📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 231

บทที่ 231 - ล้มล้างความเข้าใจ
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

ซูอี้ยิ้มและกล่าวคำออก “ข้าไม่ใช่มหาเทพผู้สร้าง ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”

หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็พูดต่อ “แต่กระนั้น เมื่อสังเกตจากปรากฏการณ์เมื่อครู่นี้ สิ่งที่ถูกผนึกไว้ไม่ว่ามันจะเป็นสมบัติหรือสิ่งมีชีวิต มันย่อมไม่ใช่สิ่งธรรมดาอย่างแน่แท้”

ดวงตาของหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงเปล่งประกาย

หากเป็นสมบัติล้ำค่า มันย่อมเลิศล้ำจนไม่อาจคาดเดาได้

แต่ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิต มันคงเป็นหายนะที่คาดเดาไม่ได้เช่นเดียวกัน!

ครืน!

ท้องฟ้าสั่นสะเทือน เกิดเสียงฟ้าคำรณดังก้องต่อเนื่องเป็นเวลานาน

แต่ทันใดนั้นมีเสียงหวีดหวิวแหลมคมดังรุนแรงมาจากในระยะไกล และกลุ่มเมฆสีแดงที่ปกคลุมท้องฟ้ากลับม้วนตัวอย่างน่าแปลกประหลาดราวกับถูกบางสิ่งพาดผ่านอย่างรวดเร็ว…

สิ่งนั้นกำลังก็พุ่งมาทางกลุ่มของซูอี้อย่างรวดเร็ว!

ยามเมื่อแลมองอย่างถี่ถ้วน ทั้งกลุ่มซูอี้ต่างเห็นว่าสิ่งที่กำลังใกล้เข้ามาคือฝูงนกดุร้ายสีเลือดหลายร้อยตัว พวกมันแต่ละตัวมีปีกที่ยาวเกือบสิบฉื่อ ดวงตาเรืองแสงราวกับคบเพลิง และกรงเล็บของพวกมันแวววับเป็นสีทองดูสะดุดตายิ่ง

หัวของมันน่าเกลียดเหมือนผีที่ชั่วช้า ส่วนใบหน้าและจะงอยปากเป็นสีฟ้าตัดกับสีแดงบนร่างอย่างพิสดาร อีกทั้งเสียงกรีดร้องของพวกมันนั้นรุนแรงและไม่เสนาะหูราวกับพิณที่สายหย่อน

เหยี่ยวโลหิต!

รูม่านตาของหนิงซือฮวาหรี่ลง

พวกมันคือนกที่ดุร้ายเป็นสัตว์อสูรระดับเจ็ด พวกมันสามารถปล่อยเปลวเพลิงได้อย่างอิสระ และบินไปในอากาศได้อย่างรวดเร็ว ความแข็งแกร่งของพวกมันแต่ละตัวพอจะคุกคามปรมาจารย์ขั้นหนึ่งได้อย่างง่ายดาย

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้คือพวกมันไม่ได้มาเพียงหนึ่งแต่มานับร้อย ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้มันแทบไม่ต่างกับการที่พวกเขากำลังถูกโจมตีโดยกองทัพอันมีแต่เหล่าปรมาจารย์วิถียุทธ์ที่บินได้อย่างอิสระบนท้องฟ้า!

“หนี!”

หนังศีรษะของเชินจิ่วซงชา ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

การถูกรุมโดยเหยี่ยวโลหิตนับร้อยเช่นนี้แม้เขาจะเป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์ขั้นห้า หากเขาไม่ตายก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัส!

แต่ทว่าในเวลานี้ซูอี้กลับหัวเราะ เพราะในที่สุดเขาก็ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่คู่ควร เรื่องเช่นนี้จะทำให้เขาไม่มีความสุขได้อย่างไร?

ซูอี้ยืดเส้นยืดสายไปมาก่อนจะกล่าวออกอย่างเบิกบาน “ข้าจัดการเดรัจฉานเหล่านี้เอง หลังจากนี้พวกท่านแค่ช่วยข้าเก็บจะงอยปากอันแหลมคมของพวกมันยามจบศึกก็พอ”

หลังจากสิ้นประโยคพูด ร่างของเขาก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที

ชิ้ง!

ซูอี้กระโดดขึ้นไปบนยอดเขาที่สูงที่สุดในสายตา และด้วยเสียงกังวานกึกก้อง ดาบบงการฟ้าดินพลันอยู่ในมือขวาของเขาแล้ว ทั้งร่างยืนตระหง่านไม่หวั่นไหวราวกับเทพเซียน คนและดาบเป็นหนึ่งเดียว อหังการและหยิ่งทะนง โลกหล้านี้มีผู้ใดกล้าต่อกร?

หนิงซือฮวาตกตะลึงกับท่าทีอันกร้าวแกร่งของซูอี้

“นี่…”

หัวใจของเชินจิ่วซงบีบรัด ซูอี้ต้องการสังหารเหยี่ยวโลหิตนับร้อยด้วยตนเอง!

ไม่เพียงแต่ซูอี้จะไม่เกรงกลัว แต่ยังดูมีความสุขล้นอีกต่างหาก!

“สหายเต๋าซูหาใช่คนธรรมดาไม่ ดังนั้นแล้วการกระทำของเขาย่อมไม่ธรรมดา พวกเราควรรอดูกันต่อไป” หนิงซือฮวากระซิบ

ตูม ตูม ตูม!

ฝูงเหยี่ยวโลหิตหน้าผีที่ปกคลุมท้องฟ้าคำรามลั่น ปีกของพวกมันลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงราวกับว่ากำลังมอดไหม้ พวกมันปล่อยคลื่นไฟแผดเผาออกจากจะงอยปาก

ไม่ว่าพวกมันบินพาดผ่านไปที่ใด หินและต้นไม้ต่างมอดไหม้หลอมเหลวกลายเป็นเถ้าถ่าน ภาพเช่นนี้ทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องหวาดกลัว

ชิ้ง!

ในขณะเดียวกัน เสียงดาบใสดังก้องดังไปทั่วฟ้าดิน

ซูอี้ซึ่งยืนอยู่บนยอดเขา แขนเสื้อของเขาโบกสะบัดตามท่าร่าง ดาบบงการฟ้าดินฟาดฟันขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับท้าทายสวรรค์

ทันใดนั้น พลังดาบสีน้ำเงินอันเสมือนดาบยาวสิบจั้งกวาดออกไปทั่วทั้งท้องฟ้า

ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!

ในทันที ฝูงเหยี่ยวโลหิตถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ทุกตัวซึ่งถูกพลังดาบพาดผ่านถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับเศษกระดาษ

เลือดและเศษเนื้อหล่นลงปกคลุมพื้นดินย้อมโลกหล้าจนกลายเป็นสีแดง

ด้วยการฟาดฟันดาบเพียงครั้งเดียว ซูอี้สะบั้นชีวิตเหยี่ยวโลหิตไปมากกว่ายี่สิบตัว ซึ่งแต่ละตัวเทียบได้กับปรมาจารย์ขั้นหนึ่ง!

แต่ด้วยดาบนี้ กองทัพของเหยี่ยวโลหิตหน้าผีจึงเดือดดาลเต็มที นกที่ดุร้ายเหล่านี้ไม่กลัวความตาย พวกมันส่งเสียงกรีดร้องเสียดแทงแก้วหูและตีปีกอย่างบ้าคลั่ง

ตูม!

เมื่อมองจากระยะไกล ฝูงเหยี่ยวโลหิตหลายร้อยตัวกรูกันเข้าหาซูอี้บนยอดเขาราวกับพายุเพลิงที่ปกคลุมท้องฟ้า

ฉากนี้ทำให้เชินจิ่วซงเหงื่อตกและหัวใจของเขาแทบกระดอนออกจากอก

หนิงซือฮวาขมวดคิ้ว กำง้าวจันทร์แรมเพลิงครามในมือของนางแน่นโดยตั้งใจจะช่วยซูอี้เมื่อจำเป็น

แต่ในเวลานี้ ซูอี้ซึ่งยืนอยู่บนยอดเขายังคงสีหน้าอันเย่อหยิ่งและไร้แยแส

ทันใดนั้น ดาบบงการฟ้าดินฟาดฟันต่อเนื่องออกอีกหลายครั้ง ปราณวิญญาณในร่างกายของซูอี้โคจรไปยังดาบ และจากดาบธรรมดาพลันควบแน่นเป็นดาบยาวหลายสิบจั้งก่อนจะฟาดฟันออกไปอย่างน่าตื่นตะลึง

บางดาบราวกับคลื่นสมุทรถาโถมประหนึ่งกลืนกินโลก

บางดาบราวกับสะบั้นภูผาแยกปฐพีออกเป็นสอง

บางดาบพร่างพราวราวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์nᴏᴠᴇʟɢu.cᴏm

บางดาบราวกับห่าฝน ปกคลุมไปทั่วทั้งสิบทิศไร้เทียมทานไม่อาจหลุดรอด

พลังของแต่ละดาบแฝงด้วยเอกลักษณ์อันเลิศล้ำซึ่งเพียงพอที่จะเขย่าโลกหล้า พลังของดาบนั้นลึกล้ำและอัศจรรย์จนไม่อาจอธิบาย

นี่คือความลึกลับของเพลงดาบสุดปรีดี!

ฝูงเหยี่ยวโลหิตหน้าผีถูกบั่นหัว ปีก ขา หางขณะโบยบิน พวกมันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนไร้สิ้นสุด

โลหิตไหลนอง

เมื่อเห็นฉากนี้เชินจิ่วซงตื่นตระหนกและตัวสั่น

ที่งานเลี้ยงน้ำชา ซูอี้ได้แสดงความแข็งแกร่งเป็นที่ประจักษ์แล้วกับการสังหารฉินฉางซานผู้ซึ่งเป็นปรมาจารย์ขั้นห้า

แต่ในเวลานี้ ซูอี้แตกต่างไปจากตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง

เขาเป็นเหมือนเซียนอมตะผู้ไร้เทียมทานและโหดเหี้ยม สีหน้าเรียบเฉยไม่ไหวติงราวกับเหยียดหยามต่อทุกสรรพสิ่งในโลกหล้า

“นี่…”

เชินจิ่วซงอ้าปากค้าง นี่คือพลังที่แท้จริงของซูอี้งั้นหรือ?

หนิงซือฮวาก็ตกตะลึงเช่นกัน

นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นกระบวนท่าอันละลานตาของซูอี้

ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!

บนยอดเขาซูอี้ใช้พลังทั้งหมดและเคล็ดวิชาดาบจนถึงขีดสุด

แค่ครู่เดียวเท่านั้น

ฝูงเหยี่ยวโลหิตหลายร้อยซึ่งราวกับพายุเพลิงในตอนแรกขณะนี้ถูกบดขยี้จนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยดาบอันไร้เทียมทาน

ศพของพวกมันร่วงหล่นลงพื้นดินดังสนั่นหวั่นไหวไม่ขาดสายกองท่วมสูงประหนึ่งเนินเขาลูกย่อม ๆ โลหิตและเศษเนื้อปนรวมกันจนคล้ายทะเลสาปโลหิต

ในท้ายที่สุด เหลือเพียงเหยี่ยวโลหิตอีกเพียงหลายสิบตัวที่โชคดี พวกมันหนีด้วยความตื่นตระหนก กรีดร้องโหยหวนและหวาดกลัว

สิ่งนี้ทำให้ทั้งหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซง ตกตะลึงจนตาโปน ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาเหล่าสัตว์อสูรนั้นคลั่งจนไร้สติไม่กลัวตายหรอกหรือ แล้วเหตุใดคราวนี้พวกมันถึงถอยกลับอย่างหวาดกลัว?

บนยอดเขาซูอี้ตะลึงครู่หนึ่ง ความตั้งใจอันร้อนแรงในดวงตาของเขาค่อย ๆ จางลงทีละน้อย ฟื้นคืนความชัดเจน และพลังที่ควบคุมไม่ได้ในร่างกายของเขาก็ค่อย ๆ สงบลง ก่อนจะหายไป หลงเหลือไว้แต่ความผิดหวังอยู่ในใจเพราะผลลัพธ์ยังไม่น่าพึงพอใจ

สัตว์อสูรพวกนี้… ยังคงอ่อนแอไป…

ฟู่…

ซูอี้หายใจออกยาวก่อนจะเหลือบมองไปที่ซากศพเหยี่ยวโลหิตที่กองอยู่บริเวณใกล้เคียงจากนั้นโดยไร้ซึ่งความลังเล เขาเริ่มนั่งสมาธิ …

แม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะกินเวลาเพียงชั่วครู่ แต่มันกลับกินปราณในร่างของเขาไปมากยิ่ง

หนิงซือฮวาเพ่งมองไปที่ซูอี้ซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิและพูดกับเชินจิ่วซงที่อยู่ข้าง ๆ นางว่า “พวกเราช่วยกันไปเก็บจะงอยปากของเหล่าเหยี่ยวโลหิตกันก่อนก็แล้วกัน”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้เชินจิ่วซงจึงฟื้นคืนสติเหมือนตื่นจากความฝัน รีบเร่งติดตามหนิงซือฮวาไปอย่างรวดเร็ว

แต่กระนั้นในใจยังไม่อาจสงบลง

ฝูงเหยี่ยวโลหิตจำนวนหลายร้อยพ่ายแพ้ต่อซูอี้เพียงผู้เดียว สิ่งนี้ล้มล้างความรู้ความเข้าใจของเขาโดยสิ้นเชิง

ท้ายที่สุด ใครจะคิดว่าชายหนุ่มในขอบเขตรวบรวมลมปราณจะสามารถใช้ดาบได้อย่างน่าสะพรึงกลัวและไม่น่าเชื่อเช่นนี้?

“เจ้าตำหนักหนิง ข้ารู้สึกว่าคุณชายน่าจะเป็นเทพเซียนอมตะผู้ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ เขาไม่เหมือนคนของโลกเราเลยแม้แต่น้อย”

ขณะที่รวบรวมจะงอยปากอันแหลมคมของเหยี่ยวโลหิต เชินจิ่วซงก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยเสียงต่ำ

หนิงซือฮวาตะลึงครู่หนึ่ง ดวงตาของนางสั่นไหวก่อนจะเอ่ยถามกลับ “ท่านคิดว่ามีเทพเซียนอมตะอยู่บนท้องฟ้าจริงงั้นหรือ?”

เชินจิ่วซงยิ้มอย่างบิดเบี้ยวและส่ายหัว “ใครจะรู้”

“ทุกคนมีความลับของตนเอง และโลกหล้านี้ยิ่งใหญ่จนมีความลับมากมายนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่”

หนิงซือฮวากล่าว “เมื่อใดที่ก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิด ท่านจะเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘เทพเซียนเดินดิน’ เป็นเพียงตัวตนไม่ได้สลักสำคัญนักในโลกนี้ ในสายตาของผู้บ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ขั้นวิถีต้นกำเนิดไม่มีอะไรมากไปกว่าก้าวแรกเพื่ออยู่เหนือคนธรรมดา”

เชินจิ่วซงเงียบลง

แม้ว่าเขาจะได้อยู่ร่วมกับซูอี้และหนิงซือฮวาไม่นานนัก แต่ความแข็งแกร่งและความเข้าใจในการวิถีแห่งการบ่มเพาะที่ทั้งสองคนนี้แสดงให้เขาเห็นนั้นมันช่างลึกล้ำเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจครั้งแล้วครั้งเล่าและล้มล้างจินตนาการของเขาเอง

ตอนนี้เองที่เขาตระหนักว่าแม้ว่าเขาจะเป็นผู้มีอิทธิพลอำนาจมากในทางโลก แต่ในด้านเส้นทางการบ่มเพาะตัวเขานั้นช่างตื้นเขินจนน่าละอาย!

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เชินจิ่วซงก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ภายในของเขาได้และถามด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้าตำหนักหนิง ท่านคิดว่าเชินผู้นี้มีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้บ่มเพาะที่แท้จริงในชีวิตนี้ได้หรือไม่?”

หนิงซือฮวาตะลึงครู่หนึ่งและตอบอย่างแฝงความนัยว่า “มันขึ้นอยู่กับท่าน หากท่านทุ่มเทอย่างหนักหนาท่านอาจมีความหวังอยู่กะจ้อยร่อย แต่ถ้ามีใครบางคนเต็มใจยื่นมือให้ท่าน แค่ก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิดย่อมไม่เป็นปัญหาเลย”

หัวใจของเชินจิ่วซงเต้นระส่ำ สายตาของเขามองไปยังร่างของชายหนุ่มผู้ซึ่งนั่งอยู่บนยอดเขาโดยไม่รู้ตัว

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาโค้งคำนับให้หนิงซือฮวาและกล่าวว่า “ขอบคุณท่านเจ้าตำหนักหนิงยิ่งนักสำหรับคำชี้แนะของท่าน เชินผู้นี้เข้าใจแล้ว!”

หนิงซือฮวาไม่พูดอะไรอีก คำพูดเพียงเท่านี้มันเพียงพอแล้วที่จะชี้ให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่ทว่าทุกสิ่งจะเป็นไปได้หรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับซูอี้ด้วย

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม

จากกองซากศพ ทั้งสองเก็บจะงอยปากเหยี่ยวโลหิตที่ยังไม่บุบสลายได้มากกว่าห้าร้อยชิ้น

นี่เป็นวัตถุวิญญาณระดับสามอันหายาก มันสามารถบดเป็นผงและใช้เป็นส่วนผสมของยา หรือยังสามารถนำมาเป็นส่วนประกอบในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับศาสตราวิญญาณก็ได้เช่นกัน

ในต้าโจวเพียงแค่จะงอยปากอันเดียวก็สามารถแลกเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณระดับสามได้อย่างน้อยหนึ่งร้อยก้อน!

ภูเขาในระยะไกล

ซูอี้นั่งสมาธิอย่างเงียบงัน โดยมีร่องรอยของเต๋ากังหมุนวนทั่วร่างกายของเขาราวกับม่านเกราะ

เมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงก็ทำได้เพียงรอต่อไป

ผ่านไปอีกเกือบครึ่งชั่วยาม

ก่อนที่ซูอี้จะตื่นจากการทำสมาธิ ทันใดนั้นก็มีเสียงทะลุผ่านท้องฟ้ามาแต่ไกล!

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset