📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 154

บทที่ 154 - รักมากตั้งแต่อดีต เจ็บมากเมื่อต้องแยกจาก
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“ฉาจิ่น เจ้ายังไม่ไปชงชาอีก”

ซูอี้รู้สึกได้ว่าฉาจิ่นคล้ายกำลังมองเรื่องสนุกอยู่ และไม่ตื่นตัวในการเป็นสาวรับใช้คนหนึ่ง จึงอดที่จะส่งเสียงดุขึ้นมาไม่ได้

“เอ๋? อ๊ะ รับทราบเจ้าค่ะ” ฉาจิ่นรู้สึกประหม่าอยู่ในใจ ก่อนรีบเดินออกไป

รับชมเช่นนั้น ซูอี้จึงหันมองไปยังจู้กู่ชิงอีกครา เขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ด้วยฐานะของเจ้า ข้าเชื่อว่าการมาครั้งนี้ของเจ้าไม่ใช่มาเพื่อก่อเรื่อง ฉะนั้นเชิญเข้ามาดื่มชาเถิด”

จู้กู่ชิงมึนงง คิดพึมพำอยู่ในใจ …ว่าย่อมถูกต้องแล้ว ด้วยฐานะของนาง จะไปทะเลาะอะไรกับชายหนุ่มคนหนึ่ง สิ่งนี้อาจทำให้นางดูเหมือนไร้ความอดทนเกินไป

ในขณะเดียวกัน ซูอี้ยิ้มพลางลูบหัวเหวินหลิงเสวี่ย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เข้ามาพูดคุยกัน อย่ามัวยืนอยู่ด้านนอกเลย”

เหวินหลิงเสวี่ยยิ้มหวาน ส่งเสียงอืมรับคำออกมา

สามประโยคก่อนหน้าที่ใช้พูดจากับทั้งสามสาวงาม กลับเผยท่าทางที่ไม่เหมือนกันออกมาสามแบบ

สำหรับฉาจิ่น มันคือการตำหนิและการเหน็บแนม

สำหรับจู้กู่ชิง คือการถอยเพื่อก้าวไปข้างหน้า ในขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นความใจกว้าง และทำให้อีกฝ่ายยอมถอยลงไปอีกก้าวหนึ่ง

สำหรับเหวินหลิงเสวี่ย… มันก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก ทั้งหมดล้วนเป็นความรักและการทะนุถนอมที่มาจากใจ

และที่วิเศษสุดคือบรรยากาศที่ตึงเครียดเมื่อครู่พลันคลายลงในทันที

สำหรับซูอี้ หากเขาคิดอยากจะแก้ไขสถานการณ์เล็ก ๆ นี้ ล้วนทำได้อย่างสบาย ๆ

ภายในลานบ้าน

เมื่อเห็นฉาจิ่นวุ่นอยู่กับการต้มน้ำชงชา เหวินหลิงเสวี่ยจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “พี่สาว ให้ข้าทำเถอะ”

ขณะพูด นางก็พลันเดินเข้าไปจัดการทันทีโดยไม่รอคำตอบ

เมื่อมองสาวน้อยร่างบางนั่งต้มน้ำ ล้างชา และชงชาอย่างคล่องแคล่ว ฉาจิ่นอดที่จะละอายใจไม่ได้ แต่ก่อนนางคงสบายเกินไปใช่หรือไม่?

จู้กู่ชิงนั่งสบาย ๆ อยู่ตรงม้านั่งหินกลม ขับเน้นให้ชุดกระโปรงเข้ารูปกับสะโพกที่โค้งมนของนางเผยความงามของอิสตรีออกมา

นางไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงเผยสีหน้าที่เยือกเย็นเด็ดเดี่ยว แต่ความจริง ภายในใจขณะนี้กลับคล้ายกำลังนั่งอยู่บนพรมเข็ม*[1]

ถึงอย่างไร เมื่อวานก็เคยปะทะและขัดแย้งกับซูอี้ที่นี่ กระทั่งเกือบจะกระอักเลือดเพราะความโมโห อีกอย่างวันนี้นางก็เป็นคนมาหาเอง รสชาติของชีวิตเช่นนี้… ทำให้นางค่อนข้างจะอับอายขายหน้าเล็กน้อย

หากรู้ก่อนหน้านี้ ก็คงจะไม่ตามแม่สาวน้อยหลิงเสวี่ยเข้ามาหรอก!

มีเพียงซูอี้คนเดียวเท่านั้นที่เอนกายสบาย ๆ อยู่บนเก้าอี้หวาย และพิจารณาในใจเงียบ ๆ ว่าไว้ออกจากมหานครอวิ๋นเหอเมื่อใด ก็จะนำเก้าอี้หวายตัวนี้ไปด้วย ฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่แห่งใด ก็สามารถเอนกายได้ทุกเมื่อ…

ฉาจิ่นก้มหน้า รีบไปยืนอยู่ด้านข้าง ขณะเผยใบหน้าเหยเกและไม่พูดสิ่งใด

ในฐานะที่เป็นสาวรับใช้ กลับชงชาต้อนรับแขกไม่ได้ และประโยคที่ซูอี้ตำหนิเมื่อครู่ ก็ทำให้นางไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

ไม่นาน เหวินหลิงเสวี่ยก็เทน้ำชาใส่ถ้วยชาให้ทุกคน จากนั้นนางก็นั่งอยู่ด้านข้างซูอี้ และเอ่ยด้วยเสียงที่กังวาน “พี่เขย พี่เสี่ยวเฟิงกับน้องเสี่ยวหรานพวกเขาอยู่ไหนรึ?”

ซูอี้เอ่ยออกมาทันที “หลายวันมานี้ ที่นี่เจอแต่เรื่องอันตราย แม้ข้าจะไม่สนใจ แต่ไม่อาจไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของพวกเขา ฉะนั้นข้าจึงฝากฝังผู้อื่นให้ดูแลพวกเขาแทน”

เหวินหลิงเสวี่ยเอ่ยด้วยความตกใจ “เรื่องอันตรายอันใด?”

ประโยคนี้ ทำให้จู้กู่ชิงและฉาจิ่นต่างก็กังวลใจ

ก่อนหน้านี้ฉาจิ่นเคยพาหนานเหวินเซียงมาที่นี่ สุดท้ายปรมาจารย์หนานเหวินเซียงผู้นี้ก็ตายอยู่ที่แห่งนี้ แม้แต่นางก็เกือบจะไม่รอด

ส่วนจู้กู่ชิงก็เคยมาและปะทะกันเพราะความเข้าใจผิด จนเกือบต้องกระอักเลือดตายเนื่องจากถูกซูอี้ยั่วโมโห

สรุปแล้วล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องดี หากพูดออกไปจริง ๆ อาจทำให้พวกนางรู้สึกเก้อเขินและออกมาจากสถานการณ์นั้นไม่ได้

“เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว”

ซูอี้คร้านที่จะเอ่ยถึงเรื่องราวเหล่านั้น เขาหัวเราะเสียงดังและสังเกตเหวินหลิงเสวี่ย พลางครุ่นคิดก่อนเอ่ยถาม “เจ้าเล่า วันนี้แต่งตัวสวยมาหาข้าเพราะเรื่องอันใดกัน?”

“ข้า…”

เมื่อกล่าวถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ เหวินหลิงเสวี่ยก็ขมวดคิ้วด้วยความเศร้าทันที

จู้กู่ชิงที่อยู่ไม่ไกลจึงเอ่ยแทนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “วันนี้หลิงเสวี่ยจะเดินทางไปฝึกที่ตำหนักเทียนหยวนกับข้า นางมาเพื่ออำลาเจ้า”

ซูอี้ตกใจ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา

เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร คนอย่างจู้กู่ชิง ย่อมไม่ได้มาที่มหานครอวิ๋นเหอด้วยตัวเองเพื่อรับลูกศิษย์หรอก

คำตอบนั้นชัดเจนแล้ว นี่คือการจัดเตรียมของเหวินหลิงเจา!

เหวินหลิงเสวี่ยก้มหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พี่เขย ท่านอย่าคิดมากไป ข้าไปเพื่อฝึกก็เท่านั้น อีกอย่าง มีผู้อาวุโสกับท่านพี่ดูแลข้าอยู่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงอะไรข้ามากหรอก”

ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี รอข้าไปมหานครกุ่นโจวเมื่อไหร่ ข้าจะไปหาเจ้า”

เหวินหลิงเสวี่ยเอ่ยด้วยความโล่งอกขึ้นมาทันที “อืม!”

ซูอี้คิดเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยเสริม “ดี ข้าจะไปส่งเจ้าสักระยะก่อน”

จู้กู่ชิงที่กำลังจะปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ชายหนุ่มผู้นี้ฆ่าคนโดยไม่ไว้ชีวิตแล้ว นางก็กลืนคำพูดลงไปทันที

ครึ่งชั่วยามต่อมา

ด้านหน้าท่าเรือนอกเมือง ซูอี้มองตามเรือโดยสารที่เหวินหลิงเสวี่ยกับจู้กู่ชิงนั่งค่อย ๆ ห่างออกไป เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าอยู่ภายในใจ

แม้แต่หลิงเสวี่ยก็ไปแล้ว…

เช่นนั้นมหานครอวิ๋นเหอแห่งนี้ก็ไม่มีสิ่งใดเหลืออีกแล้ว?

ฉาจิ่นสังเกตเห็นอารมณ์มืดมนเล็กน้อยของซูอี้ นางอดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่เงียบ ๆ ชายหนุ่มผู้นี้คงจะไม่แอบชอบน้องสาวภรรยาเขาหรอกนะ?

แต่ความคิดเหล่านั้นก็กลับมาอีกครั้ง ที่จริงเหวินหลิงเสวี่ยเป็นเด็กผู้หญิงที่งดงามคนหนึ่ง ท่วงท่าที่งดงามเหล่านั้น มีน้อยมากบนโลกใบนี้

และไม่รู้ว่า พี่สาวนางจะงดงามมากเพียงใด…

ขณะที่นางกำลังคิดกับตัวเองอยู่ ซูอี้ได้หมุนตัวเดินออกไปแล้ว

เมื่อเห็นเขาเดินออกไป ฉาจิ่นก็รีบตามไปทันที

…..

“หลิงเสวี่ย เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องความแค้นระหว่างข้ากับซูอี้ให้กับพี่สาวเจ้าฟังเชียว”

ในเรือโดยสารบนแม่น้ำต้าฉาง จู้กู่ชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “หากนางรู้เข้า คงจะเกิดเรื่องวุ่นวายมาก”

เหวินหลิงเสวี่ยอดที่จะถามไม่ได้ “ผู้อาวุโส ท่านกับพี่เขยข้ามีเรื่องอะไรกันแน่?”

จู้กู่ชิงส่ายหน้า “เรื่องนี้เจ้าไม่ควรรู้”

เมื่อพูดจบ นางก็ถอนหายใจออกมาโนlวลกูดoทคอม

ตอนแรก นางเพียงคิดว่าซูอี้เป็นแค่เขยแต่งเข้าบ้านตระกูลเหวิน จึงทั้งดูถูกเหยียดหยาม และยังเตือนเหวินหลิงเสวี่ยให้สนิทสนมกับอีกฝ่ายน้อยลง

แต่ไม่คิดเลย… ว่าลูกเขยตระกูลเหวินผู้นี้จะเป็นคนเดียวกันกับชายหนุ่มที่อยู่เรือนเงียบสุขสงบ!!

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหวินหลิงเสวี่ย ทำให้จู้กู่ชิงรู้สึกเก้อเขินไม่ได้ กระทั่งรู้สึกขายหน้าเล็กน้อย หรือว่าเจ้าเด็กคนนี้จะเป็นดาวหายนะของนาง เพราะทุกครั้งที่เจอมักทำให้นางมวนท้องจนหายใจไม่ออก!

“ผู้อาวุโส โปรดวางใจ ข้าไม่บอกอะไรกับพี่สาวแน่นอน”

เหวินหลิงเสวี่ยเอ่ยเสียงเบา “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างท่านกับพี่เขยข้า แต่ข้ากล้ารับรองว่า พี่เขยเขาไม่ใช่คนไม่ดีแน่”

จู้กู่ชิงตกใจไปครู่หนึ่ง ก่อนถามขึ้นทันที “ตอนนั้น คนเช่นเขาแต่งเข้ามาในตระกูลพวกเจ้าได้อย่างไร?”

“เอ่อ เรื่องนี้ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก” เหวินหลิงเสวี่ยส่ายหน้า

“ชายหนุ่มที่สูญเสียการฝึกฝนคนหนึ่ง กลับเปลี่ยนแปลงตัวเอง จนกลายเป็นผู้มีฝีมือแข็งแกร่งมากคนหนึ่ง ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ”

จู้กู่ชิงขมวดคิ้ว “ใช่แล้ว เรื่องนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งบอกพี่เจ้า”

“เพราะเหตุใดหรือ?” เหวินหลิงเสวี่ยมึนงง

จู้กู่ชิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ กล่าวว่า “ข้ากลัวนางจะรับเรื่องเหล่านี้ไม่ไหว เจ้ายังไม่รู้รึ พี่สาวเจ้ามีนิสัยเย็นชาและภูมิใจในตัวเองมาก นางเกลียดการแต่งงานที่อัปยศนี้ยิ่ง หากนางรู้ว่าพี่เขยเจ้าในวันนี้ไม่ใช่พี่เขยคนเดิมในตอนนั้น นางควรจะรู้สึกเช่นไร?”

เหวินหลิงเสวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “แต่เรื่องนี้คงจะปิดบังไปตลอดไม่ได้”

“ปิดบังได้นานเท่าไรก็ปิดบังเท่านั้น ตอนนี้พี่สาวเจ้ากำลังตั้งใจฝึกฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีในการฝึกให้บรรลุได้สูงขึ้น ข้าไม่อยากให้เสียเวลาไปกับเรื่องพวกนี้” จู้กู่ชิงเอ่ยด้วยความจริงจัง

ก่อนที่จะมามหานครอวิ๋นเหอ นางได้ช่วยเหวินหลิงเจาช่วงชิงสิทธิ์การทดสอบที่ต้องไปยัง หุบเขาเร้นลับแห่งหนึ่ง

หนึ่งเดือนถัดจากนี้ เมื่อเริ่มการทดสอบที่หุบเขาเร้นลับ ด้วยความฉลาดของเหวินหลิงเจา และหากโชคดี ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่านางจะสามารถบรรลุขั้นสาม แปรสภาพ ในขอบเขตรวบรวมลมปราณ

หากเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่ารากฐานมั่นคงแล้ว และจากนี้ไปก็จะเข้าไปสู่เส้นทางการเป็นปรมาจารย์ได้โดยง่าย!

เหวินหลิงเสวี่ยเบะปาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาบาง “เหตุใดถึงรู้สึกว่ายิ่งโตเรื่องราวก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นนะ”

จู้กู่ชิงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “นี่แหละคือการเติบโต”

…..

“ท่านมู่ การเดินทางไปมหานครกุ่นโจวในครั้งนี้ หากราบรื่นด้วยดี ก็จะทำให้เจ้าพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง และกลายเป็นเจ้าหน้าที่ชายแดนในเมืองแห่งนี้”

ณ ท่าเรือนอกเมือง มีกลุ่มคนปรากฏตัวขึ้น เป็นกลุ่มคนของโจวจือหลีที่ปรากฏออกมา

“ต้องขอบพระทัยองค์ชายหกที่คอยค้ำชูข้าน้อย”

ผู้ว่าเขตปกครองหย่งเหอ มู่จงถิงยิ้มและคำนับ

โจวจือหลีเอ่ยด้วยความเคร่งขรึม “ในตอนนี้ยังเร็วนักที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ การจัด ‘งานเลี้ยงน้ำชา’ ในมหานครกุ่นโจวในอีกครึ่งเดือนนั้นสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นข้า หรือท่านมู่ ก็ไม่สามารถชะล่าใจได้”

งานเลี้ยงน้ำชามหานครกุ่นโจว!

มู่จงถิงกังวล และพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ

“เดิมทีที่ข้ามามหานครอวิ๋นเหอในครั้งนี้ ข้าตั้งใจจะดึงฉินเหวินเยวียนมารับใช้ข้างกายข้า แต่ใครจะคิดล่ะว่าชายแก่ผู้นี้จะโชคร้ายถูกคุณชายซูฆ่าตายแล้ว” โจวจือหลีเอ่ยด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

มู่จงถิงเอ่ย “เดิมทีฉินเหวินเยวียนเป็นคนขององค์ชายรอง หากเขาตายไปก็ไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร”

ชั่วครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยด้วยความลังเล “องค์ชายหก ชายชราขอริอาจถาม เหตุใดท่านจึงไม่ดึงคุณชายซูมารับใช้ข้างกายหรือพ่ะย่ะค่ะ? ด้วยความสามารถราวกับเทพเซียนที่ถูกเนรเทศลงมาจากสวรรค์เช่นนี้ หากเขาสามารถช่วยฝ่าบาทได้ เหตุใดงานใหญ่จึงจะทำไม่ได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

โจวจือหลีถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าก็บอกอยู่ว่าเขาเหมือนเทพเซียนที่ถูกเนรเทศลงมาจากสวรรค์ เขาจะยินยอมให้ข้าใช้ได้อย่างไรกัน?”

มู่จงถิงเอ่ยด้วยความตกใจ “ฝ่าบาทอย่าได้ถอดใจไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ควรสนใจเรื่องที่ฝ่าบาทกลายเป็นเพื่อนกับคุณชายซูแล้ว และยังเก็บกวาดในสิ่งที่เขาทำถึงสองครั้ง ข้าน้อยเชื่อว่าเขาจะต้องรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่แน่ หากต่อแต่นี้ไปฝ่าบาทเจอเรื่องที่แก้ไขยาก คุณชายซูจะนิ่งดูดายได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”

โจวจือหลีถอนหายใจยาวออกมา “ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น”

“พูดจบหรือยัง?” ชิงจินที่อยู่ไม่ไกลนักเอ่ยขึ้นด้วยความเย็นชา

โจวจือหลียิ้ม รีบก้าวเท้าไปข้างหน้า “ท่านอาอย่าได้กังวลไป รอให้เรือมาถึง พวกเราก็จะรีบออกเดินทางทันที!”

หลังจากถูกซูอี้ตบที่ศาลาคลื่นซัดทรายในคืนนั้น ชิงจินก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง เยือกเย็นไม่พูดสิ่งใด และยังอารมณ์เสียมาก

ซึ่งเรื่องนี้ทำให้โจวจือหลีปวดหัวไปชั่วขณะหนึ่ง

ชิงจินเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยขึ้น “อาจารย์ข้าตอบจดหมายกลับมา ว่าอีกสามวันจากนี้ ให้ส่งคนไปมหานครกุ่นโจวเพื่อช่วยเหลือเจ้าในงานเลี้ยงน้ำชานั่น”

โจวจือหลีได้สติกลับมาทันที ดีใจจนเลิกคิ้วขึ้น “ท่านอา ขอริอาจถามท่าน ผู้มีฝีมือคนไหนกันที่จะมาช่วยข้า?”

ชิงจินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็จะรู้เอง”

โจวจือหลีพูดไม่ออก แต่ในใจนั้นลำพอง มีผู้มีฝีมือจากอาจารย์ของท่านอาเข้ามาช่วย การเดินทางไปมหานครกุ่นโจวในครั้ง เหตุใดเรื่องใหญ่ถึงจะทำไม่ได้กัน?

ชิงจินชำเลืองมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เจ้าอย่าดีใจเร็วนัก ด้วยอำนาจที่อยู่ในมือเซี่ยงเทียนชิว เขาไม่ยอมหลีกทางให้ผู้อื่นง่าย ๆ แน่ และด้วยความสุขุมของอีกฝ่าย เขาย่อมสังเกตเห็นบรรยากาศที่แปลกไป และเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่”

เซี่ยงเทียนชิว!

เจ้าแคว้นกุ่น!

ผู้มีอำนาจบัญชาการขุนนางทั่วแคว้นกุ่น ที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรต้าโจว!

[1] นั่งอยู่บนพรมเข็ม หมายถึงจิตใจพะว้าพะวงไม่เป็นสุข

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset