📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 383

บทที่ 383 - หนึ่งดาบสังหารเทพปีศาจ!
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

เฉิงเจิน ถงซิงไห่ และคนอื่น ๆ เองก็มองดูฉู่ซิวด้วยแววตางุนงง

ในศึกก่อนหน้านี้ ฉู่ซิวมีโอกาสนับไม่ถ้วนที่จะลงมือ

แต่เขากลับไม่ได้ทำ

กระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอย่างอาหลินถูกฆ่า เขาก็ยังไม่ลงมือ!

นี่ทำให้ถงซิงไห่กับคนอื่น ๆ รู้สึกไม่พอใจ

ความแข็งแกร่งของฉู่ซิวเป็นที่รู้กันดี ตราบเท่าที่เมื่อครู่เขาลงมือ มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ซูอี้จะฆ่าคนได้มากมายขนาดนั้น!

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของทุกคน ฉู่ซิวพลันยิ้มก่อนกล่าว “ก่อนนี้ข้าลังเลใจว่าจะมอบโอกาสยอมจำนนให้กับทางเจ้าดีหรือไม่ แต่ตอนนี้… ข้าเข้าใจแล้วว่าตัวตนเช่นเจ้ามีแต่ต้องทำลายทิ้งถึงจะทำให้ข้าสบายใจได้”

ซูอี้กล่าวคำออก “แค่ตัดสินใจต้องใช้เวลาคิดนานขนาดนั้นเลยรึ? เจ้าดูไม่เหมือนคนประเภทตัดสินใจไม่เด็ดขาดเท่าไรนะ”

“แน่นอนว่าไม่ใช่”

ฉู่ซิวหัวเราะแล้วชี้ไปยังบันไดสามสิบสามขั้นด้านล่างพลางกล่าว “สหายเต๋าโปรดดูนี่”

สายตาทุกคู่ถูกดึงดูดไป

ก่อนเห็นเส้นริ้วโลหิตสีแดงฉานปรากฏบนขั้นบันไดหินที่คล้ายเลี่ยมด้วยทองและหยก

เส้นริ้วโลหิตเหล่านี้ดุจงูพุ่งรุดออกไปยังรูปปั้นหินทั้งสองฝั่งของขั้นบันไดหิน

เมื่อมองไปยังรูปปั้นหินที่ตั้งอยู่ มันมีประกายสีแดงเลือนรางวาบขึ้นและหายไปจนยากจะรับรู้หากไม่สังเกตดูดี ๆ

“ค่ายกลสังเวยโลหิตรึ?”

ซูอี้เลิกคิ้วน้อย ๆ

“ไม่ผิด… ยามที่ข้ามาถึงที่นี่เมื่อหลายวันก่อน ข้ารู้สึกได้ว่ารูปปั้นหินทั้งหกสิบหกตัวของบันไดหินทั้งสามสิบสามขั้นล้วนแฝงความลึกลับอันยิ่งใหญ่ไว้”

ฉู่ซิวพยักหน้าอย่างใจเย็น “หลังจากลองคำนวณและทำความเข้าใจ ในที่สุดก็มั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ล้มตายในหอดาบเซียน เลือดของพวกมันจะถูกพลังต้องห้ามที่ปกคลุมรูปปั้นไว้ดูดซับไป”

“แล้วข้าก็พบกับคัมภีร์โบราณบางส่วนในซากนี้ ซึ่งมันได้บันทึกเกี่ยวกับค่ายกลที่เรียกว่า ‘ค่ายกลสังเวยโลหิต’ นี้ไว้ มันถูกสร้างขึ้นโดย ‘ไป๋จ่างเฮิ่น’ เจ้าสำนักรุ่นที่สามของหอเซียนดาบ”

ฉู่ซิวเสริมขึ้นยิ้ม ๆ ว่า “ในรูปปั้นทั้งหกสิบหกตนมีวิญญาณอันหาญกล้าของปราชญ์จากหอเซียนดาบถูกกักไว้โดยพลังต้องห้าม ตราบใดที่ดูดซับเลือดได้มากพอ ค่ายกลนี้จะสามารถปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงออกมา”

“หากสามารถใช้เลือดของสัตว์วิญญาณที่แท้จริงมาเป็นสื่อ ค่ายกลนี้สามารถสังหารกระทั่งผู้ฝึกตนใต้ขอบเขตจักรพรรดิทั้งหมดลงได้!”

กล่าวถึงตรงนี้ฉู่ซิวก็มองย้อนกลับไปยังซูอี้แล้วกล่าว “น่าเสียดายที่เลือดของพวกที่ล้มตายในหอเซียนดาบธรรมดาเกินไป ดังนั้นแม้ว่าค่ายกลนี้จะเปิดใช้งาน มันก็สังหารได้เพียงขอบเขตแรกของวิถีวิญญาณ ‘ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ’ เท่านั้น”

ถึงจะบอกว่าน่าเสียดาย แต่สิ่งที่เขาเปิดเผยออกมาก็ได้ทำให้ทุกคนในที่นี้ตกตะลึงเกินพอแล้ว

“นายท่าน เช่นนั้นเหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่เปิดใช้งานค่ายกลแล้วสังหารเจ้าซูอี้นั่นล่ะขอรับ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นถงซิงไห่จึงอดถามขึ้นไม่ได้

คนอื่น ๆ เองก็สงสัยเช่นกัน

“เพราะเลือดสำหรับเปิดใช้งานค่ายกลสังเวยโลหิตยังไม่พอ ทว่าเมื่อครู่ที่ข้าได้สังหารคนทั้งแปดเหล่านั้นไป เลือดที่ดูดซับไปจึงพอให้เปิดใช้งานค่ายกลนี่ได้อย่างเฉียดฉิว”

ผู้ตอบคือซูอี้

ฉู่ซิวปรบมือเข้าหากันอย่างชื่นชมพร้อมกล่าว “สิ่งที่เจ้ากล่าวถูกต้องอย่างยิ่ง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นถงซิงไห่กับเฉิงเจินก็รู้สึกเหน็บหนาวในใจ มือเท้าชา ตอนนี้เองที่พวกเขาตระหนักว่าที่ฉู่ซิวไม่ได้ทำอะไรเลยก่อนหน้านี้ เพราะต้องการสั่งสมเลือดให้เพียงพอต่อการเปิดใช้งาน ‘ค่ายกลสังเวยโลหิต’!

ซี่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่ถูกสังหารโดยซูอี้ได้กลายมาเป็นเครื่องสังเวย!

ใครบ้างจะไม่ประหลาดใจกับข้อเท็จจริงนี้?

ต้องรู้ก่อนว่าอาหลิน ราชาฉลามสมุทร และคนอื่น ๆ ต่างเป็นลูกน้องข้างกายฉู่ซิว แต่เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย!

จิตใจเช่นนี้ กล่าวได้ว่าโหดเหี้ยมสุดขีด

กระทั่งฮวาซิ่นเฟิงยังต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างตกใจกับความโหดเหี้ยมและไร้ปรานีของฉู่ซิว

ฉู่ซิวคล้ายไม่รับรู้ถึงสายตาประหลาดของทุกคน เขาจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ทว่า สหายเต๋ายังเดาได้ไม่หมด”

“อ้อ?” ซูอี้เลิกคิ้ว

ฉู่ซิวกล่าว “นอกจากพลังอันแข็งแกร่งแล้ว ค่ายกลสังเวยโลหิตนี้ก็เป็นกุญแจสำคัญ ตราบใดที่สั่งสมเลือดมากพอจนปลุกรูปปั้นทั้งหกสิบหกได้ ก็ย่อมสามารถทลายผนึกบนประตูได้”

ทุกคนตะลึง ค่ายกลนี้ยังซุกซ่อนความลับเช่นนั้นไว้ด้วยอย่างนั้นหรือ?

ทว่าซูอี้หัวเราะ “การปลุกวิญญาณในรูปปั้นทั้งหกสิบหกไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นหรอก”

ฉู่ซิวถอนใจแล้วกล่าว “ไม่ผิด ข้าเองก็กังวลเกี่ยวกับจุดนี้มาก่อน ดังนั้นข้าจึงวางแผนชักชวนผู้คนให้มาที่นี่ การรับศิษย์จำนวนมากย่อมดึงดูดผู้คน เช่นนี้ก็น่าจะสั่งสมเลือดได้มากพอที่จะเปิดประตูแล้ว”

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนต่างก็ตระหนกและขุ่นเคือง

ยกเว้นลุงอวิ๋นกับหรงเฮ่อ ในใจของคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกโศกเศร้า

กลายเป็นว่าเหตุผลที่ฉู่ซิวรับสมัครผู้คนก็เพื่อใช้เลือดของพวกเขาเปิดประตูตำหนักนี้!

สรุปสั้น ๆ คือพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นเพียงเหยื่อในสายตาของฉู่ซิว เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็จะถูกสังเวยโดยไม่ใส่ใจ

“ชายผู้นี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว…”

ฮวาซิ่นเฟิงตัวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม

ก่อนนี้นางเห็นฉู่ซิวรับสมัครผู้ฝึกตนและคิดก่อตั้ง ‘สำนักเทพสวรรค์จำแลง’ ขึ้นมา นางยังคิดว่าชายผู้นี้ตั้งใจรวบรวมผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเพื่อครองโลก

ใครจะคิดว่ามันไม่ใช่เช่นนั้นเลย!

คนผู้นี้เพียงใช้เรื่องนี้เป็นเหยื่อล่อดึงดูดผู้ฝึกตนให้มาเข้าร่วมกับเขา จากนั้นก็ใช้เลือดของคนเหล่านั้นในการคว้าโชคลาภภายในหอเซียนดาบ!

“เหตุใดเจ้าจึงกล่าวออกทั้งหมดเช่นนี้? เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นคนเจ้าแผนการ และได้รับชัยชนะเรียบร้อยแล้วอย่างนั้นรึ?”

ซูอี้ยังคงไม่แยแส

“ไม่ใช่”

ฉู่ซิวกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าเพียงใช้โอกาสนี้ทำให้พวกเจ้าตายตาหลับเท่านั้น”

เขาชี้ไปที่อกตัวเองแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “แท้จริงแล้วข้าเป็นคนจิตใจดียิ่งนัก ต่อให้สังหารศัตรูก็ทนให้อีกฝ่ายตกตายอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่ได้ มันเป็นหลักการของข้าเสมอ และเมื่อศัตรูทั้งหมดตาย ตัวข้าฉู่ซิวก็จะสบายใจ”

พวกได้ยินเช่นนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างขนลุกและเหน็บหนาวไปทั้งตัว

ซูอี้ยิ้มก่อนจะกล่าว “เช่นนั้นตอนข้าสังหารเจ้าในภายหลัง ข้าจะบอกความลับที่ไม่คาดฝันให้เจ้ารู้”

“เช่นนั้นรึ?”

ฉู่ซิวแสร้งทำเป็นประหลาดใจก่อนจะยิ้ม “น่าเสียดายที่ข้าไม่สนใจความลับของคนตาย”

ขณะที่เขากล่าว ดาบเล่มขาวดุจหิมะพลันถูกชักออกมาจากแขนเสื้อ ที่ด้ามจับมีอักษรตัวเล็ก ‘ไป๋จ่างเฮิ่น’ สามตัวสลักไว้

ฉู่ซิวถือดาบไว้ในมือพลางเหลือบมองไปยังถงซิงไห่กับคนอื่น ๆ แล้วกล่าว “ทุกท่าน สิ่งที่ข้ากล่าวไว้ก่อนนี้ยังมีผลอยู่ ตราบใดที่พวกเจ้ารับใช้ข้าต่อไป ข้าฉู่ซิ่ว จะไม่สังหารพวกเจ้าแน่นอน เพราะถึงอย่างไรข้าก็ขาดแคลนกำลังคนใช้งานอยู่จริง ๆ”

จากนั้นเขาก็มองย้อนกลับไปที่ซูอี้และกล่าวว่า “สหายเต๋าซู เจ้ากล้าลองพลังของค่ายกลใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยเจ้าสำนักรุ่นที่สามของหอเซียนดาบหรือไม่?”

ฮวาซิ่นเฟิงรู้สึกกระวนกระวาย นางมองไปที่ซูอี้อย่างกังวล

“ข้านึกว่าเจ้าจะเป็นตัวตนที่ควรค่าแก่การประมือด้วย แต่เจ้าในยามนี้ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ” ซูอี้ถอนใจ

“หากสามารถใช้ค่ายกลใหญ่สังหารศัตรูได้ เหตุใดจึงต้องลงมือด้วยตัวเองเล่า? สหายเต๋าไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘ผู้ร่ำรวยย่อมไม่คิดเสี่ยงภัย’ หรือ?”

ฉู่ซิวหัวเราะ

ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น ดาบสีขาวราวกับหิมะในมือของเขาก็ชี้ไปที่ความว่างเปล่า ก่อนเสียงดุจฟ้าร้องที่มืดมนจะดังมาจากริมฝีปากนั้น

“เปิด!”

เสียงนั้นก้องไปทั่วทุกทิศ

ตูม!

รูปปั้นบนบันไดหินเก้าขั้นพลันเกิดการสั่นสะเทือน ราวกับพวกมันได้ตื่นขึ้นจากความเงียบงันอันไร้ที่สิ้นสุด

ทันใดนั้น พลังอันมหาศาลจากรูปปั้นก็ระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้า ปกคลุมซึ่งฟากฟ้าและดวงตะวัน

ภายใต้สายตาหวาดกลัวของฝูงคน พวกเขาก็เห็นเงาร่างที่น่าสะพรึงซึ่งอาบไปด้วยรัศมีปีศาจร่างแล้วร่างเล่าก่อตัวขึ้นเหนือรูปปั้น

บางตัวมีรูปร่างเหมือนเสือโคร่งและมีขนาดใหญ่เท่าภูเขา

บางตัวมีหัวเหมือนม้า เขาหนึ่งอัน สี่กีบเท้าดุจเสาเหล็กกล้า และมีเกล็ดสีแดงปกคลุมร่าง

บางตัวหัวเป็นงูร่างเป็นคน มือทั้งสองข้างถือค้อนยักษ์ที่ล้อมรอบด้วยฟ้าร้องฟ้าแลบ

…มันมีสัตว์ร้ายทั้งหมดสิบแปดร่าง ซึ่งเมื่อพวกมันปรากฏขึ้น พลังผันผวนที่ถูกยับยั้งไว้ก็พลันกระจายออกไป

เพียงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวของค่ายกลต้องห้ามก็ทำให้ถงซิงไห่และคนอื่น ๆ หายใจไม่ออก ราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง

“น่าสยดสยองเกินไปแล้ว!!!”

พลังที่เปล่งออกมาจากร่างทั้งสิบแปดนั้นเกินขอบเขตของวิถีต้นกำเนิดทั้งสามไปโดยสิ้นเชิง และเกือบจะไม่ต่างจากผู้ฝึกต้นขั้นวิถีวิญญาณในตำนาน

แต่ซูอี้ดูคล้ายจะไม่รับรู้ เขาเพียงเหลือบมองไปยังฮวาซิ่นเฟิงที่ตัวสั่นและประหม่าอยู่ไม่ไกล ก่อนจะอดหัวเราะไม่ได้ “เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเจ้ากล้าหาญมากนักหรือ เหตุใดเจ้าถึงหวาดกลัวเช่นนี้เล่า?”

ฮวาซิ่นเฟิงโง่งมไปครู่หนึ่ง ท่านปู่ซูของข้า เวลาเช่นนี้แล้วท่านยังมีกะจิตกะใจมาล้อเล่นอีกหรือ?!

“ไป!”

ไกลออกไป ดาบสีขาวในมือฉู่ซิวพลันชี้ไปทางซูอี้

ทันใดนั้น ร่างของสัตว์ร้ายที่น่าสะพรึงทั้งสิบแปดร่างก็วูบหายไปในอากาศ ราวกับพวกมันกำหนดเป้าหมายไว้แล้วจึงพุ่งเข้าใส่ซูอี้ด้วยพลังผันผวนอันมหาศาล

ครืน!

ที่นำมาคือสัตว์ที่หัวเป็นงูร่างเป็นคนซึ่งถือค้อนยักษ์คู่ไว้ พลังต้องห้ามบนร่างของมันเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีดำที่หนาเท่าแขนเด็ก รัศมีชั่วร้ายพลุ่งพล่าน

ในพริบตามันก็โผล่มาอยู่ด้านหน้าซูอี้ห่างออกไปสิบฉื่อพร้อมกระแทกค้อนลงมา

ราวกับพายุฝนฟ้าคะนองที่ซัดสาดลงมาจากท้องฟ้า ส่งรัศมีแห่งการทำลายล้างออกเป็นวงกว้าง ทำให้ถงซิงไห่ เฉินเจิน และคนอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไปรู้สึกสิ้นหวัง

หากลองถามพวกเขาคนใดคนหนึ่ง เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถต้านรับการโจมตีของอีกฝ่ายได้

ในเวลานี้เอง ซูอี้ยิ้มขึ้นแล้วชูมือไปทางประตูตำหนักด้านหลังที่อยู่ห่างไปสามฉื่อ

ฮึ่ม!

พลันประตูตำหนักมีลวดลายยันต์สีใสปรากฏขึ้น

“อ๊ะ!”

ฮวาซิ่นเฟิงที่อยู่ใกล้ที่สุด เพียงเหลือบมองก็จำได้ว่าลวดลายของยันต์นี้คือสิ่งที่ซูอี้สลักไว้ที่ประตูตำหนักยามมาถึงที่นี่ตอนแรก

เวลานั้นเขายังถูกเย้ยหยันโดยสตรีนามซางลั่วอวี่อยู่เลย

แต่ยามนี้ เมื่อลวดลายยันต์ปรากฏขึ้น พลังต้องห้ามอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนเร้นอยู่ก็พลันพุ่งออกไปดุจกระแสน้ำ และถูกซูอี้คว้าเอาไว้ก่อนจะกลายเป็นดาบวิถี!

ดาบยาวสามฉื่อก่อตัวขึ้นโดยพลังต้องห้ามอันลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่

ด้วยดาบในมือ ซูอี้ฟันออกไปข้ามฟากฟ้า

ตูม!

ปราณดาบสายหนึ่งที่เหมือนประกายสายฝนวาบผ่านทั่วผืนฟ้า และด้วยการกวาดเบา ๆ ร่างของมนุษย์หัวงูกับสัตว์ร้ายที่พุ่งไปข้างหน้าก่อนนั้นถูกผ่าออกเป็นสองส่วนราวกับกระดาษในฉับพลัน!

ทันใดนั้นทั้งร่างและค้อนยักษ์ในมือสัตว์ร้ายก็ระเบิดออกกลายเป็นสายฝนโปรย ก่อนจะหายไปไม่เหลือร่องรอย

นี่มัน…

หนึ่งดาบสังหารเทพปีศาจ!

ถงซิงไห่กับคนอื่น ๆ ต่างตะลึงงันไป

เมื่อเห็นฉากนี้ ฉู่ซิวที่ใจเย็นและสงบนิ่งมาโดยตลอดก็เปลี่ยนสีหน้า

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset