📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 224

บทที่ 224 - ผู้มาเยือนที่เกินความคาดหมาย
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เช้าตรู่วันนี้

ซูอี้ทานข้าวไปด้วยพลางหาวไปด้วย

เมื่อฉาจิ่นที่อยู่ตรงข้ามมองเห็น ก็แอบยิ้มอย่างน่ามองและแสดงดวงตางามน่าชม พลันกลิ่นอายทั่วร่างก็เปล่งประกายสดใสออกมา

“คุณชาย นี่คือซุปโสมที่ข้าตุ๋นไว้เมื่อวาน ท่านดื่มมาก ๆ หน่อย จะได้เสริมร่างกายให้ดีขึ้น”

ฉาจิ่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตักซุปโสมเต็มถ้วยให้กับซูอี้

ซูอี้ยกขึ้นดื่มจนหมด

เมื่อกินจนอิ่มดื่มจนพอแล้ว ซูอี้ก็เลิกคิ้วขึ้น สายตามองไปทางฉาจิ่นและเอ่ยอย่างจริงจัง

“เมื่อคืนถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝึกฝนสองอย่างให้เจ้าโดยตรง จึงเสียเวลาและกำลังไปค่อนข้างมาก แม้ว่าสุดท้ายดูเหมือนว่าเจ้าจะได้เปรียบ นั่นก็เพื่อให้เจ้าได้เข้าใจส่วนลับของเคล็ดวิชาลึกลับนี้อย่างถึงที่สุด เจ้าอย่าได้คิดมากเกินไป”

ไม่รู้ว่าฉาจิ่นนึกถึงสิ่งใด พลันใบหน้าก็แดงขึ้นมา ก้มหน้าอย่างเขินอาย และตะโกนเสียงดังขึ้น

“คุณชาย ข้าไม่ได้คิดสิ่งใดมาก ข้าก็แค่ไม่นึกว่า การทำเรื่องน่าอายเช่นนี้ จะสามารถช่วยให้ฝึกฝนได้จริง ด้วยเหตุนี้ถึง… ไม่ได้นอนทั้งคืน…”

น้ำเสียงค่อย ๆ เบาลง เสียงเบาราวกับเสียงยุง ใบหน้าที่งดงามนั่นแดงราวกับแสงอาทิตย์กำลังตก ใบหูขาวแวววาวดุจหิมะก็เผยสีชมพูออกมา

ซูอี้หาวอีกครั้งหนึ่ง และไม่เอ่ยสิ่งใดอีก

นานแล้วที่ไม่เคยฝึกทั้งสองอย่างพร้อมกัน ไม่คิดเลยว่า เกือบจะทนไม่ไหว

สิ่งนี้ทำให้ซูอี้โมโหเล็กน้อย ว่ากันตามจริงแล้ว อย่างไรขอบเขตรวบรวมลมปราณก็เป็นขอบเขตแห่งสามัญ ไม่สามารถทนการต่อสู้และความทรมานในหนึ่งคืนได้

หากเปลี่ยนเป็นชาติภพก่อน…

ซูอี้แอบส่ายหน้าเบา ๆ และไม่คิดสิ่งใดมากอีก ชายชาตรีจะไม่เอ่ยถึงความกล้าในปีนั้น

ไม่นาน อินทรีเกล็ดเขียวที่บรรทุกหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงมาก็บินมาถึง

“สหายเต๋าเตรียมพร้อมได้ดี”

หนิงซือฮวาสวมชุดเครื่องแบบทหารที่สะดวกในการต่อสู้ แม้แต่ผมยาวสีดำนั้นก็ถักเปียยาวเป็นเส้นหนึ่ง ยิ่งขับให้ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ราวกับเด็กสาวยิ่งงดงามมากขึ้น

“ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเตรียมพร้อม สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ”

ซูอี้เอ่ยตอบทันที

เขาเพิ่งค้นพบว่า ร่างของผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนเล็กน่ารัก ทว่ารูปร่างนั้นกลับดีมาก

ร่างบอบบางนั้นแนบไปกับเครื่องแบบทหาร ทำให้หน้าอกอวบอิ่มที่อยู่ด้านหน้ากับเอว สะโพกเผยส่วนเว้าโค้งที่น่าประทับใจออกมา

คล้ายกับรู้สึกได้ถึงสายตาของซูอี้ หนิงซือฮวาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก

หากเปลี่ยนเป็นชายอื่นกล้าสำรวจนางเช่นนี้ เกรงว่านางคงจะตบหน้าไปแล้ว

เพียงแต่ เมื่อถูกสำรวจโดยสายตาที่ตรงไปตรงมาและใจกว้างนั้นของซูอี้ นางกลับไม่สามารถโกรธได้

ในใจกลับรู้สึกว่าน่าสนใจ ชายหนุ่มที่ดูเหมือนกับเย่อหยิ่งไร้ความรู้สึก ดูเหมือนจะไม่เมินเฉยต่อความงาม

ที่ทำให้หนิงซือฮวานึกไม่ถึงก็คือ เวลานี้ ซูอี้เอ่ยชมนางต่อหน้าทุกคน

“เมื่อก่อนดูไม่ออก ว่าแท้จริงแล้วเจ้ามีรูปร่างงดงามกระตุกใจคนเป็นอย่างยิ่ง”

เชินจิ่วซงนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาแปลกใจ แอบชื่นชมอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ คุณชายซูผู้นี้ ใช้ได้จริง ๆ!

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นล่ะก็ ใครจะกล้าลวนลามบุคคลลึกลับน่าหวาดกลัวอย่างเจ้าตำหนักเทียนหยวน หนิงซือฮวากัน?

ฉาจิ่นก็แอบประณามออกมา เหตุใดคุณชายถึงตรงไปตรงมาเช่นนี้ และเอ่ยคำพูดที่ไร้ยางอายนี้ได้อย่างไร?

หนิงซือฮวาเงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายกับว่ากำลังพยายามจัดการความขายหน้าและความอึดอัดภายในใจอยู่

จากนั้น นางก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบา “สหายเต๋า ล้อเล่นส่วนล้อเล่น แต่อย่าเล่นกับไฟ”

ซูอี้เอ่ยด้วยท่าทางเหมือนคิดสิ่งใดอยู่ “กังวลว่าข้าจะหาเรื่องรึ?”

เส้นสีดำปรากฏขึ้นบนหน้าผากหนิงซือฮวา นางกัดฟันและเอ่ยแก้ขึ้นมา “เล่นกับไฟ จะถูกไฟลวกเอา!”

เมื่อมองเชินจิ่วซงกับฉาจิ่นอีกครั้ง พวกเขาหันหน้ากลับ ไม่กล้ามองหนิงซือฮวา กังวลว่านางจะอับอายจนโมโห ทำให้พวกเขาต้องเจอกับหายนะ…

หนิงซือฮวาก็รู้สึกว่าตัวเองลืมตัวเล็กน้อย จึงค่อย ๆ สงบจิตใจ และถึงได้เอ่ยขึ้น

“ในเมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นตอนนี้พวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ ตามระยะทางที่ชิงเอ๋อร์บอกไว้ วันนี้ในตอนพลบค่ำพวกเราคงถึงหุบเขามารบุปผาโลหิต”

ซูอี้กับเชินจิ่วซงพยักหน้า

จู่ ๆ เหมือนหนิงซือฮวานึกอะไรขึ้นมาได้ “แม่นางฉาจิ่น ยามนี้ภายในมหานครกุ่นโจวเกิดความวุ่นวายยุ่งเหยิง ในตอนที่พวกเราไม่อยู่ เจ้าสามารถไปหลบที่ตำหนักเทียนหยวนได้ ข้าได้ถ่ายทอดให้กับซ่างเจินผู้อาวุโสใหญ่แล้ว”

ฉาจิ่นรู้สึกแปลกใจ นางไม่นึกเลยว่า เจ้าตำหนักเทียนหยวนจะยังตรึกตรองเรื่องของนางด้วย

นางอดไม่ได้ที่จะมองไปทางซูอี้

“ไปเถิด”

ซูอี้พยักหน้า

หลังจากงานเลี้ยงน้ำชาที่เขาประจิมทิศจบลงจนถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลาสามวันแล้ว

จากการตายของเจ้าแคว้นกุ่นเซี่ยงเทียนชิว รวมถึงการล่มสลายของมหาอำนาจของตระกูลเก่าแก่ทั้งสี่คนอย่าง อวี๋ไป๋ถิง เสวียหนิงเยวี่ยน จ้าวฉิง ไป๋ฮั่นไห่ ทั้งมหานครกุ่นโจวก็เหมือนกับมังกรที่ไม่มีหัว กองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ใช้โอกาสนี้ในปลุกปั่นสร้างปัญหา ขัดแข้งขัดขากันเอง ทำให้สถานการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสภาวะที่วุ่นวายและยุ่งเหยิง

ความวุ่นวายถูกกำหนดมาซึ่งการเข่นฆ่านองเลือด ซึ่งหมายความว่ากองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ในมหานครกุ่นโจวจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงใหม่

แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับซูอี้ ทว่าถึงอย่างไรเขาก็ถือว่าเป็นผู้ริเริ่มทำเรื่องนี้

เมื่อศัตรูฝ่ายตรงข้ามคว้าโอกาสเหล่านี้ไว้ ย่อมหลีกเลี่ยงเรื่องบ้าคลั่งเหล่านี้ไม่ได้

ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ฉาจิ่นไปหลบอยู่ตำหนักเทียนหยวนเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ฉาจิ่นก็ตอบตกลง

และในตอนที่ซูอี้กับพวกเขากำลังเตรียมออกเดินทาง จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกลานบ้าน

“คุณชายซู จวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซานมาเยี่ยมเยือน”

นี่คือเสียงของเจิ้งเทียนเหอ ที่มีกลิ่นอายความเคร่งขรึมและเสียงต่ำ

จวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน?

ซูอี้ขมวดคิ้ว

เชินจิ่วซงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยเสียงเบา “ผู้นี้มีนามว่าเพ่ยเหวินซาน ปรมาจารย์ขั้นสี่ เมื่อสิบห้าปีก่อนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน อยู่ภายในอาณาเขตแคว้นหลิน และเขาเองก็เป็นจวิ๋นอ๋องต่างสกุลคนที่ห้าที่มาจากตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิง”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

ซูอี้เข้าใจในทันที ว่ากองกำลังของตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงมาถึงหน้าประตูแล้วโนlวลกูดoทคอม

“ฉาจิ่น เจ้าไปต้อนรับแขก”

ซูอี้เอ่ยสั่ง

ไม่นาน ภายใต้ฉาจิ่นที่ทำตามคำสั่ง เจิ้งเทียนเหอกับชายที่มีท่าทางเหมือนปัญญาชนวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา

ชายที่เหมือนปัญญาชนวัยกลางคนผู้นี้สวมชุดหยกที่เหมาะกับร่างพอดี จอนผมถูกหวีอย่างเป็นระเบียบ ใบหน้าหล่อเหลา ผิวขาวหมดจด ดูสุภาพเรียบร้อยและมีมารยาท

รูปร่างเขาดูเหมือนอายุราว ๆ สามสิบกว่าปี

คนผู้นี้ก็คือจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน เพ่ยเหวินซาน

เมื่อเห็นซูอี้ เจิ้งเทียนเหอกำลังจะเปิดปากอธิบาย ก็ถูกซูอี้ส่ายหน้าหยุดไว้

เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไร เจิ้งเทียนเหอถูกบังคับให้พาเพ่ยเหวินซานมา?

“พี่เชิน?”

เมื่อมองเห็นเชินจิ่วซง เพ่ยเหวินซานก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

เชินจิ่วซงเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้ากำลังจะถามพอดี เจ้าจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซานที่อยู่ภายในอาณาเขตแคว้นหลินมาตลอด เหตุใดยามนี้กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่แห่งนี้?”

เพ่ยเหวินซานยิ้มออกมาครู่หนึ่ง และเอ่ยขึ้น “เพ่ยผู้นี้ได้รับคำสั่งให้มาที่นี่”

ขณะที่กล่าวอยู่ สายตาเขาก็กวาดมองครู่หนึ่ง และมองไปทางซูอี้ ประสานมือคารวะเล็กน้อย “คุณชายสาม ท่านผู้นำตระกูลฝากฝังเพ่ยผู้นี้ให้มาบอกกับท่าน”

ท่านผู้นำตระกูล!

หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงก็รู้ได้ทันทีว่า เพ่ยเหวินซานทำตามคำสั่งซูหงหลี่ผู้นำตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงและมาที่นี่

ซูอี้เอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “พูดมา”

เพ่ยเหวินซานเอ่ย “ท่านผู้นำตระกูลบอกว่า เพียงแค่คุณชายสามก้มหน้ายอมรับผิด ก็จะให้โอกาสคุณชายสามได้กลับตัวกลับใจอีกครั้ง”

ซูอี้ตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ซูหงหลี่เอ่ยเช่นนี้จริงรึ?”

เพ่ยเหวินซานขมวดคิ้ว เอ่ยเตือนสติ “คุณชายสาม มีฐานะเป็นลูก ทว่าเรียกแค่ชื่อบิดาโดยตรง เป็นการไม่ให้เกียรติอย่างมาก”

ซูอี้เอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ทำไม เจ้ากำลังสั่งสอนข้าอยู่รึ?”

เพ่ยเหวินซานใช้สายตาสำรวจซูอี้อยู่ครู่หนึ่ง พลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มทันที

“ข้าได้ยินมาว่าในงานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิมทิศเมื่อหลายวันก่อน คุณชายสามแสดงพลังมหาศาล และสังหารคนไปไม่น้อย ในใจนั้นตกตะลึงอย่างมาก และไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม ทว่าเมื่อเห็นยามนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงการฝึกฝนของคุณชายสาม แค่อาศัยบุคลิกกับความกล้าหาญ ก็มิอาจเปรียบเทียบได้”

เมื่อเอ่ยมาถึงตอนสุดท้าย น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความรู้สึกปลงเล็กน้อย

เขาคือจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซานในต้าโจว ชื่อเสียงขจรไปทั่วหล้า เมื่อรวมเข้ากับตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงหนุนหลังอีก อำนาจและอิทธิพลเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่มาก

เหมือนกับท่านผู้นำตระกูลอย่างเจิ้งเทียนเหอเมื่อเห็นเขา ก็ต้องสุภาพไปสามส่วน

ทว่าเมื่อเดินเข้าไปในเรือนพำนักหินศิลา และเห็นใบหน้าเริ่มแรกของซูอี้ จนถึงตอนนี้ เขากลับไม่รู้สึกถึงแม้แต่ความหวาดหลัวและความเคารพยำเกรงจากอีกฝ่ายเลย

สิ่งนี้ทำให้เพ่ยเหวินซานอดแปลกใจไม่ได้

ในความทรงจำของเขา ซูอี้คือลูกเมียน้อยที่ถูกทิ้งมาตั้งแต่เยาว์วัย ใช้การไม่ได้ ทั้งยังสถานะต่ำต้อย กระทั่งว่าต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าหญิงรับใช้ และเด็กรับใช้ด้วยซ้ำไป

แต่ซูอี้ที่เขาเห็นในยามนี้กลับเปลี่ยนไปไม่เหมือนในความทรงจำของเขาเลย

หลังจากเงียบไปเล็กน้อย เพ่ยเหวินซานก็เอ่ยขึ้น “คุณชายสาม ท่านผู้นำตระกูลบอกว่า จะให้เวลาท่านพิจารณาช่วงหนึ่ง จำกัดเวลาในวันที่ห้าต้นเดือนห้า”

วันที่ห้าต้นเดือนห้า!

ซูอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย เวลานั้น เยี่ยอวี่เฟยมารดาเขาก็ถูกซูหงหลี่ปลดฐานะในวันที่ห้าต้นเดือนห้านี้ และเจ็บป่วยจนเสียชีวิต

ไม่แปลกใจเลยความหมายแฝงของซูหงหลี่ก็คือ หากตัวเองไม่ก้มหน้ายอมรับผิด ก็จะปลดฐานะเขาเหมือนกับที่ปลดเยี่ยอวี่เฟยมารดาเขาในเวลานั้น!

หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงพวกเขาก็ฟังความหมายแฝงออก จึงอดไม่ได้ที่จะใช้สายตามองไปทางซูอี้

รับชมเห็นซูอี้มีสายตาที่ไม่แยแส และน้ำเสียงไม่มีความสั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย

“ให้เวลาข้าพิจารณาเดือนกว่ารึ? เช่นนั้นก็ดี เจ้ากลับไปบอกซูหงหลี่ วันที่ห้าต้นเดือนห้า ข้าจะไปปัดกวาดหลุมศพท่านแม่ข้า เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะไปเอาของเซ่นไหว้ในตระกูลซูล่วงหน้า เพื่อปลอบโยนวิญญาณเยี่ยอวี่เฟยมารดาข้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์”

พลันบรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดกดดันทันที

นัยน์ตาหนิงซือฮวาเผยความประหลาดใจ

เชินจิ่วซงแอบสูดอากาศเย็นเข้าไป

ฉาจิ่นเบิกตากว้าง

เจิ้งเทียนเหอมือไม้สั่นไปครู่หนึ่ง

พวกเขาจะฟังไม่ออกได้อย่างไร ในคำพูดซูอี้ที่ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดนั้น จริง ๆ แล้วมีไอสังหารที่ไม่มีที่สิ้นสุดแฝงไว้อยู่?

เป้าหมายคือการฆ่าทั้งตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับเยี่ยอวี่เฟยมารดาเขา พูดไม่ได้ว่าคนส่วนหนึ่งจะถูกฆ่าเป็นเครื่องเซ่นไหว้!

เพ่ยเหวินซานมีสีหน้าลังเล เขาก็ไม่นึกว่า การตอบกลับของซูอี้จะแข็งกร้าวเช่นนี้!

“คุณชายสาม ท่านมิอาจใช้อารมณ์ได้ หากเกิดการทะเลาะกันขึ้นระหว่างพวกเจ้าพ่อลูก เช่นนั้นคงจะจัดการปัญหาไม่ได้ง่าย ๆ แล้ว”

เมื่อสูดหายใจเข้าลึกแล้ว เพ่ยเหวินซานก็จ้องเขม็งไปที่ซูอี้ “ข้าบอกกับท่านได้ว่า หากท่านผู้นำตระกูลโมโหขึ้นมา ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันคงไม่ลังเลที่จะปลดองค์ชายหกที่ถูกมองว่าเจ้าเป็นคนที่คอยสนับสนุนองค์ชาย ถึงตอนนั้น อาศัยเพียงแค่เจ้าผู้เดียว จะเอาสิ่งใดมาสู้กับตระกูลซูทั้งหมด”

สายตาเขาย้ายไปมองเชินจิ่วซง “พี่เชินน่าจะเข้าใจ ว่าคำพูดข้านี้ไม่ได้เป็นการข่มขู่หรือเอ่ยเกินจริง ใช่หรือไม่?”

เชินจิ่วซงเอ่ยด้วยสายตาที่แปลกประหลาดใจ “คำพูดนี้ก็ไม่ผิดอะไร เพียงแต่ ในความคิดข้า ตอนนี้น้องเพ่ยเป็นเพียงแค่คนที่มาส่งสาร ก็ส่งสารอย่างเงียบ ๆ พอ หากเอ่ยในสิ่งที่ไม่สมควรเอ่ย เช่นนั้นก็ไม่ดีแล้ว”

ในใจเขาอยากจะหัวเราะออกมา เพ่ยเหวินซานคิดว่าซูอี้จะอาศัยองค์ชายหกมาต่อสู้กับตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิง ช่างเพ้อฝันเสียจริง!

เพ่ยเหวินซานตกใจครู่หนึ่ง สัมผัสได้ว่าท่าทางของเชินจิ่วซงแปลก ๆ เขาจึงหันไปมองซูอี้อีกครั้ง “คุณชายสามคิดเห็นอย่างไร?”

“ข้าจะบอกเจ้าไว้ ลำพังตัวข้าคนเดียวก็ทำลายตระกูลซูให้สิ้นซากได้แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะพูดให้มากความไปเพื่ออะไร?”

ซูอี้เอ่ยอย่างไม่แยแส “จวิ๋นอ๋องเชินพูดถูก เจ้าเป็นเพียงบุคคลที่มาส่งสาร ข้าก็คร้านที่จะเอาความกับเจ้า นำคำพูดของข้าตั้งแต่ต้นไม่ขาดไปสักตัวหนึ่งกลับไปบอกซูหงหลี่ก็พอ”

“กลับดี ๆ ล่ะ ข้าไม่ไปส่ง”

เมื่อเอ่ยจบ เขาก็โบกมือ

ประหนึ่งไล่ยุง

สีหน้าเพ่ยเหวินซานเปลี่ยนไปหลายครั้ง สุดท้ายเขาก็สูดหายใจเข้าลึก ข่มอารมณ์ความโมโหที่อยู่ในใจเอาไว้ ไม่เอ่ยออกมาสักคำ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อและเดินจากไป

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset