📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 446

บทที่ 446 - ความเป็นปฏิปักษ์ที่ก่อขึ้นเพราะความรัก
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

หญิงชุดดำพูดเบา ๆ “ข้าไม่ได้บอกว่าข้าต้องร่วมมือกับกู่ชางหนิง”

บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงงงงวย “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงเชิญกู่ชางหนิงให้มาร่วมมือจัดการกับเหวินซินจ้าวเล่า? เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เจ้ายังวางแผนที่จะช่วยกู่ชางหนิงในการคว้าครรภ์อสูรด้วยไม่ใช่หรือ?”

ริมฝีปากของหญิงสาวชุดดำโค้งเป็นรอยยิ้มขี้เล่น “นี่เป็นความลับ เจ้าเพียงแค่ต้องรู้ว่าในสายตาของข้า ชีวิตของเหวินซินจ้าวสำคัญกว่าครรภ์อสูรมากนัก แน่นอนว่าถึงจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกู่ชางหนิง ข้าก็จะไม่หยุดมือแค่นี้”

“ต้องจับเป็นรึ?”

“ใช่ ต้องจับเป็น”

หญิงสาวในชุดดำพยักหน้า

บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงระงับความสงสัยในใจแล้วกล่าวว่า “แล้วเจ้าจะเริ่มลงมือเมื่อไร?”

“เมื่อชุมนุมหลิงชวีสิ้นสุดลง ยามนางก้าวออกจากเมืองหลิงชวี”

ดวงตาสีฟ้าของหญิงสาวในชุดดำแสดงให้เห็นร่องรอยความคาดหวัง “ในอดีต เหวินซินจ้าวไปฝึกฝน ณ วังเทพสวรรค์เมฆา จึงมีความหวังเพียงเล็กน้อยที่จะจับนางทั้งเป็นได้ …ไม่ง่ายที่จะรอจนพบโอกาสที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เจ้าต้องไม่พลาดเด็ดขาด!”

พูดถึงตรงนี้ นางก็มองไปที่บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงก่อนถาม “การฟื้นตัวของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

ถูกพูดถึงเรื่องนี้ บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงก็มีหมอกปรากฏที่คิ้วก่อนตอบ “มันไม่ส่งผลกระทบต่อการต่อสู้หรอก แต่น่าเสียดายที่ ‘ลูกปัดวิญญาณอัคคีสีเงิน’ ของข้าใช้กับซูอี้ไปอย่างเสียเปล่า!”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

หญิงสาวในชุดดำครุ่นคิด “หากสามารถทำให้เจ้าสูญเสียครั้งใหญ่ได้เช่นนี้ ต้นกำเนิดและภูมิหลังของซูอี้จะต้องไม่ธรรมดา หากมีโอกาส ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยเจ้าสังหารคนผู้นี้ แต่นั่นต้องรอให้ข้าจับตัวเหวินซินจ้าวทั้งเป็นมาก่อน”

บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงพยักหน้า “ตกลง”

“หลันซาง เจ้าสืบได้หรือไม่ว่าครรภ์อสูรมาจากที่ใด?”

ในเมืองหลิงชวี ภายในตำหนัก กู่ชางหนิงนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ และถามอย่างขึ้นด้วยท่าทีสบาย ๆ

“รายงานคุณชาย หอการค้าหลักทั้งสามต่างปากแข็งในเรื่องนี้ เพียงบอกว่าครรภ์อสูรและสมบัติโบราณชุดนั้นมาจากคน ๆ เดียวกัน”

หลันซาง สตรีในชุดกระโปรงยาวกล่าวตอบ

“แปลกนัก ในฐานะผู้ฝึกตนคนหนึ่ง หากได้รับครรภ์อสูรและสมบัติโบราณจำนวนมากมายขนาดนี้มา ใครจะเต็มใจขายมันกัน?”

ดวงตาของกู่ชางหนิงเป็นประกายวาบ

หลันซางกะพริบตาดังหยาดน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ก่อนทำปากยื่นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “บางทีคนลึกลับผู้นั้นอาจรู้ว่าตัวเขาไม่มีโชคในการครอบครองสมบัติดังกล่าวจึงทำเช่นนี้”

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระกับข้า!”

กู่ชางหนิงเหลือบมองหลันซาง ก่อนว่า “เจ้าส่งข่าวไปให้แม่เฒ่า บอกว่าข้าหวังว่านางจะสามารถเข้าร่วมงานชุมนุมหลิงชวีในวันพรุ่งนี้ได้ เนื่องจากสมบัติโบราณเหล่านั้นน่าจะมาจากเมื่อสามหมื่นปีก่อน บางทีแม่เฒ่าอาจสามารถเห็นความลึกลับบางอย่างได้”

“เจ้าค่ะ”

หลันซางตอบรับ

ร้านหย่งอัน

โรงรับจำนำทั่วไปในเมืองหลิงชวี

เถ้าแก่ร้านเป็นชายชราแซ่หวัง ซึ่งคนรู้จักเรียกเขาว่า ‘เฒ่าหวัง’

ข้างโต๊ะไม้ที่ล้าสมัย ชายชราแซ่หวังกำลังให้อาหารนกกระจอกดำปากแดง

“เฒ่าหวัง”

ฮั่วอวิ๋นเซิงเดินเข้าไปในร้าน ศิษย์สายในแห่งวังเทพสวรรค์เมฆาผู้นี้ เมื่อเผชิญหน้ากับชายชราผู้ต่ำต้อยกลับมีสีหน้ายำเกรง

“กลับมาด้วยเหตุใดกัน?”

เสียงของเฒ่าหวังแหบแห้งและเนิบช้า

ฮั่วอวิ๋นเซิงเอ่ย “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ชายหนุ่มที่ชื่อซูอี้ทรงพลังยิ่งกว่าที่พวกเราคิด…”

เขาเล่าทีละอย่างเกี่ยวกับการพ่ายแพ้ของจางอวิ๋นเทาที่มีต่อซูอี้

หลังจากได้ฟัง ดวงตาที่ขุ่นมัวของเฒ่าหวังก็หรี่ลงเป็นเส้นตรง และมีร่องรอยประหลาดใจปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขา ก่อนจะกล่าวว่า “หากเป็นอย่างที่ท่านว่า เช่นนั้นชายหนุ่มที่ชื่อซูอี้ก็ไม่ธรรมดาเลย”

ฮั่วอวิ๋นเซิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูด “เฒ่าหวัง ข้าต้องการว่าจะจ้างนักฆ่าที่มีทรงพลังมากกว่า ‘นักเลาะกระดูก’”

เฒ่าหวังยิ้มก่อนกล่าวว่า “ท่านคิดว่า นักเลาะกระดูกไม่สามารถสังหารซูอี้ได้หรือ?”

นัยน์ตาของฮั่วอวิ๋นเซิงหรี่ลง ก่อนจะเอ่ยว่า “ไม่ ข้าแค่อยากให้แน่ใจว่าจะสังหารลงอีกฝ่ายด้วยการลงมือครั้งเดียว และจะไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นในอนาคต!”

เฒ่าหวังเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “มือสังหารในขอบเขตรวบรวมดาราไม่สามารถจ้างได้ด้วยเพียงหินวิญญาณสองสามก้อน”

ฮั่วอวิ๋นเซิงหยิบจี้หยกสีดำออกมาทันทีและวางไว้บนโต๊ะ เขาถามว่า “นี่เพียงพอหรือไม่?”

จี้หยกสีดำมีขนาดเท่ากับฝ่ามือของทารกมีอักขระโบราณสี่คำ ‘เป่าเฉียวแซ่ฮั่ว’ สลักบนผิว

ดวงตาที่ขุ่นมัวของชายชราหวังพลันแหลมคมราวกับนกอินทรี ก่อนกล่าวว่า “ที่แท้ท่านก็เป็นทายาทสายตรงของตระกูลฮั่ว”

มีสามตระกูลชั้นนำอยู่ในต้าเซี่ย ซึ่งแต่ละกลุ่มต่างสืบทอดกันมาอย่างยาวนานและมีอำนาจชวนครั่นคร้าม โดยด้อยกว่ากลุ่มเต๋าทั้งสี่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แซ่ฮั่วก็เป็นหนึ่งในนั้น

ตามตำนานเล่าว่ารากเหง้าของตระกูลฮั่วสามารถสืบย้อนไปได้ถึงเมื่อสามหมื่นปีก่อน!

“เอาล่ะ ชายชราสามารถตกลงในเรื่องนี้ได้ หากไม่มีอุบัติเหตุใดๆ ‘คนพายเรือ’ จะเป็นคนรับงานนี้ไว้”

เฒ่าหวังกล่าวด้วยรอยยิ้ม

คนพายเรือ!

ดวงตาของฮั่วอวิ๋นเซิงเป็นประกาย นี่คือผู้ที่สังหารตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวอย่าง ‘นักพรตมู่’ ผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณลงด้วยฐานบ่มเพาะเพียงขอบเขตรวบรวมดารา!

เขาประสานหมัดแล้วกล่าว “ข้าขอตัวก่อน”

ขณะที่เขาหมุนตัวจะจากไป เฒ่าหวังพลันถามขึ้น “ข้าขอถามว่าเหตุใดคุณชายฮั่วจึงยืนยันที่จะสังหารซูอี้ผู้นั้นกัน? แน่นอนคุณชายฮั่วเลือกจะไม่ตอบก็ได้เช่นกัน ชายชราเพียงแค่รู้สึกว่า ฐานะเช่นคุณชายฮั่วไม่น่าลงทุนเพื่อจัดการกับตัวตนกระจ้อยร่อยจากต้าโจวเลย”

สีหน้าของฮั่วอวิ๋นเซิงดูลังเลไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ “เขาต้องการแย่งสตรีที่ข้าชอบไป!”

หลังจากนั้นข้าก็หันหลังเดินจากไป

เฒ่าหวังตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนใจว่ามันคือความเป็นปฏิปักษ์ที่ก่อขึ้นเพราะความรักอีกครั้งหนึ่ง!

สองวันต่อมา ในยามเช้า

นี่เป็นวันที่งานชุมนุมหลิงชวีเริ่มขึ้น

ช่วงเช้าตรู่ ณ ใจกลางเมืองหลิงชวี

หน้าประตูศาลาเก้าดินแดนมีผู้คนมากมายเดินขวักไขว่โนlวลกูดอทคoม

คนใหญ่คนโตจากกองกำลังผู้บำเพ็ญในแคว้นเทียนหนานมากันคนแล้วคนเล่า หากไม่นั่งรถม้าวิเศษมา หรือมาจากฟากฟ้า ก็เดินเท้ามาด้วยกัน

บรรยากาศในบริเวณคึกคักขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าจะเกิดความโกลาหลมากน้อยแค่ไหน

เนื่องจากข่าวที่สมบัติโบราณชุดหนึ่งจะถูกประมูลได้แพร่กระจายออกไปทั่วแคว้นเทียนหนานแล้ว งานชุมนุมหลิงชวีครั้งนี้จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

แต่คนที่จะมีคุณสมบัติเข้าร่วมได้จริง ๆ ล้วนเป็นผู้ทรงเกียรติในโลกฝึกฝนแห่งแคว้นเทียนหนาน

ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปเหล่านั้น แม้กระทั่งมหาปราชญ์สวรรค์ที่มีต้นกำเนิดธรรมดายังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วม

“วังเทพสวรรค์เมฆามาแล้ว!” ทันใดนั้น ฝูงชนก็เกิดความโกลาหล ก่อนพวกเขาจะเห็นรถม้าหรูหราสองคันจอดอยู่หน้าศาลาเก้าดินแดน

เหวินซินจ้าว จางอวิ๋นเทา ฮั่วอวิ๋นเซิง และคนอื่น ๆ ก้าวลงจากรถม้าคันแรก ส่วนซูอี้ หยวนเหิง หลิงอวิ๋นเหอ และคนอื่น ๆ ลงจากรถม้าคันที่สอง

เมื่อกลุ่มคนออกมาก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทันที

“งดงามยิ่ง! นั่นคือเทพธิดาจากสรวงสวรรค์หรือ?”

เมื่อเห็นเหวินซินจ้าวซึ่งงดงามราวกับเทพธิดาในชุดที่เรียบง่ายและสง่างาม ไม่รู้ว่าบุรุษในที่นั้นกี่คนที่เผลอสูดหายใจเข้าลึกและใจเต้นรัว

กระทั่งหญิงสาวที่อยู่ที่นั่นด้วยก็อดที่จะรู้สึกละอายใจไม่ได้

ความงามของเหวินซินจ้าวนั้นดูสันโดษและประณีต ทรงเสน่ห์จนทำให้ผู้คนตาลาย ซึ่งรูปร่างที่เพรียวบางอันงดงามนั้นทำให้ผู้คนไม่กล้าแม้แต่จะมองตรง ๆ

“เทพธิดารึ? นั่นคือมารดาบน้อยผู้โด่งดังไปทั่วโลก ตำนานรุ่นเยาว์แห่งวังเทพสวรรค์เมฆา!”

ผู้อาวุโสบางคนถอนหายใจ โดยสีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

บางทีอาจเป็นเพราะเหวินซินจ้าวดึงดูดความสนใจของคนส่วนใหญ่ในที่นี้ไป ความสนใจในตัวจางอวิ๋นเทา ฮั่วอวิ๋นเซิง และคนอื่น ๆ จึงถูกปิดกั้นอย่างสมบูรณ์

สำหรับซูอี้และพวกยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะก่อให้เกิดคลื่นใด ๆ

“หืม? ชายผู้นี้อยู่กับเหวินซินจ้าวได้อย่างไรกัน?”

ท่ามกลางฝูงชน ใบหน้าของบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงในชุดสีแดงพลันเปลี่ยนไป ซึ่งเพียงชำเลืองมองเขาก็จดจำซูอี้ได้ในทันที

“เกิดอะไรขึ้น?”

อีกด้านหนึ่ง หญิงสาวผู้งดงามและทรงเสน่ห์ซึ่งสวมชุดยาวสีดำก็อดเหลือบมองไปที่บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงไม่ได้

“นั่นคือซูอี้!”

บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงเปล่งเสียงอันแสดงถึงความเกลียดชังออกมา

หญิงสาวในชุดดำตะลึงงัน เมื่อมองตามสายตาของบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงไป นางเห็นก็ชายหนุ่มร่างสูงผอมเพรียวในชุดคลุมสีเขียว

“คนแซ่ซูผู้นี้หล่อเหลา มีท่วงท่าไม่เลว ดูสงบนิ่งและทำตามใจตน แต่คนนิสัยเช่นนี้มักเย่อหยิ่งไปถึงกระดูก”

หญิงสาวในชุดดำพูดผ่านการถ่ายทอดเสียงว่า “คราวนี้เป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง แต่เจ้าอย่าได้ก่อเรื่อง เป้าหมายของข้าวันนี้คือการจับเหวินซินจ้าวมาเป็น ๆ”

บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงสีหน้าหม่นไปชั่วขณะ ก่อนพยักหน้าในที่สุด

แต่ในขณะนั้นเอง บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงก็แข็งทื่อไปเล็กน้อย เขาเห็นซูอี้ที่อยู่ไกล ๆ หันศีรษะมามอง

เมื่อสบตาคู่นั้น ในใจบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงพลันตึงเครียด ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ทว่าซูอี้กลับถอนสายตาออกไปอย่างรวดเร็วราวกับเพียงพบเห็นคนแปลกหน้า สีหน้าของเขาสงบนิ่งและไร้ซึ่งระลอกคลื่น

จากนั้นเขาก็พูดกับเหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ก่อนเดินเข้าไปในประตูของศาลาเก้าดินแดนด้วยกัน

กระทั่งร่างของซูอี้หายลับไป บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงจึงได้ผ่อนคลายลง ก่อนโทสะที่ยากจะอธิบายพลันผุดขึ้นในหัวใจของเขา

เมื่อครู่ ชั่วขณะที่ซูอี้จ้องมา ในใจเขามีความรู้สึกอยากหลบหนีไป ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันอับอายเพียงใด

“ดูเหมือนว่าเขาจะค้นพบเจ้าแล้ว”

หญิงสาวในชุดดำถอนหายใจเบา ๆ “เอาล่ะ หลังชุมนุมหลิงชวีจบลงแล้ว ถ้ามีโอกาส ข้าจะกำจัดคนผู้นี้ออกไปเช่นกัน”

เป็นคำพูดธรรมดา ๆ ราวกับกำลังตัดสินชะตากรรมของแมวหรือสุนัข

บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงรู้สึกสดชื่นทันที ซึ่งเขาก็อดตั้งตารอไม่ได้ ก่อนติดตามไปอย่างรวดเร็ว

บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงถามอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าเตรียมตัวหมากไว้มากเพียงใดกัน?”

“เมื่อถึงเวลา เจ้าจะรู้เอง”

หญิงสาวในชุดดำยิ้มเล็กน้อยก่อนเดินไปยังศาลาเก้าดินแดน

“แม่เฒ่า ท่านเห็นเด็กหนุ่มในชุดคลุมที่ติดตามเหวินซินจ้าวหรือไม่? นั่นคือซูอี้ ตอนนั้นที่แม่น้ำเทียนหลานในต้าฉู่ ข้าได้ดวลกับเขา แต่สุดท้ายข้าก็ด้อยกว่าเล็กน้อย…”

ไกลออกไปในร้านน้ำชา กู่ชางหนิงแสดงรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวขณะส่ายหัว

อีกด้านหนึ่ง หญิงชราผมขาวโพลนถือไม้ไผ่สีเขียวไว้ในมือยิ้มอย่างใจดีพลางกล่าว “นายน้อย ถ้าท่านคิดเสี่ยงชีวิตจริง ๆ ด้วยความสามารถของท่าน เกรงว่าซูอี้ก็คงมีโอกาสจะรอดกลับมาไม่มาก”

“สิ่งที่แม่เฒ่ากล่าวนั้นเป็นความจริงอย่างยิ่ง พลังที่ถูกผนึกในตราประทับสามชั้นของคุณชายเพียงถูกคลายออกชั้นแรก หากคลายออกทั้งหมด เกรงว่าคงไม่มีผู้ฝึกฝนวิถีต้นกำเนิดคนใดในโลกนี้ สามารถเป็นคู่ต่อสู้ได้”

หลันซาง หญิงสาวในชุดกระโปรงเรียบ ๆ กล่าวชมด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าพูดมากไปแล้ว หากทีหลังพูดถึงผนึกบนร่างกายข้าอีก ระวังข้าดึงลิ้นของเจ้าออก!”

กู่ชางหนิงแค่นเสียงเย็น

หลังจากนั้นเขาพูดกับหญิงชราว่า “ข้าไม่มีความบาดหมางหรือความเป็นปฏิปักษ์กับซูอี้ และหากไม่ต้องเสี่ยงชีวิตจะเป็นการดีที่สุด”

“มาเถิด ไปกัน”

หลังกล่าวเช่นเช่นนั้นกู่ชางหนิงก็ลุกขึ้นยืนก่อนตรงไปยังศาลาเก้าดินแดนที่อยู่ห่างออกไป

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset