมือนจะบันดาลโทสะแล้ว!

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset