📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 249

บทที่ 249 - ความยโสโอหังของจวิ้นอ๋องเทียนหย่ง
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

เคร้ง!

หลังจากสองชั่วยามเต็ม จู่ ๆ กลางค่ายกองทัพเกราะเขียวก็บังเกิดเสียงดาบกู่ร้องก้องกังวานไปไกลนับสิบลี้

ซูอี้ถือดาบวิญญาณไว้ข้างหน้าเขา

ดาบเล่มนี้ใบดาบกว้างราวสามชุ่น ยาวสามฉื่อ

ขณะที่ซูอี้โคจรปราณวิญญาณเข้าสู่ดาบ อักขระลึกลับอันทรงพลังปรากฏขึ้นออกจากใบดาบสีดำอันลึกลับประหนึ่งความมืดมิดในยามราตรีอันไร้แสงจันทร์

บัญญัติกลืนวิญญาณ!

นี่เป็นบัญญัติแห่งมรรคาเผ่าอสูร ซึ่งบันทึกไว้ใน ‘แท่นศิลาฝืนบัญญัติฟ้า’ ของหนึ่งในสามสำนักอันทรงพลังที่สุดแห่งเผ่ามหาอสูรในเก้ามหาแดนดิน ‘แดนอสูรปรีดี’

แท่นศิลาฝืนบัญญัติฟ้านับได้ว่าเป็นสมบัติสำคัญที่สุดแห่ง ‘แดนอสูรปรีดี’ มันมีบัญญัติเก้าแบบถูกจารึกไว้โดยผู้ก่อตั้งสำนัก ‘จักรพรรดิอสูรสวรรค์’

ในชีวิตก่อนหน้า ซูอี้เคยเหยียบย่างเข้าสู่แดนอสูรปรีดีพร้อมกับดาบในมือ เฝ้าดูจดจำบัญญัติทั้งเก้าที่จารึกบนแท่นศิลาฝืนบัญญัติฟ้า ท่ามกลางการจ้องมองของเหล่ามหาอสูรยักษ์ที่ไม่กล้าเอ่ยทัดทานแม้แต่เพียงครึ่งคำ

ทว่าด้วยระดับการบ่มเพาะอันต่ำเตี้ยของเขาในตอนนี้ ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงจารึกบัญญัติกลืนวิญญาณในแบบที่ปรับแต่งลดทอนอำนาจของมันลงอย่างมาก หลงเหลือแต่เพียงเจตจำนงที่เรียบง่ายที่สุดของมันไว้เท่านั้น ซึ่งส่งผลให้อำนาจของบัญญัติกลืนวิญญาณในดาบเล่มใหม่ของซูอี้นี้มีอำนาจแค่เพียงหนึ่งในหมื่นส่วนจากอำนาจของบัญญัติกลืนวิญญาณฉบับสมบูรณ์

หากซูอี้ต้องการจารึกบัญญัติกลืนวิญญาณอย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยเขาต้องมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าวิถีวิญญาณ

“พลังของดาบเล่มนี้ไม่ต่างจากศาสตราวิญญาณอันแท้จริง เพียงพอให้ข้าสำแดงอำนาจแห่งขอบเขตปรมาจารย์ขั้นหนึ่งได้อย่างเต็มที่”

หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นเวลานาน ซูอี้พยักหน้ากับตนเอง “ในเมื่อเจ้าถูกสร้างมาจากไม้ดำศักดิ์สิทธิ์และถูกจารึกบัญญัติแห่งการกลืนกิน เช่นนั้นข้าขอเรียกเจ้าว่า ‘ดาบนิลกาฬกลืนฟ้า’ แล้วกัน!”

จากนั้นซูอี้จึงหันหลังกลับและออกจากโรงหลอม

ทันทีที่ซูอี้กลับไปถึงกระโจมของตนเอง เขาก็เห็นว่าหนิงซือฮวา เชินจิ่วซงและเฉินเจิ้ง รออยู่ที่นั่นแล้ว

“คุณชายซู มีบางอย่างไม่สู้ดีเกิดขึ้น”

เฉินเจิ้งก้าวมาข้างหน้า และรีบอธิบายเนื้อความภายในจดหมายจากราชาปราการเพลิง เซี่ยโหวหลิน

หลังจากฟังเรื่องนี้ ซูอี้จึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วมองไปที่หนิงซือฮวาและกล่าวว่า “อำนาจอิทธิพลของตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงสามารถคุกคามตำหนักเทียนหยวนของเจ้าได้หรือไม่”

หนิงซือฮวารู้ดีว่าซูอี้กังวลเรื่องอะไร นางจึงเอ่ยตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อาจเกิดความปั่นป่วนได้บ้าง แต่สหายเต๋าโปรดมั่นใจได้ ตราบใดที่เหล่าผู้อาวุโสตำหนักข้ายังอยู่ที่นั่น แม่นางหลิงเสวี่ยและแม่นางฉาจิ่นย่อมปลอดภัยดี”

คิ้วที่ขมวดคิ้วของซูอี้คลายลงทันที “ดี”

“สหายเต๋า อันที่จริงเรื่องนี้ท่านคงไม่อาจวางใจได้มากนัก ข้ามั่นใจว่าขณะนี้ตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิงคงกำลังเริ่มโจมตีผู้ที่เกี่ยวข้องกับท่านทั้งหมดในทุก ๆ ทางที่เป็นไปได้”

หนิงซือฮวาขมวดคิ้ว กล่าวเตือน “ท่านมีแค่สองมือสองขา การจะปกป้องทุกคนที่รู้จักท่านทั้งหมดนั้นย่อมเป็นไปได้ยาก”

แววตาของซูอี้เปลี่ยนเป็นเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ขนาดตัวข้า ตระกูลซูยังไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่าม ดังนั้นการกระทำต่อผู้บริสุทธิ์คนอื่น ๆ คงไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงจะเท่ากับเป็นการบั่นทอนชื่อเสียงของซูหงหลี่”

หลังจากหยุดชั่วคราวเขาก็กล่าวต่อ “แต่แน่นอน หากตระกุลซูกล้าทำเช่นนั้นจริง พวกเขาจะต้องแบกรับกับราคาแห่งการกระทำของตนเอง”

คำพูดนั้นเรียบง่ายและเฉยเมย

แต่หนิงซือฮวา เชินจิ่วซง และเฉินเจิ้ง… พวกเขาสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าที่เย็นเฉียบราวเหมันตฤดูมาเยือน!!

ในวันเดียวกันโดยไม่ชักช้า ซูอี้และพรรคพวกของเขาก็ออกเดินทางออกจากค่ายกองทัพเกราะเขียวโดยขึ้นขี่นกอินทรีเกล็ดเขียวไป

แต่ทว่าคราวนี้จวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งก็เดินทางไปพร้อมกับกลุ่มของซูอี้เช่นกัน

ซูอี้สัญญาว่าจะสอนทักษะลับขัดเกลาจิตวิญญาณให้เขาและชี้แนะวิธีการดูดกลืนดวงวิญญาณที่อยู่ในร่างให้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อยากพลาดโอกาสสำคัญนี้

มหานครกุ่นโจว

แสงตะวันยามอัสดงยังคงร้อนแรง ท้องถนนและตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยผู้คน การสัญจรคับคั่งเผยให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรือง

เรือนพำนักหินศิลา

เมื่อซูอี้และพรรคพวกของเขาลงมาจากฟากฟ้าด้วยนกอินทรีตัวมหึมา พวกเขาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ริมทะเลสาบนั่งตกปลาอย่างเกียจคร้าน

ชายหนุ่มผู้นี้แต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาว มีมงกุฎสวมบนศีรษะ ใบหน้าหล่อเหลาแต่ทว่าดวงตากลับดูดุดันและเปี่ยมไปด้วยอำนาจสะกดข่มผู้คน

เมื่อคนผู้นั้นเห็นซูอี้และคนอื่น ๆ เขาก็ยิ้มก่อนลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายแล้วพูดด้วยรอยยิ้มขบขันว่า “นายน้อยสาม ในที่สุดท่านก็มาจนได้”

รูม่านตาของเชินจิ่วซงแคบลงเล็กน้อย เอ่ยทัก “จวิ้นอ๋องเทียนหย่ง ท่านมาที่นี่ทำไม?”

จวิ้นอ๋องเทียนหย่งเล่อชิง!nᴏveʟɢu.ᴄᴏᴍ

เขาคือหนึ่งในห้าจวิ้นอ๋องต่างสกุลซึ่งอยู่ภายใต้การบัญชาของตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง

เขาเป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่ยินยอมผู้ใดแต่โดยง่าย อาฆาตมาดร้ายต่อศัตรูอย่างกัดไม่ปล่อย

ทว่าสิ่งนี้ไม่สามารถปิดบังพรสวรรค์อันน่าทึ่งของเขาได้ อายุของเขาขณะนี้ไม่ได้มากนักแต่กลับอยู่ในจุดสูงสุดของปรมาจารย์ขั้นสี่แล้ว และเป็นที่รู้จักในนาม ‘ดาวรุ่ง’ ที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งยวดในทักษะการใช้มีด

เล่อชิงเหลือบมองเชินจิ่วซง แล้วกล่าวเตือนพร้อมกับยิ้ม “ท่านเชินอย่าได้ขัดจังหวะขณะที่ข้ากำลังคุยกับนายน้อยสามของข้า!”

เชินจิ่วซงขมวดคิ้ว

ซูอี้ถามอย่างเฉยเมย “ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเข้ามา?”

เล่อชิงหยิบโฉนดบ้านจากเสื้อคลุม กางออกในอากาศ ชี้ไปที่ตราประทับและชื่อบนนั้น พูดพร้อมกับรอยยิ้มว่า

“นายน้อยสาม ในตอนเย็นของเมื่อวานนี้เรือนพำนักหินศิลาแห่งนี้ถูกขายให้ข้าเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นโฉนดที่ข้าได้รับมา หากท่านไม่เชื่อจงนำไปดูได้”

ท่าทีของเขาช่างภาคภูมิใจ ราวกับได้วางแผนไว้และทุกอย่างสำเร็จผลอย่างงดงาม

หนิงซือฮวา เชินจิ่วซงและเฉินเจิ้งมองหน้ากัน ต่างตระหนักว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดี!

สีหน้าของซูอี้สงบเหมือนเช่นเคย กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้จ่ายค่าเช่าให้กับเจ้าของเรือนแห่งนี้เป็นเวลาหนึ่งปี…”

แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เล่อชิงกลับยิ้มและเอ่ยขัดขึ้นว่า “นายน้อยสามท่านกำลังหมายถึงเฉินจินหลงใช่หรือไม่?”

หลังจากพูดจบประโยคเขาปรบมือ “นำเฉินจินหลงเข้ามา!”

ในเรือนที่อยู่ไกลออกไป ชายสองคนซึ่งดูไม่ธรรมดาพาเฉินจินหลงออกมาจนถึงทะเลสาบ

พลั่ก!

เฉินจินหลงถูกโยนลงไปที่พื้น

ผมเผ้าของเขาขณะนี้ยุ่งเหยิง สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัวและวิตกกังวล เขาตะโกนด้วยเสียงสั่นเทาว่า

“อย่าฆ่าข้า! โปรดอย่าฆ่าข้าเลย! ท่านเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าถ้าหากข้าขายบ้านนี้ให้ท่าน ท่านจะไม่ฆ่าข้า!”

“สงบสติอารมณ์เสีย”

เล่อชิงนั่งยอง ๆ ก่อนจะยื่นมือไปเชยคางของเฉินจินหลงด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “ข้าถามเจ้าสักหน่อย ใครเป็นเจ้าของเรือนนี้คนปัจจุบัน?”

“ป… เป็นท่าน ท่านคือเจ้าของเรือนแห่งนี้!” เฉินจินหลงเอ่ยตอบด้วยเสียงสั่น

เล่อชิงถามอีกครั้งด้วยเสียงเบา “ถามอีกสักข้อ ข้ามีสิทธิ์ที่จะไล่คนเช่าคนก่อนออกจากเรือนพำนักหินศิลาหรือไม่?”

“แน่นอน!” เฉินจินหลงตะโกนด้วยความกลัว

เล่อชิงยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม มองที่ซูอี้ “นายน้อยสาม ท่านคงได้ยินแล้ว แม้ว่าท่านจะเช่าเรือนแห่งนี้ไปแล้ว แต่ข้าก็ยังสามารถเอามันกลับมาได้ในทุกเวลาที่ข้าต้องการ”

“แต่ข้าหาใช่คนใจดำนัก ข้าจะคืนค่าเช่าที่ท่านจ่ายไปก่อนหน้าก็แล้วกัน”

หลังจากเอ่ยจบ เล่อชิงก็หยิบเหรียญทองคำกำมือหนึ่งจากเสื้อคลุมแขน โปรยลงบนพื้นอย่างเย้ยหยัน

จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างสดใสและเอ่ยว่า “นายน้อยสาม ทองคำเหล่านี้น่าจะเกินพอที่จะชดเชยให้กับค่าเช่าของท่านจริงใช่ไหม?”

การกระทำและคำพูดนี้แสดงให้เห็นถึงการดูถูกเหยียดหยามอย่างยิ่งยวด

ในเวลานี้ เมื่อเฉินจินหลงสังเกตเห็นซูอี้ ด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัว เขาจึงรีบตะโกนร้องโหยหวนราวกับวิญญาณใกล้จะแตกสลาย

“พี่ซู! ข้าถูกบังคับ ถ้าข้าไม่ยินยอมพวกเขาจะฆ่าข้า!”

“ข้าไม่ถือสาเจ้า”

จากนั้นซูอี้ก็มองเล่อชิงและพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าจวิ้นอ๋องเช่นเจ้ามีรสนิยมชมชอบรังแกผู้คนที่อ่อนแอกว่าเช่นนี้ เจ้านี่ช่างน่าสนใจ”

เล่อชิงลูบจมูกของตัวเองและพูดอย่างระอาใจ “ช่วยไม่ได้ นี่เป็นวิธีที่ข้าจะได้พบนายน้อยสามโดยเร็วที่สุด ซึ่งก็คือการรอท่านที่กลางเรือนพำนักหินศิลา แต่ถ้าข้าไม่ซื้อมันไว้ก่อน ข้าคงจะดูเป็นเหมือนโจรซึ่งมันจะไม่ดีต่อภาพลักษณ์จวิ้นอ๋องของข้า”

เชินจิ่วซงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “จวิ้นอ๋องเทียนหย่ง ท่านคิดว่าการกระทำนี้ของท่านมันไม่น่ารังเกียจไปหน่อยหรือ?”

เล่อชิงยังยิ้มและพูดอย่างมั่นใจ “จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง เรือนนี้เป็นของข้าแล้ว ขณะนี้มันเป็นท่านไม่ใช่หรือที่น่ารังเกียจบุกเข้ามาในเรือนข้าโดยไม่ขออนุญาต?”

พูดจบก็หันกลับมามองซูอี้แล้วพูดต่อ “นายน้อยสาม ข้าคิดว่าท่านคงเดาความตั้งใจของข้าได้บ้างแล้ว เอาเป็นว่าข้าขอพูดตามตรงเลยก็แล้วกัน นายท่านคิดว่าท่านยังเยาว์วัยจึงไม่รู้ความ ไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำ ดังนั้นท่านจึงควรได้รับการสั่งสอนโดยบางคนเสียบ้างจะได้ตาสว่าง”

“แค่เจ้าน่ะหรือจะสั่งสอนข้า?” ซูอี้เอ่ยถาม

เล่อชิงยิ้มและส่ายหัว “แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่แค่ข้า นายน้อยสามคงไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านกำลังถูกทุกคนทรยศและสูญเสียการสนับสนุนทั้งหมดที่ท่านมี”

หลังจากหยุดชั่วครู่ เขาพูดด้วยแววตาหยอกล้อ “แต่ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เช้า ตราบที่นายน้อยสามไปที่จวนเจ้าแคว้น ท่านจะเข้าใจเองว่าสถานการณ์ปัจจุบันของท่านนั้นตกต่ำถึงเพียงใด บางทีด้วยวิธีนี้ นายน้อยสามจะสามารถเข้าใจความหมายของฟ้าสูงแผ่นดินได้อย่างแท้จริง”

จากนั้นเล่อชิงจึงยกมือขึ้นก่อนจะฉีกโฉนดบ้านในมือ “เรือนนี้ไม่มีค่าสำหรับข้า ข้าจึงขอยกให้นายน้อยสาม ส่วนทองคำบนพื้นนั้นหากนายน้อยสามชอบพวกมันก็จงก้มไปหยิบมันมาใช้เถิดข้าไม่ว่า”

หลังจากพูดจบ เขาหัวเราะและเดินจากไปพร้อมกับลูกน้องของตนเองอีกสองคน

“หยุด!”

เฉินเจิ้งตะโกนอย่างเย็นชา “เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปง่าย ๆ เช่นนี้งั้นหรือ!”

เล่อชิงผายมือพลางแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ “ทำไม? หรือจวิ้นอ๋องอู่หลิงต้องการต่อสู้กับข้า?”

จากนั้นเขามองกวาดไปที่ซูอี้ หนิงซือฮวา และเชินจิ่วซง แสร้งทำสีหน้าหวาดกลัวพร้อมพูดว่า

“อย่าทำข้าเลย~ ข้าเป็นแค่ตัวตนผู้ส่งสารเล็กจ้อย แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับข้า คนบางคนที่เกี่ยวข้องกับนายน้อยสามอาจจะต้องทุกข์ทรมานไม่ต่างจากข้าก็เป็นได้”

พูดจบเล่อชิงก็หัวเราะเสียงดังลั่น

หนิงซือฮวากัดฟันกรอด พยายามยับยั้งความรู้สึกอยากจะฆ่าอีกฝ่ายสุดฤทธิ์

นางไม่เคยเห็นใครน่ารังเกียจได้ขนาดนี้มาก่อน

มีเพียงซูอี้ที่ดูเฉยเมยเหมือนเช่นเคย พูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ปล่อยเขาไป เอาไว้พรุ่งนี้ที่หน้าจวนเจ้าแคว้น ข้าจะให้เขาได้ซาบซึ้งกับคำพูดของตนเองอย่างแช่มชัด”

“ฮ่า ๆ แน่นอน ๆ นายน้อยสาม ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอว่าพรุ่งนี้ท่านจะทำให้ข้าซาบซึ้งมากขนาดไหนก็แล้วกัน”

เล่อชิงหัวเราะและโบกมือ “ข้าขอตัวลาล่ะ อ้อ ทุกท่านไม่จำเป็นต้องออกไปส่งเล่อผู้นี้หรอกนะ~”

จากนั้นเขาเดินออกไป

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset