📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 518

บทที่ 518 - ทลายค่ายกล
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

ซูอี้มองรอบสี่ทิศ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าหมายความว่า ครานี้มีผู้อื่นสั่งให้กระทำเยี่ยงนี้หรือ?”

เซียนเล่อเฟิงส่ายหน้าอย่างขมขื่น พลางกล่าวว่า “จะว่าเป็นคำสั่งคงมิได้ ศิษย์น้องทิงเฮ่อและข้าเพียงถูกหลอกใช้…”

ซูอี้เลิกคิ้วกล่าว “เล่าให้ข้าฟังซิ”

“คืนก่อน มีชายนามฉู่ซิวมาหาข้าและศิษย์น้องทิงเฮ่อ…”

เซียนเล่อเฟิงสูดหายใจลึก ๆ ทว่าในยามที่เขากำลังจะเล่าเรื่องทั้งหมด เสียงแค่นหัวเราะเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นไกลออกไปท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด

“พวกเจ้า ยอดฝีมือในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแห่งสำนักเต๋าชิงอี่ช่างขี้ขลาดเพียงนี้เองหรือ?” เสียงนั้นยังคงดังก้อง…

ก่อนตามมาด้วยเสียงคำรามดังลั่นสะท้านฟ้าดิน!

หลังจากนั้นในทันใด ค่ายกลจองจำสีเลือดก็ผุดขึ้นจากทิวเขารอบทิศ แปรเปลี่ยนเป็นแท่นปทุมโลหิตมารขนาดยักษ์

ร่างผอมบางร่างหนึ่งยืนอย่างภาคภูมิบนแท่นปทุมสีโลหิต สวมอาภรณ์หยกและเข็มขัดกว้าง ใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาเจิดจ้าดุจเพลิงวิญญาณ

“ฉู่ซิว! เจ้าหลบอยู่ที่นี่เอง!”

ดวงตาของเซียนเล่อเฟิงเบิกกว้าง

“หากข้ามิจัดเตรียมสิ่งนี้ไว้ก่อน เจ้าและศิษย์น้องจะจัดการกับซูอี้ได้เช่นไร?”

ฉู่ซิวยิ้มเยาะ

กล่าวพลาง ดวงตาสีเขียวของเขาก็จ้องซูอี้ด้วยรอยยิ้ม “ซูอี้เอ๋ย หลังบอกลากันในทะเลวิญญาณโกลาหล ในที่สุดก็ได้พบพานอีกครา”

“ที่แท้ก็เป็นเจ้า ผู้สิงสถิต” ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย

คราก่อน ในหอเซียนดาบลึกเข้าไปในทะเลวิญญาณโกลาหล ฉู่ซิวเคยนำกลุ่มผู้สิงสถิตเข้ามาจัดเทศกาลละเลงเลือด พยายามสังหารซูอี้และผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ในต้าฉิน

ผลก็คือ ซูอี้สังหารฉู่ซิวและพวกในรวดเดียวโดยใช้ค่ายกลของหอเซียนดาบ

ทว่าหลังจากนั้น ซูอี้จึงรู้ว่าผู้ที่ตนสังหารไปนั้นเป็นเพียงหุ่นเชิดศพ มิใช่ร่างแท้ของฉู่ซิว

แต่ถึงอย่างไร ซูอี้ก็มิได้คาดคิดจะได้พบพานฉู่ซิวอีกคราในที่นี่ยามนี้

หลังจากมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “หุ่นเชิดศพอีกแล้ว ร่างเจ้าอยู่หนใดเล่า ไยจึงเอาแต่ซ่อนมิกล้าออกมาเสียที?”

แววตาของฉู่ซิววูบไหว พลางกล่าวว่า “แค่ฆ่าเจ้า ไยจึงต้องให้ข้ามา? จำต้องใช้ร่างแท้ลงมือด้วยหรือ?”

ทันใดนั้น เขาก็กล่าวขึ้นยิ้ม ๆ “ทว่า เหตุที่ทำไมข้าจึงตั้งค่ายกลในครานี้ ไม่ใช่เพราะข้าต้องการสังหารสหายเต๋าแต่อย่างใด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าใคร่ปรึกษากับเจ้า”

ซูอี้กล่าว “ว่ามา”

ฉู่ซิวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สหายเต๋าก็ทราบว่าข้าเป็นผู้สิงสถิต หาใช่คนของมหาทวีปคังชิงไม่ และขุมอำนาจที่ข้าสังกัดหวังจะหากลุ่มยอดฝีมือเช่นสหายเต๋าเพื่อร่วมมือกัน”

“ร่วมมือ?”

ซูอี้เลิกคิ้ว

ฉู่ซิวพยักหน้า พลางกล่าวคำออก “ใช่แล้ว ตราบใดที่สหายเต๋าช่วยเรากระทำการ เราจะมิเพียงได้รับผลประโยชน์สม่ำเสมอ ทว่าเมื่ออำนาจของเราขยายข้ามเขตแดนเข้าสู่มหาทวีปคังชิง เรายังสามารถแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ครอบครองอำนาจมหาศาลอีกด้วย!”

“ด้วยความสามารถและภูมิหลังของสหายเต๋า การพยายามฝึกฝนเต็มที่ ในภายหน้า อย่าว่าแต่ก้าวสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณ การจะเอื้อมสู่ขอบเขตจักรพรรดิยังเป็นไปได้!”

ได้ยินเช่นนั้น ซูอี้ก็เอ่ยถาม “ขุมพลังของเจ้าคือที่แห่งใด?”

ฉู่ซิวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “เรื่องนี้บอกเจ้าได้ ขุมอำนาจที่ข้าสังกัดมีนามว่า ‘ตำหนักมารเทียนอวี้’ แห่งมหาทวีปเทียนตู เป็นขุมอำนาจอันดับหนึ่งผู้ทรงอำนาจแห่งมหาทวีปเทียนตูนับแต่โบราณ!”

ในยามเอื้อนเอ่ย น้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยความภาคภูมิ

ซูอี้แค่นเสียงหึ ก่อนถามอีกครั้ง “ตำหนักเจ้ามีผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิบ้างหรือไม่?”

ฉู่ซิว “…”

ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ ถามว่า “เจ้าปกครองมหาทวีปได้โดยไม่มีกระทั่งผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิหรือ?”

มุมปากของฉู่ซิวกระตุกเล็กน้อยจนมิอาจรับรู้ เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก ผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิคือสิ่งใด? ขุมพลังใดคิดจะมีก็มีได้หรือ?

ฉู่ซิวสูดหายใจลึก ๆ พลางกล่าวว่า “ขอบเขตจักรพรรดิคือสิ่งใด? ทะลวงผ่านสวรรค์ ละล่องเล่นตามแดนดิน หากเทพเซียนที่แท้จริงมีอำนาจทะลุสวรรค์ทะลวงใต้หล้า ตัวตนเช่นนั้นจะหาได้ง่ายได้เช่นไร? ดูมหาทวีปคังชิงทุกวันนี้สิ ลองตอบดูว่ามีผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิหรือไม่?”

ซูอี้กล่าวอย่างขุ่นเคือง “ขอบเขตจักรพรรดิแข็งแกร่งเพียงไร ข้ารู้ดีกว่าเจ้า ข้าเพียงไม่คิดว่าขุมอำนาจอันไร้แม้แต่ผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิจะกล้าประกาศว่าตนครอบครองมหาทวีปคังชิง การครองโลกช่าง… น่าขัน”

“เจ้า…”

ฉู่ซิวแทบหัวเราะอย่างโกรธเคือง ก่อนจะกล่าวว่า “ซูอี้ เจ้ามีระดับการฝึกฝนอยู่เพียงแค่ขอบเขตเปิดทวาร จะรู้เกี่ยวกับความแข็งแกร่งและลักษณะของขอบเขตจักรพรรดิได้เช่นไร? ยิ่งกว่านั้น แม้นตำหนักมารเทียนอวี้ของข้าจะไร้ผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ ข้าก็ยังมีผู้อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณ จะมีขุมอำนาจใดในมหาทวีปคังชิงทุกวันนี้เทียบได้บ้าง?”

ซูอี้ถาม “เช่นนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้น ในความคิดเจ้า เทียบกับขุมอำนาจจากมหาทวีปอื่น ๆ ระดับอำนาจของตำหนักมารเทียนอวี้ของเจ้าอยู่ในระดับใด?”

ซูอี้รู้นานแล้วว่าผนังกั้นมิติของมหาทวีปคังชิงติดต่อกับแดนดินอื่น ๆ เกินหนึ่งแห่ง

เหมือนเช่นลัทธิปีศาจแปลงดารา ที่ตั้งอยู่บนดินแดนอื่น ซึ่งมีนามว่ามหาทวีปเทียนหมิง

ฉู่ซิวขมวดคิ้วกล่าว “ข้าไม่รู้เกี่ยวกับขุมอำนาจผู้ฝึกตนแห่งโลกอื่นมากนัก ข้ารู้เพียงว่าจนถึงยามนี้ มีเส้นทางเก้าเส้นสู่มหาทวีปคังชิง ซึ่งหมายความว่าอย่างน้อยที่สุดก็จะมีขุมอำนาจเก้าแห่งจากดินแดนอื่น ๆ และหลังจากแนวกั้นแดนของมหาทวีปคังชิงหายไป พวกเขาจะสบโอกาสข้ามเขตแดนมา”

“เก้า?”

ซูอี้ครุ่นคิด

มันเป็นสิ่งทำนายได้ว่าหากแสงสว่างแห่งโลกกว้างสาดส่องลงมา ผู้ฝึกตนในโลกทุกวันนี้จะไม่อาจต่อกรกับสัตว์ประหลาดโบราณเหล่านั้นได้เลย และยังต้องรับมือกับการรุกรานจากผู้ฝึกตนจากดินแดนอื่น ๆ มากมาย!

เท่านี้ก็จินตนาการได้แล้วว่าสถานการณ์จะอลหม่านเพียงใด

“ซูอี้ ข้ากล่าวในสิ่งที่ควรกล่าวจบสิ้นแล้ว ขอเพียงเจ้ายินยอมร่วมมือกับตำหนักมารเทียนอวี้ของข้า ข้าสัญญาว่าในภายหน้า จะมีวันที่เจ้าจะได้ครองโลก!”

ฉู่ซิวพูดอย่างจริงจัง

ซูอี้กล่าว “หากข้าไม่เห็นด้วยเล่า?”

ฉู่ซิวพูดอย่างจริงจัง “เช่นนั้น คืนนี้จะเป็นคืนฝังกระดูกของเจ้า”

“แค่เพราะค่ายกลจองจำนี้หรือ?”

ซูอี้เลิกคิ้ว

ฉู่ซิวหัวเราะพลางกล่าวคำออก “ซูอี้เอ๋ย ซูอี้ ข้าควรพูดว่าเจ้าช่างอวดดีหรือไม่รู้อันใดแน่หนอ? หนึ่งในค่ายกลสังหารหลักในตำหนักมารเทียนอวี้ของข้าอาจไม่เลิศเลอเทียบเท่าค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนแห่งนครหลวงจิ๋วติ่ง แต่การสังหารผู้ฝึกตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณนั้นแสนง่ายดาย เจ้าคิดว่า… จะยังรอดออกไปได้หรือไร?”

ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ใช่”

ฉู่ซิว “…”

เพียงหนึ่งวจี ทว่าเขากลับจุกในลำคอเสียจนแทบพูดไม่ออก

สีหน้าของเขาหม่นคล้ำ จากนั้นก็สะบัดโบกแขนเสื้อ “สุราคารวะไม่ดื่ม คิดดื่มสุราลงทัณฑ์! บอกให้เจ้ารู้ก่อนแล้วกันว่าค่ายกลสังหารมังกรโลหิตนั้นแข็งแกร่งยิ่ง!”

ตู้ม!

แสงมารสีแดงเลือดสาดส่องสู่นภา มวลคีรีสะท้านไหว

พลังอักขระหนาแน่นผุดขึ้นจนเห็นได้ชัด เปลี่ยนโลกาให้ดูราวแดนอเวจี ชางหลงสีชาดพุ่งทะยาน เชิดคอกู่คำราม แผ่คลื่นพลังกระเพื่อมทลายสวรรค์กระเทือนโลกาโuเวลกูดoทคอม

ร่างของฉู่ซิวหายลับไปจากค่ายกลจองจำก่อนแล้วหนึ่งก้าว เหลือเพียงซูอี้และเซียนเล่อเฟิง

“จบแล้ว!”

เซียนเล่อเฟิงหน้าซีดเซียว นัยน์ตาเปี่ยมความกลัว

ซูอี้เหลือบมองเซียนเล่อเฟิง เมินเขา ก่อนจะสาวเท้ายาว ๆ ห่างออกไป

ตู้ม!

ชางหลงสีชาดซึ่งก่อร่างจากค่ายกลจองจำพุ่งเข้าใส่ ดุร้ายถมึงทึง นำพาพลังมารโลหิตอันน่าหวาดสะพรึงมากับมัน ง่ายนักหากต้องการสยบผู้ที่อยู่ในวิถีวิญญาณ

ซูอี้ไม่ลังเล

มันก็แค่ค่ายกลจองจำ ไม่จำเป็นต้องทุ่มพลังต่อสู้สุดแรง

ชิ้ง!

เห็นเช่นนั้น ร่างของซูอี้ก็วูบไหว เขาใช้วิชาหลบหนีทะยานเวหาหลบการโจมตีอย่างง่ายดาย และยังคงพุ่งไปเบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง

ตู้ม!

เกิดเสียงคำรามลั่นราวเดือดดาล ชางหลงสีชาดพุ่งเข้าใส่ซูอี้อย่างกระชั้นชิด

ภาพเหล่านั้นมากพอจะทำให้ผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณสั่นเทา

ด้วยความเร็วการเคลื่อนร่างของซูอี้ เมื่อเขาขยับไปเบื้องหน้า เขาจะหลบทุกการกระหน่ำโจมตีได้เสมอในยามต้านรับไม่ได้

เมื่อมองจากไกล ๆ ร่างของเขาดูราวกับคลื่นสายฟ้าไร้ลักษณ์ บางครั้งขยับมาเบื้องหน้า บางคราถอยหลบ เลี้ยวอ้อม จนมิอาจประมาณทิศทางได้

อันที่จริง สำหรับซูอี้ อำนาจของค่ายกลจองจำเช่นนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากเกินไปอันใดเลย ขอเพียงเขาจับจุดแรกของมันได้ เขาก็จะหลบมันอย่างง่ายดายราวเป็นเพียงสิ่งของตกแต่ง

ไม่นานนัก ซูอี้ก็โบกแขนเสื้อ

ตู้ม!

แสงกระจ่างจ้าเปลี่ยนเป็นปราณดาบไร้เทียมทาน ฟาดฟันอำนาจพันธนาการสีแดงเลือดไกลออกไป

ท่ามกลางแสงสว่างและสายฝนที่ระเบิดออก หนึ่งรอยร้าวพลันปรากฏขึ้นบนค่ายกลจองจำสีเลือด

ร่างของซูอี้วูบไหว พุ่งออกไปจากรอยร้าว

“ไม่—!”

ทันทีที่ซูอี้ทลายค่ายกลสังหารมังกรโลหิต เสียงกรีดร้องแหลมสูงอันสิ้นหวังก็ดังออกมาจากค่ายกล

ซูอี้หันไปมอง และพบร่างของเซียนเล่อเฟิงที่ถูกร่างมหึมาของมังกรโลหิตบดขยี้ และสิ้นใจทันที

บุคคลผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้นได้สิ้นชีพลง!

“ทำตนเอง จะโทษผู้ใดได้?”

ซูอี้รำพึงในใจพลางส่ายหน้า

เขามองห่างออกไปไม่ไกลนัก

ใต้นภารัตติกาล ฉู่ซิวยืนอยู่เหนือหุบเขา ในมือถือยันต์กลไกสีดำแผ่นหนึ่ง โดยใช้มันควบคุมมหาค่ายกล

เมื่อเขาเห็นซูอี้ทลายมหาค่ายกลออกมา ฉู่ซิวพลันรู้สึกราวถูกอสนีบาตฟาด เสียงแหบหาย “เจ้า… เจ้าออกมาได้เยี่ยงไร?”

ซูอี้พูดอย่างไม่ยี่หระ “แน่นอน เดินออกมาสิ”

ฉู่ซิวเบิกตากว้าง สายตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้! ภายใต้เขตค่ายกลสังหารมังกรโลหิต กระทั่งบุคคลในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณยังไม่อาจหนีพ้น เจ้าจะออกมาได้เช่นไร?”

ซูอี้ยิ้ม พลางกล่าวว่า “แต่ข้าก็เดินออกมาได้ เจ้าว่ามันแปลกหรือ”

ว่าพลาง เขาก็เหยียบลงบนอากาศ เดินเข้าไปหาฉู่ซิว

ฉู่ซิวไม่กล้าลังเล จากนั้นเขาจึงหันหลังวิ่งหนีไป

สิ่งที่เขาพึ่งพามากที่สุดคือค่ายกลสังหารมังกรโลหิตนี้ ทว่ามันกลับไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับซูอี้ ดังนั้นสิ่งใดเล่าจะทำให้เขากล้าอยู่ต่อ?

“ก็แค่หุ่นเชิดศพ หาใช่ร่างจริงของเจ้าไม่ เจ้ายังกลัวตายอีกหรือ?”

ในขณะที่เสียงอันเฉยเมยของซูอี้ถูกเปล่งออก ปราณดาบก็ทะยานเมฆา ฉีกกระชากท้องนภาค่ำคืน ฟันใส่ฉู่ซิว

ตู้ม!

ปราณดาบแข็งแกร่ง ส่องสว่างพร่างพราวสู่ทิวเขา

คนเยี่ยงฮั่วเทียนตูและโจวเฟิงจื่อไม่ใช่คู่ต่อกรของซูอี้อีกต่อไป แล้วหุ่นเชิดศพอย่างฉู่ซิวเล่า?

เมื่อเขาเห็นปราณดาบฟาดลงใส่ เขาไม่มีกระทั่งเวลาจะขัดขืน ร่างของเขาจมลงไปท่ามกลางปราณดาบไพศาล ก่อนจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงราวถูกฉีกกระชาก

ร่างของซูอี้ลอยเข้ามาหา ยกมือขึ้นหยิบยันต์กลไกที่ร่วงหล่นลงบนอากาศ มองมันผ่าน ๆ ก่อนจะพยักหน้า

โชคดีที่ค่ายกลนี้ยังไม่พังทลาย

เรื่องในคืนนี้แม้จะแย่สักหน่อย แต่หากได้รับ ‘ค่ายกลสังหารมังกรโลหิต’ นี้มา ก็คงพอปลอบใจได้บ้าง

ในขณะที่ครุ่นคิดถึงมัน ซูอี้ก็เริ่มลงมือ

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset