📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 479

บทที่ 479 - หวาดผวา
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

นกเค้าโลหิตรู้สึกตื่นตะลึง สันหลังหนาววาบ

ก่อนหน้านี้หากไม่ใช่เพราะเขาหลบได้ทันท่วงที ตอนนี้อาจจะต้องตกอยู่ในอันตรายแล้ว!

และในขณะนี้เอง นกเค้าโลหิตก็มองเห็นคนที่ลงมือ

นั่นคือคนหนุ่มในชุดสีเขียว ยืนอยู่ไกลออกไปในเงามืดแห่งราตรี กลิ่นอายในตัวราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินอันเย็นยะเยือกและเงียบสงบ ไม่แตกต่างไปจากต้นไม้ใบหญ้าหรือก้อนหินดินทรายที่อยู่ใกล้ ๆ

ซูอี้!

สิ่งที่ทำให้นกเค้าโลหิตตื่นตะลึงก็คือ อาศัยเพียงแค่จิตสัมผัสไม่อาจสัมผัสเจอฝ่ายตรงข้ามได้ ราวกับว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้อยู่ตรงนั้น ไม่อาจสกัดจับฝ่ายตรงข้ามได้

เคล็ดลับซ่อนลมปราณลึกล้ำไร้เทียมทานมาก!

นกเค้าโลหิตภาคภูมิใจในวิชาล่องหนพรางตนของตัวเองมาก แอบกระหยิ่มในใจมาตลอดว่าต่อให้เป็นคนในขอบเขตเดียวกัน ก็ยังมีน้อยคนนักที่จะสามารถเทียบเคียงกับตัวเองได้

ทว่าซูอี้ที่อยู่ห่างไกลออกไป เพียงแค่ยืนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น ร่างของเขาก็หลอมรวมเข้ากับสรรพสิ่งในฟ้าดินแล้ว แม้กระทั่งจิตสัมผัสของคนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณก็ไม่อาจสัมผัสได้

ลำพังเพียงแค่จุดนี้ก็ทำให้นกเค้าโลหิตต้องยอมรับว่าไม่อาจสู้ได้

“สหายรู้ว่าข้าอยู่ตรงนี้นานแล้วเช่นนั้นหรือ?”

ลูกนัยน์ตาสีเขียวมรกตของนกเค้าโลหิตสว่างวาบ

“วิชาพรางตนของเจ้าไม่เลวเลย แม้กระทั่งข้าก็ไม่อาจค้นเจอร่องรอยของเจ้าได้ แต่ว่า นับตั้งแต่ชั่วขณะที่เจ้าฆ่าฮูหยินซีฮวา ข้าก็คาดเดาได้ว่าเจ้าจะต้องล่องหนพรางตนอยู่ที่ใดที่หนึ่งใกล้ ๆ เป็นแน่”

ไกลออกไป มือข้างหนึ่งของซูอี้ไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งถือดาบนิลกาฬกลืนฟ้า ก้าวเดินมาทางนี้

กลิ่นอายที่แตกต่างไปจากภูเขาลำธารแห่งฟ้าดินในบริเวณนั้นจึงปรากฏออกมาตามการเคลื่อนไหวของเขา คล้ายกับต้นหญ้าต้นเล็ก ๆ ต้นหนึ่งข้างทาง ซึ่งจู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปกลายร่างเป็นคน

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่า เจ้าจึงไปแล้วย้อนกลับมา”

นกเค้าโลหิตเข้าใจกระจ่างในทันใด

“เดิมทีเจ้าก็มาเพื่อจะฆ่าข้าอยู่แล้ว ในเมื่อตอนนี้ได้เจอหน้ากันแล้ว สู้กันให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยดีหรือไม่?”

แววตาของซูอี้ดูลุ่มลึก เขากล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “เมื่อข้าตายแล้ว เจ้าไม่เพียงแต่สามารถล้างแค้นแทนบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงได้เท่านั้น แต่ยังสามารถแย่งครรภ์อสูรดวงนั้นกลับไปได้อีกด้วย นี่เป็นโอกาสที่ดีมากเลยเชียว หากว่าพลาดไป วันข้างหน้าอยากจะเจอโอกาสดีเช่นนี้อีกก็คงจะยาก”

เขาก้าวเดินมาอย่างช้า ๆ เสื้อผ้าสะบัดพลิ้ว ในราตรีมืดมิดเช่นนี้งามสง่าเฉกเช่นเซียนเดินดิน

แต่เมื่อเห็นซูอี้เข้ามาใกล้ นกเค้าโลหิตกลับเกิดความลังเล

ฉับพลัน เขาก็ส่ายหน้ายิ้มน้อย ๆ “ในมือของสหายจะต้องมีไพ่ใบสุดท้ายที่เพียงพอจะสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้เป็นแน่จึงไม่รู้หวั่นเกรงแม้แต่น้อยเช่นนี้ ข้าไม่หลงกลหรอก”

นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขากล่าวด้วยแววตามีเลศนัย “จากที่ข้าดู สหายน้อยร้อนใจต่อสู้เช่นนี้ หรือเป็นเพราะเกรงว่าบนหนทางในช่วงถัดไปข้าจะปรากฏตัวและโจมตีเจ้าได้ทุกเวลาใช่หรือไม่?”

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่ยินดีที่ได้เห็นเหยื่อ อยากจะเอาเจ้ามาลับดาบของข้าก็เท่านั้น”

ซูอี้หัวเราะสบาย ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากนกเค้าโลหิตเพียงแค่สิบสามจั้งเท่านั้น

เห็นว่าเขายังคงเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ นกเค้าโลหิตตะคอก “สหาย หากว่าเจ้าเข้ามาใกล้อีก ข้าก็จะต้องไปก่อน!”

“รีบร้อนไปไย ให้ข้าส่งเจ้าไม่ดีหรือ?” ซูอี้หัวเราะขึ้นมา

กลางหัวคิ้วของเขาเกิดเป็นรอยแยกขึ้นมารอยหนึ่ง เงาของดาบเล่มน้อยสีเขียวขนาดสามชุ่นพุ่งออกมา

ดาบน้อยสังหารเทพ!

สวบ!

ดาบน้อยสีเขียวพุ่งเข้าหานกเค้าโลหิตและฟาดฟันลงมาในทันใด

รวดเร็วมาก!

เหมือนดังเวลาที่ปล่อยจิตสัมผัสออกมา สามารถครอบคลุมไปไกลถึงพันจั้งในชั่วพริบตา

ความเร็วของดาบน้อยสีเขียวรวดเร็วเกินกว่าความคาดหมาย รวดเร็วจนทำให้นกเค้าโลหิตซึ่งอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณถึงกับขนลุกซู่ด้วยความหวาดผวา ส่งเสียงหวีดร้องออกมา

ปัง!

ร่างของเขาแตกระเบิดและหายลับไปกลางอากาศดุจฟองสบู่

ไกลออกไปหลายร้อยจั้ง บนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง เมื่อร่างของนกเค้าโลหิตปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาบนใบหน้า ใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างแรง

หน้าผากมีเหงื่อไหลย้อย

“น่าเสียดายเหลือเกิน”

ซูอี้ถอนใจเบา ๆ

ฟันพลาดไป ทำให้เขาหมดสนุกไม่อยากจะไล่ตามอีก

นกเค้าโลหิตแตกต่างไปจากผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอย่างลี่เมี่ยวหง ถึงแม้จะมีระดับการฝึกเพียงแค่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณในขั้นต้นเท่านั้น ทว่าวิชาที่คน ๆ นี้เชี่ยวชาญคือวิชาล่องหนพรางตน

หากต่อสู้กันซึ่ง ๆ หน้า บางทีเขาอาจจะสู้ลี่เมี่ยวหงไม่ได้

แต่หากว่าเขาคิดจะหนี ด้วยวิธีการของซูอี้ก็ยังยากที่จะจับเขาไว้ได้

ซูอี้ไม่รู้ว่า อานุภาพของดาบน้อยสังหารเทพของเขานั้นทำให้นกเค้าโลหิตผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณตนนี้เกิดความหวาดกลัวและตื่นตระหนกอย่างแรง!

ความเป็นจริง ถึงแม้นกเค้าโลหิตจะหลบดาบนี้ได้ ทว่าจิตวิญญาณยังคงได้รับบาดเจ็บ เจ็บปวดราวกับถูกฉีก ทำให้นกเค้าโลหิตหนาววาบไปทั้งตัวและหัวใจ

เขามั่นใจได้ว่า หากเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณคนอื่น คงไม่อาจต้านทานดาบ ๆ นี้ได้!

ช่างน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกิน

“วิชาจิตวิญญาณอันร้ายกาจนี้ก็คือไพ่ใบสุดท้ายของเจ้าเช่นนั้นหรือ?”

นกเค้าโลหิตมีสีหน้าคร่ำเคร่ง

“ไม่เชิง เพียงแค่วิชาจิตวิญญาณที่พอถูไถเท่านั้น”

ซูอี้เก็บดาบนิลกาฬกลืนฟ้า แล้วโบกมือเบา ๆ พลางกล่าว “วันนี้ส่งถึงแค่นี้ ข้าหวังว่าครั้งหน้าพบกัน เจ้าจะกล้ารบกับข้าซึ่ง ๆ หน้า ขอตัวลา”

พูดจบ สองมือของเขาไพล่หลังจากนั้นจึงลอยจากไป

ท่วงท่างดงามเช่นนั้นทำให้นกเค้าโลหิตถึงกับนิ่งตะลึง ไปง่าย ๆ…เช่นนี้?

จนกระทั่งร่างของซูอี้หายลับไป นกเค้าโลหิตจึงได้สติกลับมา บนใบหน้าปรากฏอาการสับสน ทั้งตื่นตระหนก ทั้งหวาดกลัว รวมถึงสีหน้างุนงงไม่เข้าใจความหมาย

“คนหนุ่มขอบเขตเปิดทวารสามารถข่มขู่ผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”

“หากว่าเป็นเมื่อสามหมื่นปีก่อน คงจะมีแต่ผู้ไร้เทียมทานสำนักใหญ่เท่านั้นจึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้?”

“เทียบกับเขาแล้ว บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิง…ด้อยกว่าไม่น้อย…”

จิตใจของนกเค้าโลหิตว้าวุ่น

เดิมที เขามาล้างแค้นด้วยจิตใจที่เคียดแค้นเต็มที่ ทว่าตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและหนาววาบ

“จะไล่ตามฆ่าต่อไปหรือไม่?”

นกเค้าโลหิตลังเลขึ้นมา

ด้วยระดับการฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณของเขา เพียงพอที่จะวางอำนาจไม่ต้องเกรงกลัวต่อสิ่งใด

ทว่าตอนนี้ หลังจากที่เจอเหตุการณ์อันตรายร้ายแรงเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้นกเค้าโลหิตต้องกลับมาคิดพิจารณาใหม่แล้วว่าหากไล่ฆ่าซูอี้อีกครั้งจะต้องเจอกับผลที่ตามมาเช่นใด

“หากปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า ด้วยวิธีการของข้า เกรงว่าคงจะต้องตายด้วยเงื้อมมือของเจ้าหนุ่มคนนั้น แต่หากว่าสะกดรอยตามหาโอกาสลงมือไม่ได้ ก็จะเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์…”

“ช่างเถิด รายงานเรื่องนี้ต่อนายท่านก่อน และให้นายท่านเป็นผู้ตัดสินใจจะดีกว่า”

ผ่านไปเนิ่นนาน นกเค้าโลหิตจึงถอนใจออกมา

เมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ในใจของเขาจึงบังเกิดความรู้สึกอับอายขึ้นมา

ใครบ้างจะเชื่อว่าตนเองผู้เป็นทูตแห่งมารหยิน ผู้ที่มีชีวิตรอดมาได้จากการกักขังในยุคมืด …บัดนี้กลับหวาดกลัวผู้ฝึกตนในขอบเขตเปิดทวาร?

——-

“นายท่านฆ่านกเค้าโลหิตแล้วเช่นนั้นหรือ?”

ท่ามกลางภูเขาสูงใหญ่ ซูอี้กับไป๋เวิ่นฉิงขี่อยู่บนหลังเต่าเฒ่าสีทองตัวโตขนาดหลายสิบจั้ง มุ่งหน้าออกไปไกล ตลอดทางเหยียบย่ำก้อนหินดินทรายต้นไม้ใหญ่จนแตกทลายไปมากน้อยเพียงใด ระหว่างเดินทางแผ่นดินล้วนสั่นสะเทือนโuเวลกูดoทคoม

นี่คือร่างแท้ของหยวนเหิง

หลังจากซูอี้กลับมา เขารู้ว่าซูอี้ไม่อยากจะเดิน หยวนเหิงจึงแปลงร่างเป็นยานพาหนะให้

“นกเฒ่าเจ้าเล่ห์และระวังตัวมาก เชี่ยวชาญวิชาหลบหนี ไม่กล้าปะทะซึ่ง ๆ หน้า ถึงแม้ข้าจะมีวิธีรั้งให้เขาอยู่ แต่ต้องสูญเสียพลังไม่น้อย ไม่คุ้มค่า”

ซูอี้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย หลับตาพักใจ

เก้าอี้หวายตั้งอยู่บนกระดองแข็งประดุจผืนแผ่นดินของหยวนเหิง ไม่ขยับเขยื้อน เอนกายอยู่บนนั้นไม่รู้สึกสะเทือนมากนัก

“ไม่คุ้มค่า?”

ไป๋เวิ่นฉิงนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ แอบรำพึงขึ้นมาในใจ หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ต่อให้ต้องทำหมดทุกวิถีทางก็ต้องฆ่าฝ่ายตรงข้ามให้ได้

แต่เห็นได้ชัดว่า นายท่านไม่เหมือนกับคนเหล่านั้น เขาไม่ต้องการสูญเสียกำลังไปกับการฆ่าล้างตัวตนอย่างนกเค้าโลหิตเช่นนี้…

สิ่งนี้ไม่ใช่ความภาคภูมิใจและดูแคลนซึ่งแสดงออกมาจากส่วนลึกในหัวใจหรอกหรือ?

“ฮ่า ๆ นกเค้าโลหิตนี้ฉลาดกว่าลี่เมี่ยวหงมาก สามารถเอาตัวรอดมาได้จากเงื้อมมือของนายท่าน เพียงพอที่จะทำให้เขาเอาไปพูดโอ้อวดได้จนตลอดชีวิต แต่แน่นอนที่สุดคือหลังจากเจอเหตุการณ์เช่นนี้แล้วเขาต้องไม่กลับมาหาความตายอีก”

หยวนเหิงหัวเราะขึ้นมา

กล่าวเช่นนี้ทำให้ซูอี้หัวเราะตามเพราะนึกถึงเรื่องสนุกเรื่องหนึ่งเมื่อชาติที่แล้ว

ตอนนั้น ก่อนที่จักรพรรดิผีซีหมิงจะเป็นสหายกับเขา ก็เคยเกิดความขัดแย้งขึ้นหลายครั้ง

มีอยู่ครั้งหนึ่ง จักรพรรดิผีซีหมิงรวมหัวกับสหายจำนวนสิบกว่าคนโอบล้อมซูเสวียนจวิน ผลปรากฏว่าคนที่หนีไปก่อนคนแรกก็คือจักรพรรดิผีซีหมิง

สำหรับผู้เป็นจักรพรรดิแล้ว ถือได้ว่าเรื่องนี้เป็นความน่าอับอายอย่างใหญ่หลวง

ทว่าจักรพรรดิผีซีหมิงกลับดีอกดีใจ มักจะพูดคุยโอ้อวดกับคนอื่น ๆ ว่า “ซูเสวียนจวินเก่งกาจอะไรที่ไหนกัน ไม่เห็นจะเก่งกาจเหมือนที่เล่าขานกันเลย ตอนนั้นผู้เป็นจักรพรรดิสิบกว่าคนวางแผนโอบล้อมเพื่อฆ่าเขา ข้าเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่หนีมาได้”

คำกล่าวนี้จึงกลายเป็นเรื่องขบขันในแวดวงขอบเขตจักรพรรดิแห่งเก้ามหาแดนดิน

คำกล่าวของหยวนเหิงคล้ายกับเรื่องนี้มาก

ทว่า นกเค้าโลหิตในตอนนี้คงไม่สามารถนำเรื่องอับอายเช่นนี้มาคุยโอ้อวดได้

เห็นว่าซูอี้อารมณ์ดีไม่เลว หยวนเหิงจึงส่งเสียงถาม “นายท่าน ไม่เกินเจ็ดวัน พวกเราก็จะถึงนครหลวงจิ๋วติ่งแห่งอาณาจักรต้าเซี่ย ท่านมีแผนต่อไปหรือไม่?”

“เที่ยวชมนครหลวงจิ๋วติ่งก่อนสักรอบ ดูว่า ‘เมืองแห่งผู้ฝึกตน’ ที่ผู้ฝึกตนทั่วหล้าล้วนใฝ่ฝันแห่งนี้มีสภาพทิวทัศน์เช่นใด”

ซูอี้กล่าวขึ้นมา “ถึงเวลานั้น หากว่าจิตใจของเจ้าสัมผัสถึงความผิดปกติอันใดก็จงบอกข้าในทันที”

หยวนเหิงตะลึง ฉับพลันเข้าใจขึ้นมา ก่อนจะกล่าว “นายท่านโปรดวางใจ ขอเพียงผู้ฝึกตนนามว่าเก๋อเฉียนคนนั้นอยู่ในนครหลวง ข้าจะช่วยนายท่านตามหาเขาจนพบ!”

หยวนเหิงรู้ดีแก่ใจ ในตอนนั้นเป็นเพราะต้องการหาตัวเก๋อเฉียน ซูอี้จึงถ่ายทอด ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ ซึ่งเป็นบทฝึกตนในขั้นวิถีต้นกำเนิดให้แก่เขา

“เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน ให้เป็นไปตามวาสนา”

ซูอี้ไม่ค่อยสนใจในตัวเก๋อเฉียนมากนัก แต่อยากจะรู้ว่าเก๋อเฉียนฝึกฝน ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ ได้เช่นใดมากกว่า

เมื่อพูดถึงนครหลวงจิ๋วติ่งขึ้นมา ซูอี้ก็อดนึกถึงเยว่ซือฉานราชาขนนกขึ้นมาไม่ได้ สาวน้อยหน้าตางดงามในชุดสีขาวสะพายดาบ ตอนนี้จะอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่งหรือไม่นะ?

ยังมีฮวาซิ่นเฟิงอีกคน นางเป็นถึงคนรุ่นหลังของตระกูลโบราณตระกูลหนึ่งในอาณาจักรต้าเซี่ย ซึ่งใช้ปักษามังกรเป็นรูปสัญลักษณ์

ตอนที่แยกจากกันที่ทะเลวิญญาณโกลาหล ฮวาซิ่นเฟิงได้มอบหยกปักษามังกรแก่เขา ทั้งยังกล่าวว่ามีของสิ่งนี้อยู่ ไม่ว่าต้องการทำเรื่องใดในนครหลวงจิ๋วติ่ง ขอเพียงไปที่หอทะเลสาบเมฆาก็จะมีคนอาสารับใช้ถวายชีวิตต่อซูอี้

“นครหลวงจิ๋วติ่ง… หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง…”

ซูอี้ลอบคิดในใจ

อาณาจักรต้าเซี่ยเป็นใหญ่ท่ามกลางอาณาจักรในโลกสามัญนับร้อยแห่งบนมหาทวีปคังชิง

และนครหลวงจิ๋วติ่งยังเป็นนครหลวงของอาณาจักรต้าเซี่ย ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของแผ่นดิน เปรียบดั่งหัวใจของอาณาจักร มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างหาที่เปรียบมิได้

เล่าขานกันว่า นครหลวงจิ๋วติ่งมีขึ้นตั้งแต่เมื่อสามหมื่นปีก่อนแล้ว มีพื้นฐานเก่าแก่โบราณ จนถึงบัดนี้ นครหลวงจิ๋วติ่งได้รับสมญานามว่า ‘เมืองแห่งการฝึกตน’ และ ‘เมืองเซียนในโลกมนุษย์’

อีกทั้งว่ากันว่าใต้นครหลวงจิ๋วติ่งยังกดทับชีพจรมังกรซึ่งมีพลังแห่งความมงคลคละคลุ้ง และก็เป็นเพียงชีพจรมังกรเดียวบนมหาทวีปคังชิงที่ไม่ได้รับความเสียหายในยุคมืด!

ด้วยเหตุนี้ ซูอี้จึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ

จนถึงขั้นตั้งความหวังขึ้นมาว่าจะได้เจอกับตัวตนที่คู่ควรแก่การต่อสู้ในนครหลวงจิ๋วติ่งซึ่งเป็นเมืองอันมีระดับสูงสุดในแวดวงผู้ฝึกตนของอาณาจักรต้าเซี่ย!

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset