📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 142

บทที่ 142 - แกะขาวและหมาป่า
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

หลังจากประโยคนั้นเอ่ยออกจากปากหลิวเซียงหลาน บรรยากาศในลานบ้านกลายเป็นมืดหม่น

“ผู้เฒ่าพรต ไม่มีอะไรต้องกังวล มีเพียงสี่คนในลานนี้ สองคนที่อ่อนแอสุดซ่อนอยู่ในเรือน ส่วนอีกสองที่เหลือ…”

ท่วงท่าของฉู่ซื่อหลางยังคงเกียจคร้าน แต่แววตากลับเริงร่า “ผู้ที่เปิดประตูให้เราก็แค่คนหนุ่มขอบเขตโคจรโลหิตขั้นปลาย ส่วนเจ้าหนุ่มในศาลานั่น สำเร็จขั้นต้นของขอบเขตรวบรวมลมปราณ ไม่มีสิ่งใดให้เราต้องกังวลเลย”

หลังจากหยุดชั่วคราว เขาชี้ไปที่น้ำเต้าปลุกวิญญาณข้างเอวของซูอี้ “นั่นคือสมบัติที่เวิงอวิ๋นฉีขโมยมาจากเราไม่ใช่หรือ สรุปได้จากสิ่งนี้ว่าพวกเขาต้องมีความสัมพันธ์กับเวิงอวิ๋นฉีเป็นแน่แท้ นับได้ว่าคราวนี้เรามาถูกทางแล้ว!”

หลังจากพูดจบ ฉู่ซื่อหลางนั่งลงบนม้านั่งตามอัธยาศัย ยืดเอวของเขาอย่างเกียจคร้าน ท่วงท่าผ่อนคลายขึ้นเรื่อย ๆ

ไม่ต้องบอกกล่าวก็ทราบได้ ตัวเขาคิดอ่านว่าตนเป็นนายของที่นี่แล้ว

ท่าทางที่ดูผ่อนคลาย นั้นแสดงถึงความลำพองและกำชัย

“หนุ่มสาวทั้งสี่นี้ไม่มีทางคุกคามเราได้แน่”

ดวงตาที่เย้ายวนของหลิวเซียงหลานกวาดไปรอบ ๆ ก่อนจะหัวเราะอย่างแผ่วเบา

รอยยิ้มบนใบหน้าของนักพรตเสวี่ยเหิงค่อยจางลง เขาถอนหายใจยาว แต่ยังไม่ลืมจะเอ่ยเตือน “อย่าได้หยาบคาย นึกถึงคำพูดก่อนหน้าของข้าด้วย พวกเจ้าทั้งสองต้องสุภาพ อย่าทำให้สหายน้อยเหล่านี้ต้องตื่นกลัว”

ฉู่ซื่อหลางพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

หลิวเซียงหลานขยิบตาให้หวงเฉียนจวิน พร้อมกับเผยยิ้มสร้างความลุ่มหลง “สหายน้อยผู้นี้ ช่างละอ่อนและไร้เดียงสานับได้ว่าถูกใจข้า เมื่อใดธุระของข้าจบ เราออกไปหาที่ส่วนตัวร่ำสุรากันหน่อยเป็นไร?”

ครั้งพูดจบ นางจงใจยืดเอวเพรียวบางตั้งตรง เน้นเผยหน้าอกหน้าใจที่นางภูมิใจเพื่อยั่วยวน

ฉากนี้ทำให้ฉู่ซื่อหลางตาแทบถลน เขากุมส่วนสงวนของตนอย่างไม่รู้ตัว พลางนึกสาปแช่งอยู่ในใจ!

“พวกเจ้ามาจากพรรคมารหยินใช่หรือไม่?”

หวงเฉียนจวินถามด้วยความประหลาดใจ

แลเห็นสีหน้าประหลาดใจของเด็กหนุ่ม หลิวเซียงหลานจึงอดไม่ได้ที่จะป้องปากหัวเราะ “ไม่ผิด เวิงอวิ๋นฉีผู้นั้นไม่เคยเอ่ยถึงเราให้เจ้าฟังเลยหรือไร?”

หวงเฉียนจวินส่ายหัว

“เจ้าออกไปก่อน”

ในศาลา ซูอี้เอ่ยคำสั่งอย่างเฉยชา

หวงเฉียนจวินพยักหน้ารับก่อนจะรีบกลับไปที่ห้อง

นักพรตเสวี่ยเหิง และคนอื่น ๆ ต่างไม่ได้ห้ามปราม พวกเขายังคงทำตัวตามสบายและสงบ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้กังวลว่าหนุ่มสาวเหล่านี้จะสร้างปัญหาใดให้พวกเขาได้

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอไปคุยกับสหายน้อยผู้นั้นตามลำพังก่อนก็แล้วกัน”

หลิวเซียงหลานกัดริมฝีปากสีแดงของนางแผ่วเบา พลางขยิบตาราวกับส่งสัญญาณให้ทุกคนรู้

“ทำธุระให้เสร็จก่อน!” นักพรตเสวี่ยเหิงขมวดคิ้วและตำหนิ

ทันใดนั้น เขาหันกลับไปมองยังซูอี้และถามด้วยรอยยิ้มว่า “สหายน้อย เจ้าช่วยบอกเราเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเจ้ากับเวิงอวิ๋นฉีได้หรือไม่”

ซูอี้ตอบกลับอย่างเฉยชา “ข้าก็รอเขาอยู่เหมือนกัน ทว่ายังไม่ทันจะได้ความ พวกเจ้าก็มากันเสียก่อน”

“รอเขา?” คำตอบนี้ทำนักพรตเสวี่ยเหิงอึ้งไปครู่ “เขาจะมาเร็ว ๆ นี้งั้นหรือ?”

“ข้าไม่รู้”

ฉับพลัน ซูอี้เอ่ยถามกลับ “พวกเจ้าพบที่นี่ได้อย่างไร?”

“แน่นอน เราสะกดรอยเขามา” ฉู่ซื่อหลางพูดอย่างเกียจคร้าน

ซูอี้พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีวิธีการลับที่สามารถจับร่องรอยของเวิงอวิ๋นฉีได้ ไม่ต้องสงสัยเลย”

ฉู่ซื่อหลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าเด็กนี่มีสายตาอยู่บ้าง แต่วิธีนี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่เชี่ยวชาญ ผู้อื่นไม่มีทางลอกเลียนแบบ”

“ป่วยไข้ หุบปาก!”

นักพรตเสวี่ยเหิงขมวดคิ้วและตำหนิอีกครา

ฉู่ซื่อหลางยิ้มอย่างไม่พอใจ

“สหายน้อย เจ้าดูเหมือนไม่กลัวพวกเราเลย ทำไมกัน?”

นักพรตเสวี่ยเหิงอดไม่ได้ที่จะพูด เขารู้สึกว่าซูอี้ดูสงบเกินไปอย่างไม่ควรเป็น

“เหตุใดข้าจึงต้องกลัว?”

ซูอี้ยิ้ม “ไม่เลย ข้ามีความสุขเกินจะเอ่ยต่างหาก”

ฉู่ซื่อหลางและหลิวเซียงหลานสังเกตเห็นสิ่งผิดแปลกอย่างชัดเจน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองยังซูอี้

นักพรตเสวี่ยเหิงกะพริบตาถามกลับอย่างฉงน “มีความสุข?”

ซูอี้หยิบจอกสุราขึ้นดื่มแล้วพูดว่า “ข้ากังวลอยู่นานว่าจะหาเวิงอวิ๋นฉีเจอได้อย่างไร แต่หนึ่งในคนของเจ้ามีวิธีลับในการจับร่องรอยของเขาเช่นนี้ ข้าไม่ควรมีความสุขงั้นหรือ?”

นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่น ๆ ตกตะลึงเล็กน้อย พวกเขาบางคนยังไม่เข้าใจ

เกิดอะไรขึ้น?

ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนของเวิงอวิ๋นฉีไม่ใช่หรือ?

ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูด้านนอกลานบ้านกลับดังขึ้น

“คุณชายซูอยู่หรือไม่?”

เสียงที่หนักแน่นและหยาบกร้านดังขึ้นนอกลานบ้าน

นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่น ๆ ต่างแข็งค้าง เมื่อฟังเสียงแล้วนั่นไม่ใช่เสียงเวิงอวิ๋นฉีอย่างแน่นอน แล้วเช่นนั้นมันเป็นเสียงของใคร?

“ประตูไม่ได้ลงกลอน ผู้บัญชาการจาง เชิญเข้ามาได้ตามสะดวก”

ซูอี้ตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ

เขายังแปลกใจเล็กน้อย ว่าเหตุใดจางอี้เหรินถึงมาเวลานี้?

ประตูลานบ้านถูกผลักเปิดจากด้านนอกโนเวลกูดอทคอม

ทันใดหลังจากนั้น ร่างสองร่างพลันปรากฏขึ้น

ชายผู้เดินนำแต่งกายด้วยเครื่องแบบทหาร รูปร่างของเขาสูงตระหง่านราวกับขุนเขา ดวงตาส่องประกายประหนึ่งสายฟ้า

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจวิ้นอ๋องอู๋หลิง เฉินเจิ้ง!

ข้าง ๆ เขาคือจางอี้เหรินผู้มีรูปร่างสูงสง่า ผิวคล้ำเปล่งประกายคล้ายทองสัมฤทธิ์ ใบหน้าหยาบกร้านมากล้ำด้วยประสบการณ์

“บัดซบ!”

ทันทีที่แลเห็นเฉินเจิ้ง ฉู่ซื่อหลางซึ่งก่อนหน้านี้ยังเกียจคร้านและผ่อนคลาย ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นสั่นเทาราวถูกผีสิง รีบลุกขึ้นราวกับก้นถูกรนด้วยเพลิงร้อน และลนลานวิ่งไปด้านข้างนักพรตเสวี่ยเหิงอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างดุเดือด

“ฉ… เฉิน… เฉิน…”

ทางด้านหลิวเซียงหลานไม่ได้ดีไปกว่ากัน นางเหมือนหนูที่เห็นแมว ใบหน้าเผยออกด้วยความกลัวจนร่างกายอันบอบบางสั่นสะท้าน แม้แต่หนังศีรษะยังชาหนึบไม่อาจควบคุม ถ้อยคำที่เอ่ยออกฟังไม่ได้ความ

“เย็นไว้ก่อน!” นักพรตเสวี่ยเหิงตวาดเสียงต่ำ

ทว่าใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปเช่นกัน ร่างกายที่นั่งบนม้านั่งหินตึงแข็งเกร็ง กลั้นใจบังคับตัวเองให้อยู่ในความสงบ

จวิ้นอ๋องอู๋หลิง!

หนึ่งในบรรพจารย์ยุทธ์ผู้เลิศล้ำ หนึ่งในสิบแปดจวิ้นอ๋องแห่งต้าโจว!

ตัวตนอหังการผู้นี้ใครบ้างในต้าโจวจะไม่รู้จัก?

นักพรตเสวี่ยเหิงไม่เคยคาดคิดเลย เรือนนี้แม้จะแปลกไปบ้าง แต่คนใหญ่โตเช่นเฉินเจิ้งก็ไม่ควรมาปรากฏกายเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?

แต่ด้วยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็มาก แม้จะอึ้งไปชั่วขณะ เขาก็ยังสงบอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว พลางคิดเข้าข้างตัวเอง อีกฝ่ายอาจจะมาผิดที่ก็เป็นได้…

แลเห็นฉากดังกล่าวเมื่อผ่านประตูมา หว่างคิ้วของเฉินเจิ้งเริ่มขมวดเข้าหากัน

ดวงตาประหนึ่งสายฟ้าเฉียบ กวาดมองไปยังฉู่ซื่อหลางและคนอื่น ๆ

นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่นไม่กล้ามองตอบ แผ่นหลังสั่นเทาเย็นเยือก ไร้ซึ่งความเย่อหยิ่ง และความมั่นใจว่าจะชนะอีกต่อไป

“คุณชายซู”

จางอี้เหรินลอบสังเกตเห็นว่าบรรยากาศอึมครึมอยู่เช่นกัน แต่เขาหาได้สนใจไม่ เพียงยืนตรงจากระยะไกล ก่อนประสานมือคารวะแล้วกล่าวต่อซูอี้ทั้งรอยยิ้ม “เรามาไม่ได้แจ้งก่อน โปรดคุณชายซูอย่าได้ถือสา”

ซูอี้พยักหน้า “ผู้บัญชาการจาง ไม่ต้องเกรงใจ”

“ท่านผู้นี้คือจวิ้นอ๋องนายของข้า”

จางอี้เหรินแนะนำด้วยท่าทางเคร่งขรึม “นายท่าน นี่คือคุณชายซู”

เฉินเจิ้งมองไปที่ซูอี้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วประสานมือตนเองพลางเอ่ยออก “ผู้แซ่เฉินมาในวันนี้เพื่อขอบคุณคุณชายซู สำหรับเหตุการณ์บนเรือโดยสาร หากไม่ได้คุณชายซูลงมือคลี่คลายปัญหาในวันนั้น ตัวเฉินผู้นี้คงต้องโทษอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”

จบประโยคเขาโบกมือ “อี้เหริน นำของขวัญของเราออกมา”

จางอี้เหรินก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับกล่องหยกและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นกิ่งเขา ‘กวางอัคคีน้ำเงิน’ สัตว์อสูรระดับสี่ แม้ไม่ได้ล้ำค่านัก แต่เรามอบด้วยความจริงใจ หวังว่าคุณชายซูจะไม่รังเกียจรับเอาไว้”

จวิ้นอ๋องอู๋หลิงมาเพื่อมอบของขวัญด้วยตนเอง!?

ยิ่งไปกว่านั้น ของขวัญยังเป็นวัตถุวิญญาณจากสัตว์อสูรระดับสี่!

ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกัน? ทำไมเขาถึงมีใบหน้าที่ใหญ่โตเช่นนี้?

นักพรตเสวี่ยเหิงรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นมืดหม่นและประหม่าอย่างไม่อาจจะควบคุม

“ขอบคุณ”

ซูอี้ประสานมือ ก่อนจะชี้ไปยังที่นั่งในลานบ้าน “ท่านทั้งสอง โปรดนั่งลงก่อน”

เฉินเจิ้งและจางอี้เหรินเข้ามานั่งตามลำดับ

เมื่อเห็นซูอี้ถือกาน้ำชาเพื่อชงชา จางอี้เหรินพลันลุกขึ้นในทันทีและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายซู ให้ข้าทำแทนเถิด”

ซูอี้ไม่ได้ปฏิเสธ

“คุณชายซู สามคนนี้เป็นใครหรือ?”

เฉินเจิ้งมองไปที่นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่น

ในชั่วพริบตา นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่นต่างก็ตัวสั่นเทา หัวใจของพวกเขาแทบกระดอนถึงลำคอ ร่างกายแข็งเกร็งพร้อมจะต่อสู้

“คนเหล่านี้มาจากพรรคมารหยิน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นพวกเขา” ซูอี้กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

บรรยากาศชะงักงันอย่างกะทันหัน

ดวงตาของจางอี้เหรินส่องประกายตระหนักรู้

เฉินเจิ้งยังนั่งอยู่กับที่อย่างเงียบสงบ แต่สายฟ้าน่าสะพรึงสายหนึ่งปรากฏในดวงตาเขา

“ท่านเฉินเจิ้ง ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อสร้างความลำบากแก่คุณชายซู แต่เพื่อสอบถามเกี่ยวกับที่อยู่ของคนทรยศเวิงอวิ๋นฉี” นักพรตเสวี่ยเหิงรีบแก้ตัว

พลันหายใจเข้าลึก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “คุณชายซูสามารถยืนยันคำพูดของผู้น้อยนี้ได้เช่นกัน

ซูอี้หัวเราะและพูดว่า “แท้จริงแล้วข้าเองก็ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขาเพื่อค้นหาเวิงอวิ๋นฉีอยู่เช่นกัน”

เฉินเจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “ข้าขอบังอาจถามคุณชาย เวิงอวิ๋นฉีผู้นั้นมันคือใคร?”

ซูอี้เอ่ยตอบอย่างไร้อารมณ์ “เป็นผู้ทรยศคนหนึ่งจากพรรคมารหยิน เขามีบางอย่างที่ข้าต้องการ”

เฉินเจิ้งเข้าใจอย่างคลุมเครือและกล่าวว่า “เช่นนั้นแล้ว สามคนนี้ตกลงจะช่วยหรือไม่?”

นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่นตอบอย่างรวดเร็ว “แน่นอนว่าเรายินดี!”

เฉินเจิ้งเกียจคร้านเกินกว่าจะสนใจตัวตนต่ำต้อยทั้งสามตัวนี้

เขามองย้อนกลับไปที่ซูอี้และกล่าวว่า “คุณชายซู เมื่อวานข้าเดินทางไปยังสำนักดาบชิงเหอ เพื่อเยี่ยมเยือนมู่ชางถู แต่กระนั้นข้าได้ยินข่าวหนึ่งมา เขาแพ้ให้กับชายหนุ่มลึกลับผู้หนึ่งเมื่อวันก่อน ขอบังอาจถามได้หรือไม่ ท่านทราบเรื่องใดเกี่ยวกับมันบ้างหรือเปล่า?”

ได้ยินคำถามนี้ จางอี้เหรินเงี่ยหูฟังอย่างสนใจเช่นกัน

ซูอี้เอ่ยตอบอย่างสงบ “หากถามว่าผู้ใดทำให้เขาก้มหัวยอมรับความพ่ายแพ้เมื่อวันก่อน คนผู้นั้นย่อมเป็นซูผู้นี้”

“อย่างที่คาดไว้ อี้เหรินเดาได้ถูกแล้ว”

เฉินเจิ้งอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยอารมณ์หลากหลาย จะไม่ตกใจได้อย่างไร จะมีสักกี่คนสามารถเอาชนะปรมาจารย์วิถียุทธ์เช่นมู่ชางถูได้?

ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลังจากพ่ายแพ้ มู่ชางถูจะก้าวลงจากตำแหน่งเจ้าสำนักในทันที เห็นได้ชัดว่าจิตใจบอบช้ำอย่างหนัก

“คุณชายซูทำให้ข้าประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ”

จางอี้เหรินรู้สึกประหลาดใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคารพอย่างชัดเจน

ครั้งได้ยินบทสนทนานี้ นักพรตเสวี่ยเหิงและคนอื่นคล้ายกับโดนฟ้าผ่า

เมื่อครู่นี้ พวกเขามองซูอี้เปรียบดังมด พูดคุยและหัวเราะได้อย่างอิสระ ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

ใครจะคิดว่าแท้จริงแล้ว เด็กหนุ่มผู้นี้กลับเป็นผู้ไร้เทียมทานในคราบแกะขาว?

“โชคดีที่ข้าเตือนคนอื่นให้สุภาพโดยตลอด ไม่เช่นนั้นแล้ววันนี้คงจบไม่สวยเป็นแน่…”

นักพรตเสวี่ยเหิงแอบชื่นชมยินดี

ฉู่ซื่อหลางกลืนน้ำลายอย่างแรง ขาสั่นไม่อาจควบคุม ในใจคิดว่า… หากเป็นไปได้อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดตอนนี้!

หลิวเซียงหลานอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ข้าไม่ควรมาที่นี่ตั้งแต่แรก!

โชคดีที่ขณะนี้ไม่มีใครสนใจทั้งสามคน ไม่ว่าจะเป็นซูอี้หรือเฉินเจิ้งต่างก็เพิกเฉยต่อพวกเขาโดยสิ้นเชิง

สิ่งนี้ทำให้พวกเขาสงบสติอารมณ์ได้เล็กน้อย แต่พวกเขายังรู้สึกละอายและขุ่นเคืองที่ผู้อื่นทำราวกับพวกเขาไร้ตัวตน

อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งสามคือผู้พิทักษ์แห่งพรรคมารหยิน สาขาแคว้นกุ่น พวกเขาไม่ควรเป็นตัวตนที่ใครควรจะมองข้ามหัวได้ง่ายไม่ใช่หรือ?

หลังจากพูดคุยกันสักพัก เฉินเจิ้งจึงถามขึ้น “คุณชายซู ข้าใคร่รู้อยากทราบว่าท่านสนใจจะไปหุบเขามารบุปผาโลหิตเพื่อล่าสัตว์อสูรบ้างหรือไม่?”

“ล่าสัตว์อสูร?” ซูอี้รู้สึกงงงวย

ก่อนที่เฉินเจิ้งจะพูดต่อ จางอี้เหรินพลันยิ้มและตั้งท่าจะอธิบายอย่างรวดเร็ว…

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset