📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 319

บทที่ 319 - ละครเด็ดฉากนี้จะเริ่มแสดงเมื่อใด
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

ซูอี้หัวเราะขึ้นมา พลางกล่าว “เจ้ารีบไปจากที่นี่เร็ว ๆ จะดีกว่า”

โจวจือเจิ้นทนไม่ไหวกล่าวขึ้นมา “คุณชายซู ขอเรียนถามแผ่นดินต้าโจวในตอนนี้ นอกจากเสด็จพ่อของข้าแล้ว ใครกันที่สามารถปกป้องเจ้าได้อีก?”

ชายชราชุดแดงก็พูดขึ้นมาเช่นกัน “คุณชายซูเก่งถึงขั้นสามารถฆ่าเทพเซียนเดินดินได้ ไม่เกรงกลัวภัยอันตราย แต่คุณชายคงยังจะไม่รู้ว่านครหลวงอวี้จิงในตอนนี้ ที่แท้แล้วอันตรายน่ากลัวมากเพียงใด? อย่างไรก็แล้วแต่ คุณชายจงคิดให้รอบคอบ”

หญิงสวมชุดกระโปรงสวยหรูกล่าว “คุณชายซูเป็นคนหนุ่มมีความสามารถ หนทางวันข้างหน้ายังกว้างไกล เหตุใดต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับอันตรายด้วย? ยิ่งกว่านั้น คุณชายเลือกที่จะจงรักภักดีต่อฝ่าบาทกับองค์ชายสาม มีแต่ประโยชน์ไม่มีผลร้าย คนฉลาดย่อมรู้ด้วยกันทั้งสิ้นว่าต้องเลือกเอาอย่างไหน”

เห็นว่าชายวัยกลางคนที่อุ้มดาบกำลังจะเอ่ยพูด ซูอี้ยกมือขึ้นห้าม “เชิญ ไม่ส่ง”

พูดจบก็ย่างเท้าเดินตรงไปยังลานซงเฟิงเปี๋ย

“เจ้า…”

โจวจือเจิ้นสีหน้าเคร่งเครียด

ชายชราชุดแดงส่งเสียงฮึกล่าวเสียงเย็นชา “คุณชายซู องค์ชายสามปรารถนาดีจึงมาช่วยเหลือ แต่เจ้ากลับแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อองค์ชายสามอย่างนั้นรึ?”

ซูอี้หยุดเดินแล้วหมุนตัวกลับมา สายตาเย็นยะเยือกก่อนจะกล่าว “ต้องการจะถือโอกาสในตอนนี้ ให้ข้าซูผู้นี้ก้มหัวรับใช้เท่านั้น เช่นนี้ก็เรียกว่าช่วยเหลือเช่นนั้นหรือ? ขอเตือนพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย รีบไปจากที่นี่ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

สีหน้าของโจวจือเจิ้นยิ่งบูดเบี้ยวมากขึ้นกว่าเดิม

เขาไม่นึกเลยว่าตัวเองมาหาถึงที่เช่นนี้แล้ว ทว่าซูอี้กลับไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย ท่าทีหยิ่งผยองเช่นนั้น ราวกับไม่เคยมองเขาผู้เป็นองค์ชายสามอยู่ในสายตาเลย

ชายชราชุดแดงขมวดคิ้วแน่น ไม่เข้าใจมากเช่นกัน

ตามที่เขารู้มา ซูอี้เคยทำงานรับใช้ข้างกายองค์ชายหกมาก่อน คิดว่าองค์ชายสามมาหาด้วยตนเอง ทั้งยังรับปากว่าจะช่วยปกป้องเขา เช่นนี้ซูอี้น่าจะทำงานรับใช้องค์ชายสามได้

แต่ใครกันจะคิดว่าซูอี้กลับแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา!

“ไม่เกรงใจ? ซูอี้ ที่นี่เป็นนครหลวงอวี้จิง อยู่ใต้พระเนตรขององค์จักรพรรดิ ตัวเจ้าเองยังเอาตัวไม่รอด ยังกล้าประมือกับพวกเราอีกเช่นนั้นหรือ?”

ผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสวยหรูหัวเราะเย็นชาไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย

นางเข้าใจเป็นอย่างดีว่าพลังของซูอี้นั้นมีความน่ากลัวมาก ทว่านางไม่เชื่อหรอกว่าในนครหลวงอวี้จิงแห่งนี้ ซูอี้จะกล้าผิดใจกับพวกเขา

เพราะอย่างไรเสียก็ดี หากเป็นตัวตนที่ปกติธรรมดาล้วนเข้าใจดีว่าผลของการทำเช่นนี้มันร้ายแรงมากเพียงใด!

ซูอี้ชายตามองดูนางสักครู่ กล่าว “หากเจ้าพูดมากกว่านี้อีกแค่คำเดียว ข้าจะฆ่าเจ้า ไม่เชื่อก็ลองดู”

ผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสวยหรูปล่อยหัวเราะออกมา กล่าว “เจ้า…”

เอื๊อก!

ดาบเล่มหนึ่งแทงทะลุคอหอยของผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสวยหรู

ลูกนัยน์ตาของนางเบิกกว้าง เขียนติดเต็มหน้าว่ายากนักจะเชื่อ ส่งเสียงฮือ ๆ ออกมาจากริมฝีปาก สุดท้ายสองมือกุมคอล้มหงายลงกับพื้น

ตุบ!

เสียงดังหนัก ๆ ราวกับค้อนใหญ่ตอกหัวใจ

โจวจือเจิ้น ชายชราชุดแดง กับผู้ชายวัยกลางคนอุ้มดาบพากันสีหน้าเปลี่ยน ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าซูอี้จะลงมือรวดเร็วเฉียบขาดเช่นนี้!

พวกเขาไม่แม้แต่จะมองเห็นว่าซูอี้ลงมือเช่นใด!

รวดเร็วมาก ทำให้พวกเขาตั้งตัวไม่ทัน อย่าว่าแต่ออกไปห้ามเลย

“ซูอี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร?”

ผู้ชายวัยกลางคนอุ้มดาบตะคอกด้วยความโกรธอย่างแรง

เมื่อก่อนหน้านี้เขานิ่งเงียบมาโดยตลอด ทว่าตอนนี้ เป็นเพราะการตายของสตรีนางนั้นทำให้เขาโกรธอย่างที่สุด

“เจ้าพูดมากอีกแค่คำเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าในแบบเดียวกัน”

ซูอี้กล่าวราบเรียบ

ผู้ชายวัยกลางคนอุ้มดาบตัวแข็งทื่อ หน้าเขียวปั้ด แต่ไม่กล้าพูดอะไรอีก

โจวจือเจิ้นสูดลมหายใจลึก ๆ ราวกับต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง

ขณะนี้เอง ซูอี้เบนสายตามองไป กล่าว “เจ้าก็เช่นกัน”

โจวจือเจิ้นสะดุ้งราวกับไม่คาดคิดมาก่อนว่าซูอี้จะกล้าใช้วิธีเดียวกันนี้ข่มขู่ตนเองผู้เป็นองค์ชาย!

ทว่าเมื่อเผชิญกับสายตาอันราบเรียบสงบนิ่งไร้ความรู้สึกของซูอี้แล้ว เขาก็ได้แต่ตัวสั่นสะท้านขึ้นมา แล้วกลืนคำพูดที่มาถึงปากแล้วลงท้องไป

ชายชราชุดแดงเห็นเช่นนี้แล้ว ไหนเลยจะกล้าพูดอะไรอีก?

“นำศพกลับไปด้วย”

ซูอี้ชี้ไปที่ร่างของสตรีสวมชุดกระโปรงสวยหรูนางนั้น

เห็นได้ชัดว่าโจวจือเจิ้นโมโหจนแทบระเบิด ในนครหลวงอวี้จิงแห่งนี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนเดินดินก็ยังต้องให้ความเกรงใจในฐานะที่เขาเป็นองค์ชาย

เขาเคยได้รับการสบประมาทเช่นนี้เมื่อไรกัน?

ทว่าเขากลับไม่กล้าเอ่ยปากพูด ไม่กล้าเอาชีวิตของตัวเองเข้าเสี่ยง ความโกรธเกรี้ยวและอับอายที่อัดแน่นในใจทำให้เขารู้สึกอึดอัดยากจะทน

ในที่สุด เขากัดฟัน จ้องดูซูอี้เขม็งแล้วหมุนตัวกลับไป

ชายชราชุดแดงกับชายวัยกลางคนอุ้มดาบเห็นเช่นนี้แล้วรีบนำศพของผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสวยหรูนางนั้นออกไปพร้อมกัน

ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครกล้าพูดมากแม้แต่คำเดียวnᴏᴠᴇʟɢu.ᴄoᴍ

จนกระทั่งออกจากตรอกเถาฝูไปแล้ว จึงได้ยินเสียงตะคอกด้วยความโกรธของโจวจือเจิ้นดังมาแต่ไกล

“ซูอี้ ตอนที่เจ้าตาย ข้าจะมาเก็บศพเจ้าด้วยตัวเอง!”

ซูอี้ได้แต่หัวเราะไม่ได้ใส่ใจ จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าไปในลานซงเฟิงเปี๋ย

โกรธจนส่งเสียงด่าตะคอกอย่างรุนแรงลับหลัง คนพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่ไร้ความสามารถอย่างที่สุด

กลับถึงห้อง ซูอี้นั่งขัดสมาธิลง หยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมา เทโอสถเม็ดใสแวววาวออกมาเม็ดหนึ่ง

โอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจร!

เป็นหนึ่งใน ‘สี่มหาโอสถวิญญาณวิถีต้นกำเนิด’ ที่ ‘สำนักโอสถกระจ่าง’ สำนักหลอมโอสถอันดับหนึ่งในเก้ามหาแดนดินผลิตขึ้นมา

และก็เป็นโอสถวิญญาณอันดับหนึ่งที่ใช้สำหรับสร้างรากฐานเวลาที่ผู้ฝึกตนก้าวสู่หนทางแห่งวิถีต้นกำเนิด เป็นโอสถวิญญาณที่ขึ้นชื่อในแผ่นดิน

ถึงตอนนี้ โอสถอันสูงค่าเช่นนี้กลับถูกซูอี้ใช้เพื่อฝึกฝนขอบเขตปรมาจารย์

อีกทั้ง ตั้งแต่วันที่เจ็ดเดือนสี่หลังออกจากขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาในวันนั้นแล้ว ทุก ๆ สามวัน เขาก็จะนำออกมากินหนึ่งเม็ด

จนถึงตอนนี้กินเป็นเม็ดที่สามแล้ว

หากว่าอยู่ในมือผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญ โอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจรหนึ่งเม็ดก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาสร้างรากฐานมหาวิถีที่แข็งแกร่งได้

ทว่าเมื่อนำมาใช้กับซูอี้ โอสถวิญญาณเช่นนี้สามเม็ดเพียงแค่ทำให้การฝึกตนของเขาบรรลุถึงขอบเขตปรมาจารย์ขั้นที่สี่อย่างสมบูรณ์เท่านั้น

แกนสำคัญอยู่ตรงที่ รากฐานมหาวิถีของเขานั้นแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่จนเกินไป พื้นฐานมหาวิถีในตัวล้วนเรียกได้ว่าหายากในพันปี

“หากสามารถหลอมเปิด ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ สำเร็จ ข้าก็จะสามารถบงการดาบฆ่าศัตรู แสดง ‘ดาบดินแดนห้าธาตุ’ ออกมาได้ ถึงเวลานั้น การฆ่าฉือเฟิงหลิวผู้ที่ฝึกฝนภาวะดาบสำเร็จภายในดาบเดียว ก็ไม่ต่างอะไรไปจากหยิบของในย่าม”

“นอกจากนี้ เมื่อสำเร็จเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ ห้าอวัยวะประดุจเตาหลอม กำลังร่างกายเทียบได้กับร่างทองอำพันของสำนักพุทธ สามารถบดขยี้ดาบลึกลับวิถีต้นกำเนิดด้วยมืออย่างง่ายดาย”

“ส่วนพลังจิตวิญญาณ สามารถฝึก ‘เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต’ ได้ อานุภาพนั้นยิ่งใหญ่กว่าเคล็ดดาบนภาไร้วิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่รับมือกับพลังจิตสัมผัสของผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิด สามารถสำแดงอานุภาพการทำลายล้างแบบล้างผลาญได้”

“แต่ว่า ‘เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต’ นั้นรุนแรงเกินไป พลังจิตวิญญาณที่สูญเสียมีมากเกินไป ไม่ถึงเวลาจำเป็นจริง ๆ อย่านำมาใช้จะเป็นการดี”

ซูอี้กินโอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจรไปเม็ดหนึ่งแล้ว ด้านหนึ่งฝึกตน อีกด้านหนึ่งคิดพิจารณา

การเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงอย่างแท้จริงของขอบเขตปรมาจารย์ เริ่มตั้งแต่ขั้นห้า

สี่ขั้นแรกเป็นเพียงแค่การสั่งสม เมื่อถึงขั้นห้าแล้วเนื้อแท้จึงจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง

ถึงเวลานั้น อวัยวะทั้งห้าเป็นเตาหลอม กอปรกับเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ สามารถทำให้จิตวิญญาณ ร่างกาย ผลการฝึกในตัวผู้ฝึกตนเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าผันแผ่นดิน

และก็มีแต่บรรลุถึงขอบเขตนี้แล้วเท่านั้น จึงจะมีพื้นฐานสำแดงเคล็ดวิชาเหล่านี้

ดังเช่น ‘ดาบดินแดนห้าธาตุ’ เป็นเคล็ดดาบสะท้านโลกวิชาหนึ่งที่ซูอี้คิดค้นเมื่ออดีตชาติ ติดอันดับ ‘คัมภีร์สามสิบสามวิถีดาบแดนดิน’

ความลึกลับในเคล็ดวิชาเกี่ยวข้องกับการใช้มหาวิถีห้าธาตุอันลึกล้ำ

ต่ำกว่าผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดล้วนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะฝึกฝนคัมภีร์ดาบเช่นนี้

เช่นเดียวกัน หากว่าซูอี้ไม่อาจฝึกฝนพื้นฐานมหาวิถีอย่าง ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ ในขอบเขตปรมาจารย์ได้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสำแดงอานุภาพเคล็ดดาบสะท้านโลกที่แท้จริงออกมา

ดังเช่น ‘เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต’ เป็นวิชาสุดยอดแขนงหนึ่งของผู้ฝึกจิตวิญญาณ ไม่ถึงกับล้ำลึกมากนัก แต่ก็เป็นเคล็ดวิชาวิชาที่เจาะจงในด้านพลังจิตสัมผัส ซึ่งมีความร้ายกาจยิ่งนัก

ด้วยพลังจิตสัมผัสที่มีอยู่ในตอนนี้ของซูอี้จึงสามารถแสดงเคล็ดวิชาเช่นนี้ออกมาได้ ทว่าในชั่วขณะที่บุกโจมตีอาจทำให้จิตสัมผัสตกอยู่ในสภาวะอ่อนล้า

มีแต่พลังจิตวิญญาณบรรลุอีกครั้งจึงจะสามารถแสดงเคล็ดวิชานี้ออกมาได้อย่างงดงาม

โดยสรุปคือสำหรับซูอี้ ผู้ที่มีประสบการณ์ในอดีตชาติอย่างเขา เดิมทีมีความช่ำชองในเคล็ดวิชามากมายหลายแบบ ไม่มีทางขาดแคลนวิชาการสู้รบฟาดฟัน

และแน่นอน เงื่อนไขก็คือผลการฝึกตนจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องซึ่งกันและกัน

“ด้วยความเร็วในการฝึกฝนของข้าตอนนี้ ไม่น่าเกินเจ็ดวันก็สามารถย่างเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ขั้นห้าได้อย่างแท้จริง…”

ซูอี้แอบคิดในใจ

เขาไม่ได้ร้อนใจจนเกินไปนัก

แม้ว่านครหลวงอวี้จิงแห่งนี้จะเต็มไปด้วยภัยอันตราย ทว่าเขาก็ไม่ค่อยให้ความสนใจจนเกินไปนัก อาศัยพละกำลังในตอนนี้ของตัวเองก็เพียงพอที่จะรับมือกับอันตรายทั้งสิ้นแล้ว

สำหรับซูอี้ กลับชาติมาเกิดและฝึกตนอีกครั้ง แต่ละก้าวของการฝึกฝนต้องล้ำหน้าเกินกว่าพื้นฐานมหาวิถีในชาติที่แล้วจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

——

วังหลวง

ในตำหนักอันใหญ่โตน่ายำเกรง

จักรพรรดิโจวในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินทั้งตัวนั่งสง่าอยู่บนบัลลังก์มังกร พลางนวดหัวคิ้วถอนหายใจยาว “เหตุใดข้าจึงมีบุตรเช่นเจ้าได้”

พูดจบ เขาก็นั่งตัวตรง สายตาลุ่มลึกจนน่ากลัว “หนุ่มน้อยผู้มีความสามารถฆ่าเทพเซียนเดินดินได้ แต่เจ้ากลับไปเรียกให้เขามาทำงานรับใช้? เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าผู้ฝึกตนเช่นนั้นจะเกรงกลัวอำนาจกษัตริย์ในโลกสามัญเช่นนี้?”

องค์ชายสามโจวจือเจิ้นคุกเข่าหมอบกราบอยู่ตรงนั้นด้วยอาการตัวสั่นงันงก กล่าว “เสด็จพ่อ บุตรต้องการจะถือโอกาสนี้ดึงรั้งคนหนุ่มมีฝีมือดีให้เสด็จพ่อ…”

ไม่รอให้พูดจบ จักรพรรดิโจวก็หัวเราะเย็นชาพลางกล่าว “เหลวไหล! ข้าอยากจะถามเจ้า ที่แท้แล้วเจ้าต้องการทำเช่นนี้เอง หรือว่าถูกใครคนอื่นสั่งสอนมากันแน่?”

โจวจือเจิ้นอ้าปากอยากจะพูด ทว่าจักรพรรดิโจวกลับกล่าวเสียงเย็นชา “ข้าต้องการจะฟังความจริง! หากว่ามีคำเท็จแม้แต่คำเดียว ข้าจะปลดเจ้า!”

โจวจือเจิ้นสั่นไปทั้งตัว โขกศีรษะกล่าว “เสด็จพ่อ เมื่อคืนนี้บุตรกับพี่รองดื่มสุราด้วยกัน พี่รองบังเอิญเอ่ยขึ้นมาว่าหากเก็บซูอี้มาใช้ประโยชน์ได้ ย่อมสามารถสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับต้าโจวของเราได้ และยังทำให้ข้างกายเสด็จพ่อมีคนเก่งเพิ่ม…”

แววตาของจักรพรรดิโจวมีประกาย ถอนใจรำพัน “จริง ๆ คนโง่อย่างเจ้าเหมาะนักที่จะถูกคนอื่นหลอกใช้”

เขาโบกมือ “เจ้าถอยออกไปเถิด นับแต่วันนี้เป็นต้นไป จงสำนักความผิดอยู่ในตำหนักของตัวเอง หากไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามก้าวออกมาข้างนอกแม้แต่ก้าวเดียว!”

ในน้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความผิดหวังและเหนื่อยหน่ายถึงที่สุด

โจวจือเจิ้นเสียขวัญราวกับหมดแล้วซึ่งเรี่ยวแรงกำลังในทันใด

เขาเข้าใจแล้วว่าตลอดชาตินี้ของตัวเองยากนักจะเข้าใกล้บัลลังก์มังกรตัวนั้นอีกแม้แต่ก้าวเดียว

จนกระทั่งโจวจือเจิ้นออกไปแล้ว จู่ ๆ จักรพรรดิโจวก็เอ่ยขึ้น “ราชครู เจ้าว่าหากข้าไปหาซูอี้ด้วยตนเอง เขาจะยอมทำงานรับใช้ข้าหรือไม่?”

หงเซินชางยืนสงบอยู่อีกด้านของตำหนักนิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงกล่าว “กราบทูลฝ่าพระบาท ก็ต้องดูว่าซูอี้จะสามารถเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของซูหงหลี่ผู้เป็นบิดาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิโจวส่งเสียงร้องอ้อ จากนั้นจึงกล่าว “ตอนนี้ซูอี้มาถึงนครหลวงอวี้จิงแล้ว เช่นนั้นคณะทูตของต้าเว่ยกับต้าฉินมีความเคลื่อนไหวอันใดหรือไม่?”

นัยน์ตาสีทองอ่อน ๆ ของหงเซินซางผุดประกายแสงลุ่มลึกน่ากลัว พลางกล่าว “ฝ่าพระบาทไม่ต้องทรงเป็นห่วงเรื่องเหล่านี้ ขอเพียงซูอี้ยังอยู่ในนครหลวงอวี้จิง ไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีคนทนไม่ไหวโผล่หัวออกมาก่อนอย่างแน่นอน!”

จักรพรรดิโจวหัวเราะ ก่อนจะกล่าว “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็คอยดูต่อไปอย่างสงบ ดูสิว่าละครเด็ดฉากนี้จะเริ่มแสดงเมื่อใด!”

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset