ณ ชั้นหนึ่งโรงเตี๊ยมมงคลบรรจบ
เฉียวเหลิ่งและผู้เฒ่าเหวินที่มาเยี่ยมเยียนซูอี้พลันเดินเข้าไปนั่งอยู่ด้วยกันภายในห้องหรูห้องหนึ่ง
ภายในนั้นมีกลิ่นชาตลบอบอวลไปทั่ว
เป็นเฉียวเหลิ่งที่เผยฐานะตัวเอง พร้อมกับมอบของกำนัล เป็นเม็ดยาระดับสามจำนวนสิบเม็ด กับหินวิญญาณหนึ่งร้อยก้อน
ซูอี้นั่งอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ เหลือบมองกล่องของกำนัลที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้น
“พวกเจ้านำของกำนัลเหล่านี้กลับไปเสีย ในตอนนั้นข้าไม่ได้ไปเพื่อช่วยพวกเจ้าแต่อย่างใด”
เฉียวเหลิ่งรีบเอ่ยตอบ “ของเหล่านี้เป็นเพียงน้ำใจเล็กน้อยของตระกูลอวี๋เท่านั้น หวังว่าคุณชายจะไม่ปฏิเสธ ไม่ว่าอย่างไร ที่ข้ามีชีวิตรอดจากหุบเขามาจนถึงค่ำวันนี้ ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากคุณชาย”
ซูอี้เอ่ยอย่างเย็นชา “ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่?”
“นี่…”
เฉียวเหลิ่งลังเลไปชั่วครู่หนึ่ง
ผู้เฒ่าเหวินที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้นมาตลอดโดยไม่เอ่ยสิ่งใด จู่ ๆ ยื่นมือออกมาเคาะโต๊ะเบา ๆ และเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา
“เจ้าหนุ่ม ในเมื่อเก็บของกำนัลไปแล้ว ต่อไปต้องระวังไม่ให้ล้ำเส้น ข้าเข้าใจว่าครานี้เจ้าทำตามคำสั่ง ดังนั้นเรื่องในครั้งนี้ก็ให้มันแล้วไป แต่หากมีครั้งหน้าอีก …อย่าหาว่าตระกูลอวี๋ของพวกข้าไม่เกรงใจล่ะกัน”
น้ำเสียงที่นุ่มนวลกลับแฝงไว้ด้วยความเหน็บแนม
ซูอี้เลิกคิ้ว ชำเลืองมองชายแก่ที่ผอมแห้งราวกับไม้ และกล่าวว่า “ท่านอธิบายกับข้ามาหน่อยซิ อะไรที่เรียกว่าล้ำเส้น และอะไรที่เรียกว่าทำตามคำสั่ง”
เฉียวเหลิ่งเห็นท่าไม่ดี รีบเอ่ยขัดขึ้น “คุณชายอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ที่ผู้เฒ่าเหวินกล่าวนั้นหมายถึง…”
ซูอี้เอ่ยขัดด้วยสีหน้าเย็นชา “ให้เขาอธิบายมา”
ท่าทางที่เผด็จการของชายหนุ่ม ทำให้ผู้เฒ่าเหวินหรี่ตาเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมา “เดี๋ยวนี้พวกคนหนุ่มไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เช่นนั้นคนแก่อย่างข้าจะชี้แนะเจ้าสองประโยค แม้ฐานะองค์ชายหกจะสูงส่ง แต่เมื่ออยู่ในเมืองนี้ เขาย่อมไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้ …เจ้ายังหนุ่มแน่นอยู่ การบำเพ็ญที่ได้มานั้นไม่ง่ายเลย แต่อย่าคิดว่ามีองค์ชายหกหนุนหลังอยู่ เจ้าจะทำสิ่งใดก็ได้โดยไม่สนใจกฎแห่งสวรรค์!”
ภาพนี้เหมือนกับผู้ใหญ่ที่ทำตัวสูงส่งกำลังตำหนิผู้น้อยอยู่
เมื่อซูอี้ฟังจบก็งุนงนเล็กน้อย “พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนของโจวจือหลี?”
“เลิกเสแสร้งได้แล้ว เจ้าไม่สามารถปิดบังความจริงจากข้าได้หรอก!”
ผู้เฒ่าเหวินยิ้มเย็นชา เผยแววตาอันเหยียดหยามออกมา
ซูอี้ที่ไม่เข้าใจในตอนแรกพลันเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย สายตาเขาตวัดมองไปที่เฉียวเหลิ่ง เอ่ยว่า “พูดเช่นนี้หมายความว่า… สำหรับเรื่องที่ข้าช่วยพวกเจ้าไม่กี่วันมานี้ ถูกมองว่า… มีเจตนาแอบแฝงอยู่?”
เฉียวเหลิ่งยิ้มเฝื่อนพลางถอนหายใจออกมายาว “คุณชายซู แม้คำพูดของผู้เฒ่าเหวินจะไม่น่าฟังเล็กน้อย แต่ก็พูดเรื่องจริง อย่างไรเสีย ท่านก็ไม่มีทางยอมรับว่า ท่านกับองค์ชายหกมีความเกี่ยวข้องกันสินะ?”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ช่างน่าสนุกเสียจริง
เขาช่วยคนเหล่านั้นโดยไม่ได้คิดอะไร แต่กลับทำเสมือนว่ามีเจตนาร้าย และมีแผนร้ายลับหลัง!
และอีกฝ่ายยังใช้การให้ของกำนัลเป็นข้ออ้าง ในการมาเหน็บแนมและตักเตือนเขา…
“สรุปแล้ว ที่พวกเรามาในครั้งนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะมาทำให้เจ้าลำบากใจ แต่ว่าจะดีที่สุดหากจากนี้ไป เจ้าอย่าได้ทำเรื่องโง่งมอีก”
ผู้เฒ่าเหวินยกถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อย เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ชายแก่คนนี้รับรองได้เลยว่า องค์ชายหกก็ปกป้องเจ้าไม่ได้!”
เมื่อเอ่ยจบ เขาวางถ้วยชาลง และลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป
ทว่ากลับเป็นซูอี้ที่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เอ่ยว่า “หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าควรรับชมพวกเจ้าถูกสัตว์ปีศาจฆ่าตายเสียวันนั้น บางทีอาจจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้น”
ผู้เฒ่าเหวินเอ่ยด้วยสีหน้าที่ตึงขึ้น “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เฉียวเหลิ่งรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนไกล่เกลี่ยแล้ว แต่ชายหนุ่มผู้นี้กลับไม่ซาบซึ้งใจเลยสักนิด และตอนนี้ยังกล้าพูดเช่นนี้อีก!
ซูอี้สนใจแต่ที่นั่งของตัวเองและเอ่ยเสียงเบาขึ้น “ความหมายของข้านั้นง่ายมาก ในเมื่อข้าเป็นคนช่วยชีวิตพวกเขา เช่นนั้นข้าก็เอามันกลับมาได้ แบบนี้ไม่ใช่ว่าหาทางออกของเรื่องนี้ได้แล้วรึ?”
สีหน้าของเฉียวเหลิ่งพลันเปลี่ยนไปทันที
ผู้เฒ่าเหวินแสยะยิ้มและเอ่ยขึ้น “เจ้าหนุ่ม พาลโกรธเสียดื้อ ๆ เช่นนี้อาจจะทำร้ายชีวิตเจ้าได้ ข้าแนะนำให้เจ้ากลับไปถามองค์ชายหกเสียก่อน ว่ากล้าเอาชีวิตคุณหนูของตระกูลข้ามาล้อเล่นหรือไม่”
เฉียวเหลิ่งอดกลั้นความไม่สบายใจเอาไว้ในใจ “คุณชาย ยาดีแม้มีรสขมแต่รักษาโรคได้ฉันใด คำพูดที่จริงใจแม้ฟังขัดหูแต่มีประโยชน์ต่อการกระทำฉันนั้น เฉียวผู้นี้นับถือท่านมาก ท่านอย่าได้ใจร้อนทำเรื่องโง่ ๆ เช่นนี้ ตระกูลอวี๋ของพวกเราสามารถตั้งตระหง่านและมั่นคงอยู่ในมหานครกุ่นโจวมาจนถึงทุกวันนี้ แม้แต่องค์ชายหกก็ไม่กล้าฉีกหน้าพวกเรา ท่าน…”
“ข้าช่วยชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง เจ้าซาบซึ้งในบุญคุณหรือไม่?”
ซูอี้เอ่ยขัดขึ้น
“นี่เป็นเรื่องธรรมดา”
เฉียวเหลิ่งเอ่ยขึ้นทันที
“ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้รีบหายไปจากสายตาข้าเสีย ข้าจะไม่เอาความกับเจ้า”
ซูอี้เอ่ยอย่างเย็นชา
เฉียวเหลิ่งนิ่งไปพักหนึ่ง ยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด ผู้เฒ่าเหวินก็เอ่ยด้วยสีหน้าที่เย็นชา “เฉียวเหลิ่ง เจ้าไปรออยู่ด้านนอก ชายแก่อย่างข้าอยากจะเห็นเจ้าหนุ่มที่อยู่ข้างกายองค์ชายหกอยากจะทำสิ่งใดกันแน่”
จิตสังหารเบาบางจากนัยน์ตาเขาพรั่งพรูความเย็นยะเยือกออกมาโนlวลกูดอทคoม
เฉียวเหลิ่งสั่นเทา สัมผัสได้ถึงความโกรธของผู้เฒ่าเหวิน และเอ่ยขึ้น “ผู้เฒ่าเหวิน ที่พวกเรามาครั้งนี้ไม่ใช่…”
ไม่รอให้เขาเอ่ยจบ ผู้เฒ่าเหวินเอ่ยอย่างเย็นชา “ออกไป”
เฉียวเหลิ่งมองไปที่ผู้เฒ่าเหวิน แล้วหันมองไปที่ซูอี้ พลางถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกไปจากห้องหรู
ผู้เฒ่าเหวินกลับไปนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง ก่อนเอ่ยด้วยสายตาเย็นชาและโหดเหี้ยม “อย่าเอ่ยเรื่องไร้สาระอีกเลย บอกคนแก่อย่างข้าสิว่าครั้งนี้เจ้าจะยอมก้มหัว หรืออยากจะเล่นกับข้า?”
ในระหว่างนิ้วมือข้างซ้ายของเขา มีงูตัวเล็กสีแดงเชิดหน้าแลบลิ้นออกมา ดวงตาแดงฉานเย็นเยือกคู่นั้นจ้องมองซูอี้อย่างกระหายเลือด
ซูอี้ค่อย ๆ ยิ้มออกมา และเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “เจ้าอยากจะตายอย่างไร? ข้าทำให้เจ้าพอใจได้ทั้งหมด”
น้ำเสียงนั้นราวกับกำลังปรึกษาหารือกันอยู่ก็ไม่ปาน
ใบหน้าที่แห้งเหี่ยวของผู้เฒ่าเหวินตึงขึ้นเล็กน้อย ความหนาวเหน็บที่อยู่ในแววตาเปลี่ยนเป็นหนาแน่นขึ้น ราวกับกระแสลมหนาวม้วนตัวกลับอยู่ในนั้น
“หากคนอยากจะตาย ถึงอย่างไรก็ขวางไว้ไม่ได้ ลูกงูของชายแก่วันนี้ยังกินไม่อิ่มเลย เช่นนั้นก็เอาเลือดเนื้อของเจ้ามาชดใช้ให้แทนล่ะกัน”
ในน้ำเสียงเย็นชา นัยน์ตาของผู้เฒ่าเหวินฉายแสงแปลกประหลาดสีน้ำเงินออกมาทันที ราวกับระลอกคลื่นหมุนวนอย่างบ้าคลั่งอยู่ในตาคู่นั้น และดูเหมือนจะสามารถกลืนกินจิตวิญญาณของผู้คนได้
ตาทิพย์จับวิญญาณ!
คาถาลับแปลกประหลาดเผยออกมา เพียงแค่ผู้ร่ายคาถาใช้ดวงตาคู่นั้นจ้องมอง แม้แต่ตัวตนเช่นปรมาจารย์ จิตวิญญาณก็จะถูกโจมตีและคุมขังไว้ หากไม่สามารถต่อสู้ดิ้นรนออกไปได้ ก็จะสูญเสียกำลังและถูกสังหารโดยไม่มีแรงต่อต้านใด ๆ
และที่น่ากลัวที่สุด คือเมื่อคาถานี้ถูกใช้ออก มันยากที่จะป้องกันได้ จึงง่ายที่จะถูกสยบ
ในหลายปีมานี้ ผู้เฒ่าเหวินอาศัยคาถาลับดังกล่าว ตามไล่สังหารปรมาจารย์หลายคน และเขาแทบไร้คู่ต่อสู้!
“เจ้าก็ยังภูมิใจได้ หากสามารถตายด้วยคาถากักขังของชายแก่อย่างข้า เพราะคนธรรมดาคงไม่ได้รับโอกาสเช่นนี้หรอก”
ผู้เฒ่าเหวินเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อนสิ่งใด สายตามองงูเล็กสีแดงที่มือซ้ายนั้น แววตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู “ไปเถิด ถึงอย่างไรเจ้าหนุ่มนี้ก็เป็นถึงขอบเขตรวบรวมลมปราณ เลือดเนื้อนั้นหอมหวาน สามารถทำให้เจ้าอิ่มไปได้มื้อหนึ่ง”
งูเล็กสีแดงที่มีความหนาราวกับตะเกียบส่งเสียงซี่ซี่ออกมา ชั่วครู่หนึ่งก็กลายเป็นแสงเพลิง และฉกไปที่ลำคอของซูอี้ที่นั่งอยู่ตรงข้าม
รับชมภาพตรงหน้า ผู้เฒ่าเหวินค่อย ๆ ยิ้มออกมา
งูเล็กสีแดงเป็นงูแปลกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีสายเลือดของงูเหินอัคคีแฝงไว้เล็กน้อย อย่ามองแค่รูปร่างที่เล็กนั้น ที่จริงมันคือนักฆ่าโดยธรรมชาติ และสามารถสังหารผู้สำเร็จขอบเขตโคจรโลหิตขั้นสมบูรณ์ได้โดยง่าย!
แต่ครู่ต่อมา ใบหน้าที่มีรอยยิ้มของผู้เฒ่าเหวินในตอนแรกพลันหยุดนิ่ง รูม่านตาขยายออกทันที บนใบหน้าเผยความตะลึงออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
ความเร็วของงูเล็กสีแดงเร็วมากจนเทียบได้กับสายฟ้า แต่ยังไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง มันกลับถูกนิ้วมือที่ขาวเรียวยาวสองนิ้วคีบหัวเอาไว้ ไม่ว่าจะดิ้นรนบ้าคลั่งอย่างไร… ก็ไร้ประโยชน์!
“การเลี้ยงสัตว์ปีศาจนี้ด้วยโลหิต เป็นผลลัพธ์ที่ได้ตรงกันข้ามนัก เมื่อร่างของมันกลายเป็นเกล็ด และมีเขางอกขึ้นมา คนแรกที่จะต้องตายก็คือเจ้า ด้วยวิธีนี้ มันถึงสามารถทำลายข้อผูกมัดทั้งหมด และกลายเป็นเจียว*[1]”
สายตาซูอี้มองไปที่งูเล็กสีแดงและเอ่ยขึ้น “กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า เพราะต่อไปเจ้าก็จะกลายเป็นอาหารของสัตว์ปีศาจตัวนี้อยู่ดี”
ผู้เฒ่าเหวินมีสีหน้าลังเล ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ “เจ้า… ไม่เป็นอะไรเลยรึ?”
ภายในใจเขานั้นสั่นคลอน จนไม่สามารถสงบลงได้
ซูอี้ลืมตาขึ้นมองเขาและเอ่ยว่า “หากพูดถึงการศึกษาคาถาซึ่งเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณนั้น ความสามารถของเจ้าไม่ต่างอะไรกับเด็กที่เล่นโคลน หากนำมาใช้กับข้า รังแต่จะทำให้อับอายเสียเปล่า ๆ ช่างน่าขันนัก”
คล้ายกับผู้เฒ่าเหวินไม่เชื่อ อีกฝ่ายพ่นลมหายใจแรงออกมา ก่อนที่แสงแปลกประหลาดสีน้ำเงินที่อยู่ในรูม่านตาจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง กักขังวิญญาณ!
“ที่เจ้าเอ่ยเมื่อครู่นั้นถูกต้อง หากคนจะต้องตาย สิ่งใดก็มาขวางเอาไว้ไม่ได้”
ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมย อีกด้าน ในแววตาที่ลึกล้ำของซูอี้ ฉับพลันราวกับมีดาบสูงตระหง่านที่ไม่มีด้ามทะลักออกมา และหายไปในพริบตา
โครม!
ร่างของผู้เฒ่าเหวินโซซัดโซเซ ตกจากเก้าอี้ล้มนั่งอยู่บนพื้น เขาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ตะโกนขึ้น “ตาข้า!!!”
รับชมดวงตาแตกออก พลันเลือดสดไหลย้อย สีหน้านั้นขาวซีด ทั่วร่างก็กระตุกขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
หากเทียบกับความเจ็บปวดมากนี้แล้ว ในใจเขานั้นยิ่งหวาดกลัวมากกว่า!
การฝึกฝนบำเพ็ญทั้งชีวิตของเขาอยู่ที่ ‘ตาทิพย์จับวิญญาณ’ และหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเจอคู่ต่อสู้แบบใด เขาก็ไม่เคยแพ้เลย
แต่ตอนนี้ ความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดของเขากลับถูกทำลายไปแล้ว!
ถูกทำลายโดนคนหนุ่มวิถียุทธ์ที่อยู่แค่ขอบเขตรวบรวมลมปราณเท่านั้น!
มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน!
ซูอี้ที่นั่งอยู่ตรงนั้นเอ่ยเสียงเฉยชา “เมื่อครู่ที่ข้าถามเจ้าว่าอยากตายอย่างไร ตอนนี้เจ้าตัดสินใจได้หรือยัง”
ผู้เฒ่าเหวินดิ้นรนลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “เมื่อครู่ชายแก่อย่างข้ามีตาหามีแววไม่ ได้โปรด…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกว่ามีของที่เกลี้ยงลื่นตัวหนึ่งออกมาจากปาก และยังไม่ทันได้ตอบโต้สิ่งใด ของเกลี้ยงลื่นตัวนั้นก็ฉกเข้าในลำคอและเจาะทะลุเข้าไปภายในร่าง
มันคือเป็นลูกงู!
ผู้เฒ่าเหวินรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ทั่วร่างแข็งทื่อ จากนั้นทั่วร่างก็เหมือนกับคลุ้มคลั่ง เขานำนิ้วมือล้วงเข้าไปแคะในปากอย่างบ้าคลั่ง
แต่ทว่ากลับไร้ประโยชน์
ในเวลาเพียงครู่เดียว ทวารทั้งเจ็ดของเขาก็มีเลือดไหลออกมา อวัยวะภายในทั้งห้าและอวัยวะกลวงทั้งหกราวกับค่อย ๆ ถูกกลืนกินก็ไม่ปาน เป็นความเจ็บปวดที่รุนแรงราวกับถูกฉีกขาดเป็นชิ้น ๆ!
“ไม่! ไม่…!”
เขาโผเข้าไปหาซูอี้อย่างบ้าคลั่ง คล้ายกับฮึดแรงเฮือกสุดท้ายคิดตายไปพร้อมกับซูอี้
แต่ที่น่าตลกก็คือ รูม่านตาของเขานั้นแตกแล้ว จึงได้แต่โผเข้าไปในอากาศสะเปะสะปะ ก่อนร่างแก่ชราจะชนเข้ากับผนังด้านข้าง
ต่อมา ทั้งร่างก็ร่วงลงกับพื้น และเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ล่วงเกินต่อตระกูลอวี๋ เจ้าต้องตาย…!”
ก่อนคำพูดจะจบดี เขาก็หมดแรงเสียก่อน
ซูอี้ที่นั่งอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด เพียงมองดูภาพตรงหน้าอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็ดื่มน้ำชาเล็กน้อย ชั่วครู่หนึ่งเขาก็ขมวดคิ้ว …น้ำชานี่จืดเกินไปแล้ว!
โครม!
ประตูห้องหรูถูกชนจนเปิดออก หลังจากเฉียวเหลิ่งที่รออยู่ด้านนอกได้ยินเสียงสงบลง ก็อดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้ามา
จากนั้นเขาก็มองเห็นซูอี้นั่งอยู่ที่นั่นมาโดยตลอด ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ด้วยท่าทางที่ไม่สะทกสะท้าน
แต่บนพื้นอีกด้านหนึ่ง มีร่างของผู้เฒ่าเหวินหมดสภาพอยู่ที่นั่น ดวงตาแตกออก เลือดสดไหลย้อยลงมา เลือดเนื้อทั่วร่างค่อย ๆ หายไป ราวกับถูกของบางอย่างแทะกิน ไม่นาน ก็เหลือเพียงแค่กระดูกติดหนังที่แห้งเหี่ยว
ภาพที่ทำให้คนแปลกประหลาดใจนี้ ทำให้เฉียวเหลิ่งมึนงง ตกใจจนวิญญาณเกือบออกจากร่าง
[1] เจียว หรือ 蛟 คือคำเรียกมังกรที่มีเขาเดียว