📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 159

บทที่ 159 - วิถีดาบเคล็ดล้ำลึก ดินแดนซ่อนเร้นสำแดงเดช
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

ร่างของซูอี้ฉวัดเฉวียน ปล่อยหมัดออกไปพร้อมกับร่ายรำความลึกล้ำของเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนล่องลอย

แต่เดิมเคล็ดวิชานี้เป็นยอดวิชาที่สาบสูญไปแล้วของวิถียุทธ์… มันคือการรวมชีพจร สงบนิ่งประดุจต้นสน หยั่งรากลึกบนภูผา มีพลังสะท้านฟ้า เคลื่อนไหวประดุจกระเรียนเหินหาวบนสวรรค์ชั้นเก้า ล่องลอยในนภา

เมื่อปล่อยหมัดนี้ออกไป เลือดลมในตัวซูอี้เดือดพล่านเผาผลาญประดุจดังเตาหลอม ทุกจุดบนร่างเปล่งแสงส่องสว่าง พลังรอบตัวแผ่ขยายจนถึงขีดสุด

ปัง!

หมัดปะทะกับกรงเล็บ ความแข็งแกร่งปะทะกับความแข็งแกร่ง ดุจดังภูเขาใหญ่สองลูกกำลังห้ำหั่น

คลื่นพลังหฤโหดขนาดมหึมาระเบิดออกมาท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างซูอี้กับพยัคฆ์เพลิงเนตรคราม บรรยากาศรอบทิศทางที่พลังแผ่ขยายออกไปมีแต่เสียงร้องโอดครวญ ดินโคลนบนพื้นสาดกระเซ็น

ร่างของซูอี้สั่นสะท้าน ถอยหลังไปหลายก้าว เลือดลมเดือดพล่านไปทั้งร่าง

แผ่นดินแยกร้าวตามทุกฝีก้าวที่ถอย เสียงสั่นสะเทือนราวกับเสียงอัสนีพิฆาต

“ยังแย่ไปหน่อย มาอีก!”

นัยน์ตาดำขลับลุ่มลึกของซูอี้เปล่งประกาย ร้องตวาดออกมาพลางพุ่งตัวไปข้างหน้า ร่างของเขาสูงโปร่งประดุจมังกรผงาดกลางหุบเหว ชุดยาวสีเข้มโบกพลิ้วตามแรง

“โฮกกก!!”

พยัคฆ์เพลิงเนตรครามเงยหน้าขึ้น ฟ้าร้องคำรามประดุจดังอัสนีบรรลัยกัลป์

ทว่าท่าทีของมันน่ากลัวเสียยิ่งกว่า ร่างที่กระโดดตะครุบกลางอากาศราวกับแสงสีขาวกำลังเคลื่อนไหว ไม่เพียงแค่รวดเร็วเท่านั้น ในการตะครุบแต่ละครั้งยังดุดันราวกับสายฟ้าแลบแปลบปลาบ รุนแรงราวกับอัคคีโหมกระหน่ำ

กรงเล็บแหลมคมโจมตีทุกสิ่งอย่างง่ายดาย เพียงแค่ขยับก็สามารถฆ่าปรมาจารย์ทั่วไปให้ตายได้ น่าหวาดเกรงยิ่งนัก

ในถ้ำหิน ฉาจิ่นมองดูทุกอย่างด้วยอาการหนาววาบถึงสันหลัง ใบหน้าสวยสว่างเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ตื่นกลัวหวาดเกรงไม่หาย

ถามใจตัวเองดู หากว่าคนที่ประมือด้วยคือนาง เกรงว่าคงรับไม่ไหวแม้แต่กระบวนเดียว…

ทว่าซูอี้ไม่ใช่เช่นนั้น

ทั้ง ๆ ที่วิชาดาบของเขาไร้เทียมทาน ทั้งยังสามารถใช้สายฟ้าอัสนี แต่เขาไม่ยอมใช้ กลับตอบโต้ด้วยสองหมัดที่ว่างเปล่า

และสิ่งที่ฉาจิ่นไม่อยากจะเชื่อเป็นที่สุดก็คือในการห้ำหั่นอย่างดุเดือดเช่นนี้ ซูอี้กลับไม่เป็นรองแม้แต่น้อย!

เมื่อเจอการรุกที่รุนแรงถึงชีวิตในแต่ละครั้ง เขาเป็นต้องหลบไปได้อย่างหวุดหวิดร่ำไป ความแม่นยำช่ำชองในแต่ละกระบวนท่ามีความงดงามยอดเยี่ยม

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่าซูอี้กลับไม่ได้เปรียบเลยแม้สักนิด

สัตว์อสูรอัคคีแดงเนตรมังกรตนนั้นแข็งแกร่งเสียเหลือเกิน กรงเล็บแหลมคมพ่นเปลวเพลิงอัคคี ความน่ากลัวในตัวมันครอบคลุมไปทั่วฟ้าโอบล้อมไปทั่วดิน เพียงแค่กระแทกโดนเบา ๆ ก็สามารถทำลายหินผาจนแตกละเอียดเป็นผุยผง

ทั้งยังเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันมีความคิดอ่าน ระหว่างที่กระโจนตะครุบสามารถหลบหลีกเคลื่อนย้ายรุกรับได้อย่างมีจังหวะ ต่างไปจากสัตว์อสูรที่รู้จักแต่การใช้กำลังเข้าต่อสู้อย่างสิ้นเชิง

ครืน!

ในราตรีอันมืดมิด มีเพียงหนึ่งคนหนึ่งสัตว์ต่อสู้บ้าระห่ำอย่างดุเดือด รอบระยะพันวาล้วนกลายเป็นสถานประลองกำลังของพวกเขาทั้งสอง ต้นไม้ใบหญ้าหินผาภูสูงเหล่านั้นล้วนแตกสลายกลายเป็นละออง แผ่นดินถล่มกลายเป็นรอยแตกร้าวมีหลุมลึกไม่รู้มากมายเท่าใด

การต่อสู้เช่นนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าการต่อสู้กันระหว่างปรมาจารย์ระดับสุดยอด

ฉาจิ่นดูการต่อสู้ด้วยอาการตื่นเต้นหวาดผวา ยากนักจะสงบใจลงได้

และชั่วขณะนี้เอง ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าระหว่างตนเองกับซูอี้นั้นแตกต่างกันมากถึงเพียงไหน

ต่างกันราวเมฆากับโคลนตมเลยทีเดียว!

เพราะอย่างไรเสีย ซูอี้ในตอนนี้อยู่ในขั้นต้นของขอบเขตรวบรวมลมปราณเท่านั้น…

เมื่อนึกถึงความจริงในข้อนี้แล้ว ในใจลึก ๆ ของฉาจิ่นอยากจะคลั่งเสียให้ได้ เหตุใดในโลกนี้จึงมีคนที่ร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้?

“หวังเพียงแต่ว่า ศิษย์พี่อย่าได้พาคนในสำนักมา…”

ฉาจิ่นแอบถอนใจ

ครั้งนั้นหลังจากที่ศิษย์พี่ใช้ดาบยันต์แอบโจมตีซูอี้แล้วก็หนีไป เขาต้องการจะกลับสำนักเพื่อพาพรรคพวกมาจัดการกับซูอี้

ทว่าตอนนี้ ฉาจิ่นภาวนาอย่าให้สำนักส่งคนมา

“อสูรร้าย ฮ่า ๆๆ!”

ระหว่างการต่อสู้ จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะของซูอี้ดังขึ้นราวกับอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน

เสื้อผ้าบนร่างของเขามีรอยฉีกขาดหลายแห่ง ทิ้งรอยกรงเล็บพร้อมกับเลือดไหลซิบ ๆ เป็นทางยาวเต็มตัวราวกับถูกอาบด้วยเลือด

ทว่าเขาดูราวกับดีใจมากเสียอย่างนั้น สีหน้าท่าทางสดชื่น มีกำลังวังชา ยิ่งสู้ก็ยิ่งฮึกเหิม ท่าทีลำพองนั้นทำให้ฉาจิ่นถึงกับตะลึง

ซูอี้ในช่วงเวลาปกติทั้งเกียจคร้านทั้งทระนง ขี้เกียจจนเข้ากระดูก และทระนงจนเข้ากระดูกเช่นกัน ดูราวกับเฉยชาไม่แยแส แต่แท้จริงคือความทระนงที่ไม่เคยมองใครในสายตา

ทั้ง ๆ ที่อายุเพียงแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น กลับใช้ชีวิตราวกับเฒ่าประหลาดเฉยชาไร้ความรู้สึก ไม่สนใจกับสิ่งใด ๆ

คนที่ไม่รู้มีแต่จะมองว่าเขาเป็นคนหนุ่มธรรมดาสามัญคนหนึ่ง

แต่หากใครหาเรื่องเขาจะเข้าใจได้ว่าการถูกจัดแจงให้สิ้นหวังและหวาดกลัวนั้นเป็นอย่างไร

ทว่าซูอี้ในตอนนี้แตกต่างไปจากตอนปกติอย่างสิ้นเชิง!ɴᴏᴠᴇʟɢᴜ.ᴄᴏᴍ

เขาปล่อยตัวอิสระ ในการต่อสู้มีทั้งรุกรับประชิดแยก ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยพลังพิฆาตอันน่าครั่นคร้ามที่สามารถดูดกลืนทุกสิ่งรอบแปดทิศ

ถึงแม้ร่างกายจะได้รับบาดเจ็บ ทว่าไม่อาจบดบังความงามสง่าของเขาไปได้

เห็นเขาหัวเราะเสียงดังเช่นนี้ และต่อสู้อย่างดุเดือดเผ็ดมันเช่นนี้ จึงสามารถสัมผัสได้ถึงปณิธานการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขา ดวงตางดงามของฉาจิ่นเปลี่ยนไปไม่เข้าใจขึ้นมา

ชายหนุ่มดุจดังเซียนตกสวรรค์ พลังยิ่งใหญ่ดังกระทิงบุก!

หันไปมองพยัคฆ์เพลิงเนตรครามอีกครั้ง ถึงแม้ความดุดันยังคงมีอยู่เช่นเดิม ทว่าบนขนขาวดังหิมะนั้นมีรอยหมัดฟกช้ำน่าสยดสยองปรากฏหลายแห่ง บางครั้งยังส่งเสียงร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด สั่นสะเทือนไปทั้งภูเขาไพรพนา ดินทรายปลิวว่อน

ฉันพลันนัยน์ตาสีเขียวมรกตของสัตว์อสูรตนนี้ก็เปล่งประกายอำมหิตออกมา ขนทั่วทั้งร่างราวกับถูกแผดเผา เพลิงไฟลุกโชติช่วง พลังของมันระเบิดสูงขึ้นในทันใด

ชั่วขณะนั้นเอง มันคล้ายกับกลายร่างเป็นดวงตะวันอีกดวง ปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า ส่องสว่างพิภพภูพนา ขับไล่ไอหมอกที่แน่นหนา

เมฆาและวายุเปลี่ยนสี

“โฮกกก!!!”

พยัคฆ์เพลิงเนตรครามเงยหน้าร้องคำราม ในฉับพลันร่างที่คล้ายกับดวงตะวันแผดเผาก็กระโจนเข้าหาซูอี้

โดยไม่ต้องสงสัย สัตว์อสูรตนนี้ถูกบีบคั้นจนร้อนรนขึ้นมาแล้ว มันกำลังแสดงฤทธิ์เดชขั้นสุดท้าย

ระหว่างนั้น ขณะที่ร่างของมันอยู่กลางอากาศ ปรากฏมีเงาเสมือนขนาดใหญ่ราวกับแผ่นฟ้าเหยียบหมู่ดาว ยิ่งใหญ่จนเกินจินตนาการ ดุจดังสัตว์เทพในคำเล่าขาน น่ากลัวอย่างไร้ขอบเขต!

“นี่คือตัวอะไร?”

ร่างอรชรของฉาจิ่นสั่นระริก เข่าสองข้างอ่อนยวบ ในใจเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

แทบจะขณะเดียวกัน ลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีดำขลับของซูอี้ แสงไฟร้อนแรงดวงหนึ่งผุดขึ้น มิน่าเล่า เจ้าสัตว์เดรัจฉานนี้จึงสามารถบังคับควบคุมอัคคีเทพได้ ที่แท้เป็นเพราะในร่างของมันมีสายเลือดเจือจางของ ‘ซวนหนี’*[1] นั่นเอง…

ซวนหนี ถือเป็นหนึ่งใน ‘สิบแปดสัตว์เทพ’ ของเก้ามหาแดนดิน

รูปร่างของมันคล้ายกับสิงโต ชอบกินไฟ มีพลังมหาศาล สามารถควบคุมอัสนีพิฆาตธรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่ำชองวิถีแห่งเมฆหมอกบังตา

‘จักรพรรดิหมอก’ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเก้ามหาแดนดิน มีร่างเดิมเป็นสัตว์อสูรผู้มีสายโลหิตของซวนหนีที่ฝึกตนจนถึงระดับสุดยอด

ถึงแม้พยัคฆ์เพลิงเนตรครามตรงหน้าตนนี้จะมีสายเลือดของซวนหนีเพียงน้อยนิด ทว่าในอาณาจักรภูมิภพดังเช่นอาณาจักรต้าโจวเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นตัวตนที่หาได้ยากยิ่งในบรรดาสัตว์อสูรขั้นที่เก้า

ชั่วขณะนี้ ซูอี้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่พุ่งปะทะเข้ามาแล้วเช่นกัน รู้สึกเจ็บแสบไปทั่วร่าง รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายแห่งอันตรายอย่างที่สุด

เป็นเพราะกลิ่นอายแห่งอันตรายอย่างที่สุดนี้เองที่กระตุ้นลมปราณขับกระชับไปทั่วทั้งร่างอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน เลือดลมภายในกายพุ่งสูงราวกับมหาสมุทรสั่นสะเทือน

ฉับพลัน ทั้งหนึ่งร้อยแปดจุดภายในร่างราวกับได้รับการกระตุ้นอย่างแรง แต่ละจุดเดือดพล่านราวกับคลื่นขนาดเล็ก

“ดี!”

ช่วงเวลาที่ซูอี้กำลังรอคอยก็คือช่วงเวลานี้

เขาหัวเราะเสียงดังออกมา แขนเสื้อพองโต แสงลี้ลับหนึ่งร้อยแปดลำยิงทะลุออกจากร่างสูงโปร่งโดยพร้อมเพรียงกัน

แต่ละลำยิงออกมาราวกับสายรุ้งแห่งแสงดาบ พุ่งทะลุสู่ชั้นสรวงสวรรค์ ส่งเสียงดังกึกก้อง เปล่งแสงเงาดาบออกมาเป็นระลอกกลางอากาศ เฉิดฉายเป็นประกาย กระเพื่อมราวระลอกคลื่น วิจิตรตระการตา

มองดูไกล ๆ ร่างของเขาราวกับเทพเทวา มีเงาดาบแสงลี้ลับอันวิจิตรตระการตาล้อมรอบอยู่ตรงกลาง ภาพเหตุการณ์ประหลาดเช่นนั้นเจิดจำรัสท่ามกลางความมืดมิด

ครืน!

พยัคฆ์เพลิงเนตรครามพุ่งเข้าหาราวกับตะวันแดงขับเคลื่อน เงาเสมือนบนตัวราวกับกำลังจะดูดกลืนผืนแผ่นดินตรงนี้

ทว่าขณะที่สัมผัสกับเงาดาบแสงลี้ลับหนึ่งร้อยแปดลำนั้นแล้ว เงาเสมือนขนาดใหญ่ของซวนหนีกลับแตกสลายประดุจฟองน้ำในชั่วพริบตา

พยัคฆ์เพลิงเนตรครามที่อยู่ในอาการโกรธเกรี้ยวถึงกับสะดุ้งสุดตัว รู้สึกได้ถึงอันตราย

แทบจะขณะเดียวกัน ซูอี้ยกมือขึ้นทำท่ากดลง

ขณะที่เมฆบางลมเบา

ก็เห็น…

ลำตัวยาวใหญ่นับหลายวาของพยัคฆ์เพลิงเนตรครามตนนั้นสะดุดหยุดนิ่ง ถัดจากนั้นจึงกระแทกลงกับพื้นเสียงดังกึกก้องราวกับถูกภูเขาเทพโบราณกดทับ

พื้นปฐพีถูกกระแทกจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ หินดินแตกกระจุย

พยัคฆ์เพลิงเนตรครามพยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้น สุดท้ายกลับทำได้เพียงส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บใจออกมา สุดท้ายล้มลงนอนแน่นิ่งไปอีกครั้ง ขนทั่วร่างของมันหมองมัวอับแสง โลหิตสีแดงไหลซึมออกมาจากผิว กระดูกเอ็นในร่างขาดสะบั้นไม่รู้กี่ท่อน!

เพียงพลังฝ่ามือเดียวก็สามารถสยบสัตว์อสูรขั้นที่เก้าซึ่งมีพลังเปรียบได้กับปรมาจารย์ขั้นห้าจนราบคาบ!

หันไปมองดูซูอี้อีกครั้ง ร่างของเขางามสง่า แสงเงาดาบสี่ทิศหมุนเวียนเปลี่ยนสลับระยิบระยับงดงามราวกับเทพเซียน

ภาพเช่นนั้นทำให้ฉาจิ่นถึงกับนิ่งตะลึงงันอยู่ตรงนั้น ในใจเต็มไปด้วยความครั่นคร้ามยำเกรง

ภาพแห่งความยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตเช่นนี้ เพียงพอจะทำให้นางลืมไม่ลงไปทั้งชาติ

น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!

ราวกับเซียนสำแดงเดชสยบสัตว์อสูรผู้ยิ่งใหญ่ ราวกับไม่ใช่คนในโลก ไม่มีใครคนใดในโลกสามารถทัดเทียมได้

“ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว…”

เวลานี้ ความพึงพอใจยากจะพรรณนาผุดขึ้นในใจของซูอี้

ในร่างของเขา หนึ่งร้อยแปดจุดล้ำลึกราวกับดินแดนซ่อนเร้นขนาดเล็กที่ส่องประกายเฉิดฉายใสสว่างระยิบระยับ ในดินแดนซ่อนเร้นมีปรากฏการณ์ลึกลับซับซ้อนถักทอ ในความคลุมเครือเต็มไปด้วยความลึกลับยากจะคาดเดา

นี่ก็คือ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’!

ในชาติที่แล้ว ถึงแม้ซูอี้จะฝึกฝนเคล็ดวิชามากมายจนชำนาญและช่ำชอง ทว่ามีเพียงแค่เจ็ดสิบสองจุดเท่านั้นที่ถูกเปิดออก

ความบกพร่องนี้ทำให้ตอนที่เขาอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิต้องสูญเสียสมบัติล้ำค่าไปมากมายนับไม่ถ้วนจึงจะพอชดเชยการฝึกฝนกลับคืนมาได้บ้าง ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังมีผลกระทบต่อรากปฐมของการฝึกในช่วงแรกสุดอยู่ดี

ทว่าเวลานี้ ในช่วงระหว่างที่ห้ำหั่นกับพยัคฆ์เพลิงเนตรคราม เขาจับโอกาสไว้ไม่ปล่อย บังคับทั้งหนึ่งร้อยแปดจุดให้เปิดออก!

จุดล้ำลึกแต่ละจุดเปรียบเสมือนดินแดนซ่อนเร้นขนาดเล็ก มีปรากฏการณ์ที่ลึกลับซับซ้อนเกิดขึ้นภายใน มีพลังสามารถถักทอเชื่อมโยงฟ้าดิน ส่องสะท้อนแสงวิถีธรรมอันยิ่งใหญ่!

วิถียุทธ์ระดับนี้ กระทั่งในแผ่นดินเก้ามหาแดนดินก็ยังกล่าวได้ว่าไม่เคยปรากฏมีมาก่อนและจะไม่ปรากฏอีกในอนาคต

ด้วยเหตุนี้ ถือได้ว่าซูอี้ได้ฝึกฝนระยะต้นของขอบเขตรวบรวมลมปราณจนถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว ทั้งยังเพียบพร้อมครบถ้วนเกินกว่าเมื่อชาติก่อนในช่วงเวลาเดียวกันเสียด้วย!

“เพียงแค่ไม่รู้ว่า ปรากฏการณ์ลึกลับซับซ้อนจากการเปิดจุดเหล่านี้จะมีความมหัศจรรย์เช่นใด…”

ซูอี้กำลังสงบใจตัวเองเพื่อสัมผัสรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายตน ทันใดดาบเก้าคุมขังเกิดการสั่นสะเทือนอย่างประหลาด

ครู่ถัดมา หนึ่งร้อยแปดจุดในร่างของเขาก็ปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมาราวกับดวงดาว จากนั้นเคลื่อนไหวอย่างประหลาดเพื่อตอบรับการสั่นสะเทือนของดาบเก้าคุมขัง กลายเป็นการสั่นสะเทือนร่วมกันอย่างมหัศจรรย์

ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ซูอี้ไม่ทันตั้งตัว

เมื่อรู้สึกตัวก็พบว่าภายในแต่ละจุดที่คล้ายคลุมเคลือในตอนแรก ขณะนี้กำลังสะท้อนเงาเสมือนของดาบออกมา!

เงาเสมือนดาบแต่ละเงาเหมือนกับดาบเก้าคุมขังในกายเขาไม่ผิดเพี้ยน!

สิ่งเดียวที่แตกต่างออกไปคือ บนเงาเสมือนไม่มีโซ่ตรวนผนึก อีกทั้งวิถีดาบที่แสดงออกแต่ละเล่มก็เป็นเพียงแค่เงาเสมือนซึ่งแปลงมาจากการสะท้อนของแต่ละจุด

หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างว่าหนึ่งร้อยแปดเงาเสมือนดาบก็คือ ‘ปัญญา’ อันเกิดจากการสะท้อนของทั้งหนึ่งร้อยแปดจุดจากตัวซูอี้เอง

“วิถีดาบเคล็ดล้ำลึก ดินแดนซ่อนเร้นสำแดงเดช ปรากฏการณ์เช่นนี้มหัศจรรย์ยิ่งกว่าเมื่อสักครู่เสียอีก…”

ซูอี้สั่นสะท้านขึ้นมาในใจ

[1] ซวนหนี สัตว์ในตำนานของจีน มีรูปเป็นราชสีห์ ชอบสูบควันไฟ จึงไปอยู่ที่วัด มักพบเห็นรูปปั้นของซวนหนีตามวัดจีน บริเวณกระถางธูป และแท่นที่ตั้งบูชาพระพุทธรูป

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset