โถงยอดอ่อนบุปผา
เมื่อซูอี้มาถึง ที่นี่มีเพียงท่านหญิงเหวินนั่งอยู่โดยลำพัง
นางมีเส้นผมสีเทา แม้ว่าอายุจะถึงแปดสิบแล้ว ทว่าใบหน้ายังคงดูแจ่มแจ้ง เพียงแค่นั่งอยู่เฉย ๆ ก็มากพอที่จะแผ่ซึ่งความน่านับถืออันยิ่งยวดของนาง
“นายน้อยสาม ที่นี่ไม่มีผู้ใดเว้นท่านและข้า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องโค้งศีรษะให้ยายเฒ่าชราผู้นี้”
นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินชี้ไปยังที่นั่งฝั่งหนึ่งของโถง คำกล่าวออกเย็นเยือก “นั่งก่อน”
นายน้อยสาม!
คำเรียกหานี้ เป็นผลให้ดวงตาซูอี้ราวตกอยู่ในภวังค์
ในชีวิตนี้ เขาคือบุตรของภรรยาลำดับสามในตระกูลซูแห่งเมืองอวี้จิง เขามีพี่ชายคนหนึ่ง พี่สาวคนหนึ่ง และน้องชายอีกคนหนึ่ง
แต่เพราะเป็นบุตรอนุภรรยา อีกทั้งเยี่ยอวี่เฟยที่เป็นมารดายังเสียชีวิตไปแต่เขายังเยาว์วัย ตัวเขาในวัยเด็กจึงถูกทอดทิ้ง สถานะจึงไม่ได้ดีไปกว่าพ่อบ้านตระกูลซูด้วยซ้ำ
“เจ้าอยากพบข้าด้วยเรื่องใด?”
ซูอี้เอ่ยถามอย่างราบเรียบ ก่อนจะนั่งลงด้วยท่าทีอันผ่อนคลาย
ทั้งตระกูลซู มีเพียงเขาที่ทราบ ครั้งนายหญิงเฒ่าตระกูลเหวิน เหลียงเวินปี้ยังเยาว์ นางเคยเป็นหญิงรับใช้ประจำตระกูลซูที่เมืองอวี้จิง คอยรับใช้ดูแลซูหงหลี่ ผู้นำตระกูลซูมาทั้งสิ้นสามสิบปี
ซูหงหลี่ คือบิดาของซูอี้ในชีวิตนี้!
“ว่าอะไร?”
สายตาเหลียงเวินปี้เย็นเยือก เอ่ยคำขึ้น “เรื่องราวทั้งหมดในงานเลี้ยงวันเกิดเมื่อครู่ นายน้อยสามลืมเลือนหมดแล้วงั้นหรือ?”
“ผู้อื่นอาจคิดว่าฟู่ซาน เนี่ยเป่ยหู่ และหวงอวิ๋นชงมาที่นี่เพราะหลิงเจา แต่ไม่ใช่กับข้า!”
“ตอนนี้ ข้าต้องการสอบถามต่อนายน้อยสาม ว่ามีเรื่องราวใดคิดอธิบายแก่ข้าหรือไม่?” นางกล่าวถามในเชิงรุกไล่ ทั้งยังเสียงดัง!
หากเป็นซูอี้ในอดีต คงหวาดเกรงจากแรงกดดันของหญิงชราผู้นี้ไปแล้ว
ทว่าตอนนี้ เขามีหรือจะถูกสตรีเฒ่าชราผู้นี้ข่มได้?
อย่างไรก็ตาม ซูอี้มีเรื่องราวคิดสอบถามเหลียงเวินปี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ถือสาท่าทีคุกคามของอีกฝ่าย และกล่าวออกด้วยอาการสงบ
“หากข้าคาดเดาถูก พวกเขามาที่นี่ครั้งนี้ก็เพราะเห็นแก่หน้าข้า”
ปัง!
เหลียงเวินปี้เห็นชัดว่ามีโทสะ นางใช้ฝ่ามือตบพนักพิงเก้าอี้ ใบหน้าอันเฒ่าชรามืดหม่นและชวนสะพรึง ถ้อยคำกล่าวอย่างชัดเจน
“นายน้อยสาม ยังจดจำสิ่งที่บิดาท่านขอให้ข้าบอกต่อท่าน เมื่อครั้งเข้าร่วมตระกูลเหวินเมื่อปีก่อนได้หรือไม่?”
โดยไม่ต้องรอให้ซูอี้พูดกล่าว เหลียงเวินปี้เอ่ยคำชัดถ้อยชัดคำ “หากท่านกล้ากระทำการใดภายใต้นามตระกูลซู ท่านจะถูกลงทัณฑ์!”
“หากกล้าเหยียบย่างสู่เมืองอวี้จิง ท่านก็จะถูกลงทัณฑ์!”
บรรยากาศฉับพลันกลายเป็นรุกไล่รุนแรงยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าซูอี้รู้ดี เหลียงเวินปี้ไม่ได้คิดถ้อยคำโหดเหี้ยมเหล่านี้ขึ้นมาเอง แต่เป็นซูหงหลี่ ผู้เป็นบิดาแท้ ๆ ของซูอี้!
“เจ้าคิดว่าข้าใช้นามนายน้อยสามแห่งตระกูลซู เพื่อทำให้ฟู่ซานและผู้อื่นมางานเลี้ยงวันนี้งั้นหรือ?” ซูอี้อดไม่ได้ที่จะหัวร่อ
นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินขมวดคิ้ว สีหน้ายิ่งเย็นเยือก “ไม่ใช่หรือไร?”
“ใช่หรือไม่ เจ้าลองไปสอบถามฟู่ซานและผู้อื่นดูเอา ด้วยอำนาจที่เจ้ามีตอนนี้ คงไม่ยากหากคิดสืบสอบเรื่องราวเพียงแค่นี้กระมัง?”
ซูอี้กล่าวตอบเรียบเฉย “แต่สิ่งที่ข้าสามารถบอกได้ตอนนี้ ตัวข้าซูอี้ หาได้กระทำการใดภายใต้นามตระกูลซู และภายหน้าในอนาคต… ข้าก็จะไม่มีทางทำเช่นกัน!”
ระหว่างพูดประโยคสุดท้าย แววตาของซูอี้เขาเผยความเฉยชา ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน เหตุใดต้องพึ่งพิงอ้างนามตระกูลต่ำต้อย?
นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งอดไม่ได้ที่จะต้องมองซูอี้อีกครั้ง มันจึงเกิดเป็นความรู้สึกอันยากบรรยายและไม่คุ้นเคยขึ้นในใจนาง
มันราวกับนายน้อยสามที่นางคุ้นเคยได้แปรเปลี่ยนเป็นผู้อื่นไปอย่างกะทันหัน
ความเงียบคงอยู่ชั่วขณะ
นางค่อยเอ่ยคำขึ้น “ข้าจะสืบทราบ และขุดคุ้ยเรื่องราวนี้แน่!”
ซูอี้ยิ้มรับโดยไม่กล่าวคำอธิบายใด
“แม้ข้าไม่ทราบว่าเหตุใดฟู่ซาน เนี่ยเป่ยหู่ และผู้อื่นให้ค่านายน้อยสามเอาไว้สูงล้ำ แต่ขอกล่าว ณ ที่นี้ ต่อหน้าตระกูลซูแห่งเมืองอวี้จิง ตัวตนเช่นฟู่ซานเปรียบได้แค่มดตัวน้อยบนผืนนา เพียงเอ่ยคำไม่กี่คำ ก็ตายอย่างไร้ที่กลบฝังแล้ว!”
นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินเผยท่าทีเย็นชา แต่ยามที่นางเอ่ยถ้อยคำถึงตระกูลซูแห่งเมืองอวี้จิง น้ำเสียงนั้นเจือซึ่งความภาคภูมิ
“ด้วยเหตุนี้ ข้าแนะนำให้ท่านอยู่โดยสงบ หากไม่แล้ว ผู้คนที่เกี่ยวข้องจะเจ็บปวดก็เพราะท่าน!”
ซูอี้นึกย้อนถึงสถานการณ์ของตระกูลซูที่เมืองอวี้จิง และเขาก็ยอมรับ ว่าคำกล่าวของนายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินนี้ไม่ได้เกินเลย
เมืองอวี้จิง คือเมืองหลวงแห่งมหาอาณาจักรโจว
สี่ตระกูลขุนนางที่มีอิทธิพลมากที่สุดในอาณาจักรโจว ตระกูลซูคืออันดับหนึ่ง!
หากเปรียบเทียบ เมืองกว่างหลิงเป็นเพียงหนึ่งในสิบเก้าเมืองของเขตปกครองอวิ๋นเหอ ตัวตนเช่นฟู่ซาน เนี่ยเป่ยหู่ ล้วนไม่คู่ควรให้ตระกูลซูแลมองด้วยซ้ำ
มันแตกต่างราวสวรรค์และชั้นดิน!
โชคร้าย นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินไม่ทราบว่าซูอี้ไม่จำเป็นต้องหยิบยืมพลังอำนาจผู้อื่นเพื่อไต่เต้าไปสู่จุดยอดสุดแม้แต่น้อย!
“เป็นอย่างที่เจ้าว่า หากเปรียบเทียบกันแล้ว… ฟู่ซานนั้นด้อยกว่าตระกูลซูอย่างเทียบไม่ได้ แต่งานเลี้ยงวันเกิดนี้ เจ้ากลับต้องการพึ่งพาฟู่ซานเพื่อเชิดหน้าชูตาตระกูลเหวิน”
ซูอี้กล่าวคำราบเรียบ “หญิงเฒ่า ดูคล้ายว่าเจ้าตอนนี้เองก็ลำบากในการขอความช่วยเหลือจากตระกูลซูแห่งเมืองอวี้จิงใช่หรือไม่?”
ถ้อยคำนี้ทิ่มแทงใจเหลียงเวินปี้ ใบหน้านั้นถึงขั้นกลับกลายเป็นอัปลักษณ์
เมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายเช่นนี้ ซูอี้จึงไม่กล่าวคำใดต่อ
หญิงชราผู้นี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็เคยเป็นเพียงแค่หญิงรับใช้ตระกูลซู
นอกจากนี้แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านพ้น นางหาได้รับใช้ตระกูลซูแต่อย่างใด ดังนั้นตระกูลซูมีหรือจะนึกถึงหญิงรับใช้เช่นนาง?
หลังจากสูดลมหายใจลึก นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินแค่นเสียง “ไม่นึกเลย ว่าเพียงเข้าร่วมตระกูลเหวินของข้าได้หนึ่งปี นายน้อยสามจะฝีปากเก่งกล้าขึ้นมากนัก!”
ซูอี้ตระหนักทราบถึงโทสะในถ้อยคำ แต่เขาหัวเราะอย่างไม่คิดใส่ใจ “หญิงเฒ่า ผู้คนล้วนแปรเปลี่ยน ครั้งนี้ ถึงคราวข้าถามเจ้าบ้างแล้ว”
นายหญิงเฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกี่ยวข้องกับตระกูลซูงั้นหรือ?”
ซูอี้พยักหน้ารับ “ถูกต้อง ข้าอยากรู้ว่าเป็นความคิดผู้ใดที่ให้ข้าเข้าร่วมกับตระกูลเหวินของเจ้าเช่นนี้?”
นายหญิงเฒ่าเงียบไปครู่ก่อนจะกล่าวตอบ “เป็นคำแนะนำโดยนายหญิงเล็ก และตัดสินใจโดยบิดาท่าน”
“โหยวชิงจือ?”
ดวงตาซูอี้ทอประกายเย็นเยือก
‘นายหญิงเล็ก’ จากปากคำของนายหญิงเฒ่าตระกูลเหวิน คือภรรยาคนที่สี่ของบิดาเขาซูหงหลี่ นามว่าโหยวชิงจือ
“ถูกต้อง” นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินพยักหน้ารับ นางไม่ประหลาดใจที่ซูอี้เพียงเรียกอีกฝ่ายแต่นาม
ที่ตระกูลซูในครั้งนั้น ผู้คนต่างทราบว่านายหญิงเล็กโหยวชิงจือเหยียดหยามซูอี้ผู้เป็นบุตรจากฮูหยินสามมากเพียงใด!
“ด้วยตัวตนเช่นนาง เหตุใดจึงไม่สังหารข้ายามได้ทราบเรื่องที่ข้าสูญเสียระดับการบ่มเพาะ? นางเองก็ทราบดีว่า ข้าเกลียดชังนางจากก้นบึ้งหัวใจ แต่กลับไม่สังหารข้าผู้เป็นตัวอันตราย” ซูอี้เกิดสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจแรง สายตามองซูอี้อย่างนึกเวทนา “นายน้อยสาม ครั้งตอนมารดาท่านตกตาย บิดาท่านก็มองเหมือนท่านเป็นบุตรชายไม่ได้ความและไม่เคยให้ความสนใจ และยิ่งไปกว่านั้น ต่อมาท่านสูญเสียระดับการบ่มเพาะกลายเป็นไม่ต่างอะไรกับผู้พิการ ด้วยสถานการณ์ของตัวท่านเช่นนั้น ท่านยังคิดอีกหรือว่านายหญิงเล็กจะยังให้ค่าท่านเป็น ‘อันตรายซ่อนเร้น’ อีกงั้นหรือ?”
หลังเงียบงันไปครู่ นางจึงกล่าวคำต่อ “อันที่จริง สาเหตุที่สำคัญที่สุดซึ่งทำให้ท่านยังคงมีชีวิตอยู่ เป็นเพราะสายเลือดตระกูลซูยังไหลเวียนในกายท่าน หากนายหญิงเล็กสังหาร นั่นจะกลายเป็นกระตุ้นความไม่พอใจต่อบิดาท่าน อาจถึงขั้นการปฏิเสธหย่าร้าง มันจึงไม่คุ้มค่า ที่คนฉลาดยอดเยี่ยมเช่นนายหญิงเล็ก จะยอมก่อการอันโง่เขลาขึ้นมา”
ซูอี้เงียบงันไปครู่หนึ่ง
เมื่อคิดพิเคราะห์ดูแล้ว โชคชะตาบุตรอนุภรรยาเช่นตัวเขาในตระกูลซูช่างเลวร้ายจริง
ครั้งอายุได้สี่ขวบปี เยี่ยอวี่เฟยมารดาของเขาก็ล้มป่วยและตายจากไป
นับตั้งแต่นั้น สถานการณ์ของตัวเขาก็มีแต่ยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ
ซูหงหลี่ผู้เป็นบิดา ทำตัวเหินห่างคล้ายไม่ชื่นชอบเขาแม้เพียงนิด แม้กระทั่งทั้งตระกูลซูก็หาได้มีผู้ใดอยากเข้าใกล้ตัวเขา เพียงทิ้งไว้ด้วยความเย็นชา
แต่แล้วเมื่อเติบโตขึ้น และรู้ความมากขึ้น เขาจึงตระหนักรู้ได้ว่าเยี่ยอวี่เฟยผู้เป็นมารดาถูกสังหารโดยซูหงหลี่ผู้เป็นบิดา!
เรื่องนี้ทำใจเขาทั้งเจ็บปวดและคับแค้น
จากนั้นสี่ปีต่อมา เขาจึงตัดสินใจเลือกเดินทางไปฝึกฝนยังสำนักดาบชิงเหอ พยายามทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น ก้าวเดินบนหนทางแห่งวิถียุทธ์
แต่แล้วหลังจากบ่มเพาะได้เพียงสามปี เพราะการตื่นของความทรงจำในชาติภพก่อน ระดับการบ่มเพาะของเขาจึงเลือนหายโดยสมบูรณ์ จนสุดท้าย ภายใต้การจัดแจงของตระกูลซู เขาจึงได้เป็นบุตรเขยตระกูลเหวิน
“ตั้งแต่เกิดมาสิบเจ็ดปีในชีวิตนี้ ชีวิตของข้าออกจะลำบากเกินไปจริง ๆ” ซูอี้ถอนหายใจกับตนเอง
ความทรงจำเก่านึกย้อน ทำให้ได้ทราบว่าครั้งหนึ่งตนเกลียดชังซูหงหลี่ผู้เป็นบิดา รวมถึงโหยวชิงจือผู้เป็นนายหญิงเล็ก กระทั่งจดจำไว้ฝังใจ
“บัญชีแค้นที่ผ่านมา ตัวข้าตอนนี้ย่อมสะสางมันได้แน่นอน” สายตาของซูอี้กลับคืนความสงบอีกครั้ง
“อันที่จริง ข้าได้ยินมาว่าเกิดเรื่องราวใหญ่โตที่เมืองอวี้จิงเมื่อไม่นานมานี้”
นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินพลันอ้าปาก เผยสายตาราวกับนึกสนุก “ซูป๋ออิ๋นที่เป็นน้องชายท่าน แม้อายุเพียงสิบหก แต่ขณะนี้ได้เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตที่สองของวิถียุทธ์ ขอบเขตรวบรวมลมปราณ แถมยังสำเร็จไปถึงขั้นปลายแล้ว ทั้งยังเป็นหนึ่งในแปดหนุ่มรูปงามแห่งเมืองอวี้จิงอีกด้วย”
“ราชวงศ์ต้าโจวรับปากเอาไว้ ตราบเท่าที่น้องชายท่านเข้าสู่ขอบเขตที่สามของวิถียุทธ์ ขอบเขตหลอมกำเนิดได้ก่อนอายุสิบแปดปี เขาจะถูกส่งตัวไปฝึกฝนที่แดนศักดิ์สิทธิ์ที่หนึ่งแห่งต้าโจว ‘สำนักดาบมังกรเร้น’!”
ซูอี้ชะงัก บุรุษหนุ่มหล่อเหลาในชุดหยกปรากฏขึ้นในใจเขา
ซูป๋ออิ๋น บุตรชายของนายหญิงเล็กโหยวชิงจือ บุตรชายคนเล็กสุดของซูหงหลี่ ทั้งยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางวิถียุทธ์อัจฉริยะที่สุดในบรรดาทายาทสายตรงแห่งตระกูลซู!
แม้ว่าโหยวชิงจือจะเป็นภรรยาคนที่สี่ของซูหงหลี่ แต่ผู้คนทั่วไปต่างรู้ดีว่านางมีสถานะเหนือกว่าภรรยาอันดับหนึ่งซะอีก ดังนั้นซูป๋ออิ๋นจึงได้เป็นทายาทสายตรง
หากเปรียบเทียบ เยี่ยอวี่เฟยผู้เป็นมารดาซูอี้ก็เพียงอนุภรรยา ดังนั้นซูอี้จึงเป็นบุตรอนุภรรยาตามไปด้วย
โดยคร่าว ๆ ย้อนกลับไปครั้งตระกูลซู ไม่ว่าเรื่องราวใด แม้ซูอี้จะเป็นพี่ชาย แต่กลับไม่เคยเทียบเปรียบได้กับซูป๋ออิ๋นแม้แต่น้อย
“ขอบเขตหลอมกำเนิดก่อนอายุสิบแปดปีงั้นหรือ? นั่นถือเป็นอัจฉริยะไร้ผู้เทียบแล้ว?” ซูอี้ลอบขบขัน
เขาย่อมทราบว่านายหญิงเฒ่าตระกูลเหวิน จงใจกล่าวเพื่อข่มขวัญตัวเขา
แต่นางย่อมไม่เคยคาดคิดว่าในสายตาของซูอี้ ขอบเขตหลอมกำเนิดอายุสิบแปดปีที่น่าภูมิใจหนักหนา หากเป็นในเก้ามหาแดนดิน มันไม่ใช่อะไรเลย กระทั่งว่าไม่มีสิ่งใดให้สนใจ
“หากไม่มีเรื่องใดแล้ว ข้าขอตัว” ซูอี้ลุกขึ้นพร้อมตัดสินใจกลับ
เขาได้ยืนยันเรื่องราวแล้ว ไม่มีเหตุใดต้องอยู่ต่อ
“รอก่อน”
นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินหยุดเขาเอาไว้ “นายน้อยสาม ก่อนกลับไป ข้าจะแสดงอะไรให้รับชม”
หลังจากพูด นางนำเอายันต์หยกสีเงินออกจากอกเสื้อ พร้อมถือมันไว้ให้ซูอี้ได้รับชม “นายน้อยสามทราบหรือไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร?”
ยันต์หยกยาวราวสามชุ่น*[1] ทั้งตัวยันต์เป็นสีเงิน ดูราวกับหยก ทว่าไม่ใช่หยก กำลังส่องแสงระยิบระยับ
สายตาของซูอี้พลันถูกดึงสู่ห้วงอดีตโดยทันที
—
[1] ชุ่น เป็นหน่วยวัดความยาว โดยหนึ่งชุ่นประมาณหนึ่งนิ้ว