‘เรือนเงียบสุขสงบ’
นี่คือชื่อที่ซูอี้ตั้งให้กับที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ของเขา
ความเรียบง่ายอันเงียบสงบ
ความสงบเป็นหนทางสู่ความสุข
เฝิงเสี่ยวหรานชื่นชอบบ้านหลังใหม่นี้มาก ร่างเพรียวบางวิ่งไปรอบลานบ้าน คล้ายกับผีเสื้อตัวน้อยที่กางปีกบินอย่างเริงร่า
ดวงตากลมโตเอ่อล้นด้วยความสุข
เฝิงเสี่ยวเฟิงพลอยมีความสุขไปด้วย
ใครบ้างจะไม่ชอบอยู่ในสวนงดงามพร้อมกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้?
เมื่อเทียบกับถนนต้นหลิวที่เขาและน้องสาวอาศัยอยู่ตั้งแต่ยังเยาว์ มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ราวกับเป็นคนละโลก
หวงเฉียนจวินคอยกำกับดูแลกลุ่มคนรับใช้ เพื่อขนของตกแต่งและสิ่งของจำเป็นในชีวิตที่เขาเพิ่งซื้อมาเข้าไปในบ้านอย่างคล่องแคล่ว
ซูอี้นั่งบนเก้าอี้หวายในศาลาที่ปกคลุมด้วยไม้เลื้อยซึ่งตกแต่งมาอย่างดีแล้ว พลางหลับตาลงอย่างสบายใจ
“ยังขาดคนรับใช้ไปบ้าง” ซูอี้นึกเสียใจเล็กน้อย
ระหว่างพักผ่อนหย่อนใจ หากมีสาวใช้ผู้เหมาะสมชงชาให้อย่างพิถีพิถัน และสาวใช้อีกคนบีบนวดบ่าและทุบไหล่ มีอาหารรสเลิศให้ลิ้มลอง สาวใช้ผู้งดงามอีกหนึ่งบรรเลงพิณด้วยฝีมือไม่ธรรมดา…
ไม่สิ ต้องมีเพิ่มอีก ควรจะมีสาวใช้ที่เฉลียวฉลาดคอยดูแลอาหารสามมื้อต่อวัน สาวใช้ที่คอยซักผ้าและพับผ้าห่ม ตัดแต่งแปลงดอกไม้และดูแลสวนผัก…
นอกจากนี้ ยังต้องมีสาวใช้รูปลักษณ์งดงามเป็นเลิศที่เข้าใจความต้องการเพียงสบตาครั้งเดียว เพื่อคอยรับฟังคำสั่งและปรนนิบัติได้ตลอดเวลา
แต่ตอนนี้…
ซูอี้เหลือบมองหวงเฉียนจวินที่กำลังยุ่งวุ่นวายในระยะไกล เขาลอบส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้
ยิ่งเขามีวินัยและขยันขันแข็งมากในการบ่มเพาะมากเพียงใด เขาก็ยิ่งเกียจคร้านในการใช้ชีวิตมากเท่านั้น
“ช่างเถอะ ข้าไม่ชอบสาวใช้ธรรมดา เป็นการดีกว่าที่จะไม่มองหาเลย”
ในที่สุดซูอี้ก็ล้มเลิกความคิดที่จะมองหากลุ่มสาวใช้มาคอยปรนนิบัติ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว หวงเฉียนจวินก็แยกออกจากกลุ่มคนรับใช้ชั่วคราว แล้วเดินตรงเข้ามาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “พี่ซู ดูเถิดว่าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่?”
ซูอี้ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน เหลือบมองรอบบริเวณและกล่าวออก “เจ้าคงไม่พลาดสิ่งใดหรอก”
หวงเฉียนจวินลังเลครู่หนึ่งและกล่าวออก “พี่ซู ท่านคิดว่าเราจำเป็นต้องหาพ่อครัวและคนรับใช้ดูแลงานบ้านหรือไม่?”
ซูอี้ส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็น ต่อไปข้าจะรักษาขาของศิษย์น้องเฟิง อย่าให้ใครเข้ามารบกวน”
หวงเฉียนจวินพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว
ซูอี้ลุกขึ้นยืน ก่อนเดินเข้าไปในห้องเฝิงเสี่ยวเฟิง
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ซูอี้ผลักประตูเดินออกมา สีหน้าเขาดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
ภายในห้อง เฝิงเสี่ยวเฟิงกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างสงบ
“พี่ซูอี้ ขาของพี่ชายเป็นอย่างไรบ้าง?” นอกห้อง เฝิงเสี่ยวหรานนั่งรออยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นซูอี้เดินออกมา นางเร่งรีบเอ่ยถามถ้อยคำชัดเจน
“ไม่เกินครึ่งเดือน พี่ชายของเจ้าจะสามารถลุกเดินได้อีกครั้ง” ซูอี้กล่าวยิ้มพลางลูบหัวเฝิงเสี่ยวหราน
ภายในห้องก่อนหน้านี้ เขากระตุ้นเข็มเงินด้วยปราณของตนเอง แล้วทำการฝังเข็มลงบนขาของเฝิงเสี่ยวเฟิงเพื่อปลุกพลังในขาอย่างสมบูรณ์
ในอีกสองสัปดาห์ต่อจากนี้ ขอแค่เฝิงเสี่ยวเฟิงกินสมุนไพรวิญญาณต่อเนื่อง กระดูก เลือด เนื้อและเส้นเอ็นที่เสียหายไปจะถูกสร้างขึ้นใหม่แน่นอน
“ดีเหลือเกิน!” ดวงตางดงามของเฝิงเสี่ยวหรานทอประกายด้วยความสุข
“เสี่ยวหราน ตามข้ามาที่ห้อง เดี๋ยวข้าจะสอนวิธีบ่มเพาะให้” ซูอี้เดินตรงไปยังห้องของตัวเอง
เฝิงเสี่ยวหรานตามออกไปอย่างเร่งรีบ และอดใจรอแทบไม่ไหว
รับชมฉากนี้ หวงเฉียนจวินที่กำลังพักผ่อนอยู่ในลานบ้านระยะไกลอดอิจฉาไม่ได้
ด้วยคำแนะนำส่วนตัวของพี่ซู ความสำเร็จในภายภาคหน้าด้านการบ่มเพาะของเด็กสาวได้ถูกกำหนดไว้แล้ว!
นับตั้งแต่วันนี้
ซูอี้และคนอื่นจึงได้ตั้งรกรากอยู่ใน ‘เรือนเงียบสุขสงบ’
ชีวิตของซูอี้นั้นเรียบง่าย นอกเหนือจากการฝึกฝน เขารักษาขาที่บาดเจ็บของเฝิงเสี่ยวเฟิงและแนะนำการบ่มเพาะแก่เฝิงเสี่ยวหราน
สำหรับอาหารสามมื้อต่อวัน หวงเฉียนจวินมีหน้าที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่
บางครั้งในกลางดึก ซูอี้จะพูดคุยกับชิงหว่าน เพื่อไถ่ถามการฝึกฝนล่าสุดและให้คำแนะนำ
บางสิ่งที่ทำให้ซูอี้โล่งใจขึ้นเล็กน้อยคือ ทุกครั้งที่ชิงหว่านเผชิญหน้ากับตนเอง แม้นางยังดูเขินอายและสงวนท่าที
แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้า เขาสัมผัสถึงความสนิทสนมที่มากขึ้นด้วย
สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เช้านี้ ซูอี้ตื่นขึ้นจากนั่งสมาธิ ดวงตาส่องประกายแวววับดูไม่แยแสอีกครั้ง
ปราณและโลหิตอันทรงพลังซึ่งโคจรไปมาราวกับมังกรพิโรธค่อย ๆ สงบลง
ขัดเกลากระดูกขั้นสมบูรณ์แบบ!
ด้วยฤทธิ์สมุนไพรวิญญาณที่กินเข้าไป ควบคู่กับผลลัพธ์น่าอัศจรรย์ของเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง ในที่สุดสุดซูอี้ก็มาถึงจุด ‘ขัดเกลากระดูกดั่งหยก กลั่นไขกระดูกดั่งน้ำค้างแข็ง’
ตอนนี้ เขาสำเร็จขอบเขตโคจรโลหิตขั้นสมบูรณ์แล้ว ซึ่งเรียกได้ว่าเหลืออีกเพียงก้าวเดียวเขาจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตที่สองของวิถียุทธ์ ขอบเขตรวบรวมลมปราณ!
หากลองผ่าเนื้อออก จะพบว่ากระดูกของเขาสว่างไสวราวกับกับหยก บริสุทธิ์ดุจผลึกใส แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า แม้แต่คมดาบก็ยังทำลายได้ยาก
ไขกระดูกด้านในยังใสราวกับน้ำค้างแข็ง ทั้งยังเปี่ยมล้นด้วยพลังงานอันพลุ่งพล่านน่าอัศจรรย์!
“ไม่เสียเปล่าที่ใช้สมุนไพรวิญญาณระดับหนึ่งห้าชนิดเพื่อฝึกฝนทุกวัน”
ริมฝีปากซูอี้ยกขึ้นอย่างพึงพอใจ
เงินทองเบิกหนทางความสำเร็จ ความมั่งคั่งจึงมาอันดับแรก
เมื่อมีสมุนไพรวิญญาณอย่างเพียงพอคอยเกื้อหนุน ซูอี้จึงไม่กังวลเรื่องการฝึกฝนอีกต่อไป
สิ่งสำคัญที่สุดคือรากฐานที่เขาสร้างขึ้นในขอบเขตโคจรโลหิต การขัดเกลาภายนอก ภายใน เส้นเอ็น และกระดูกทั้งสี่ขั้นนั้นดีกว่าตัวเขาช่วงเวลาเดียวกันในชีวิตกาลก่อนมาก!
การวางรากฐานเป็นหลักพื้นฐานของการบ่มเพาะยุทธ์
เคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดบ่มเพาะวางรากฐานวิถียุทธ์อันดับหนึ่งแห่งเก้ามหาแดนดิน และยิ่งเมื่อรวมกับประสบการณ์ตลอดหนึ่งแสนแปดพันปีในชาติก่อนของเขา ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้จึงอยู่นอกเหนือขอบเขตที่โลกอันแห้งแล้งนี้จะเข้าใจได้!
หากขอบเขตโคจรโลหิตเปรียบได้กับแม่น้ำ ทะเลสาบ หรือมหาสมุทร เช่นนั้นขอบเขตโคจรโลหิตของซูอี้ก็คือท้องนภาที่เต็มไปด้วยดวงดาราพร่างพราว
หนึ่งอยู่บนฟ้า หนึ่งอยู่บนดิน ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้
“ขั้นต่อไปคือขอบเขตรวบรวมลมปราณ”
ซูอี้ตั้งตารอคอย
ขอบเขตรวบรวมลมปราณแบ่งออกเป็นสามระดับ เบิกปัญญา เบิกชีพจร และแปรสภาพ ซึ่งแยกเป็นระดับต้น ระดับกลาง และระดับปลายตามลำดับ
ผู้ที่ไต่เต้ามาถึงระดับนี้ถือได้เป็นผู้บ่มเพาะระดับสูงสุดในสถานที่เล็กจ้อยเช่นเมืองกว่างหลิง
แต่ถ้าเป็นในมหานครอวิ๋นเหอ นับได้ว่าเป็นผู้บ่มเพาะชั้นแนวหน้าโนเวลกูดoทคอม
อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ในระดับขอบเขตบ่มเพาะเดียวกัน แต่ผู้บ่มเพาะแต่ละคนก็ยังมีความแตกต่างมากมายและความแข็งแกร่งก็เหลื่อมล้ำกัน
ความแตกต่างนี้เกิดจากวิธีการขัดเกลาภายนอก ภายใน เส้นเอ็น และกระดูกในขอบเขตโคจรโลหิตที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะการฝึกฝนขอบเขตรวบรวมลมปราณนั้นเกี่ยวข้องกับการเบิกจุดชีพจร และหลอมปราณ ซึ่งซับซ้อนและละเอียดอ่อนยิ่ง
เคล็ดการบ่มเพาะธรรมดา ย่อมยากที่จะทำให้ผู้บ่มเพาะไปถึงจุดที่เรียกว่า ‘ช่องเบิกกว้าง ชีพจรเข้าถึง เชื่อมฟ้าดินจากภายในสู่ภายนอก แปรเปลี่ยนหลอมรวม’
หากทำจุดนี้ไม่สำเร็จ ก็แทบไม่ต้องพูดถึงสภาวะ ‘แปรสภาพ’
เท่าที่ซูอี้รู้ ภายในต้าโจวมีเพียงตำหนักศึกษาสิบแห่ง เหล่าตระกูลใหญ่อันดับสูงสุด และกองทัพภายใต้คำสั่งของเหล่าอ๋องเท่านั้นที่จะมีเคล็ดการบ่มเพาะระดับสูงที่จะสามารถทำให้ผู้บ่มเพาะฝึกปรือจนถึงขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์ได้
ดังนั้นศิษย์สำนักดาบชิงเหอบางคนที่มีความทะเยอทะยานสูง มักหาหนทางพัฒนาตนเองแบบอื่นหลังจากบรรลุขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตโคจรโลหิต
เช่นการสอบเข้าตำหนักเทียนหยวนเพื่อฝึกฝน
หรือการเข้าร่วมกองทัพของเหล่าอ๋อง เพื่อแลกเปลี่ยนวิธีการบ่มเพาะขอบเขตรวบรวมลมปราณระดับสูงผ่านการใช้ความดีความชอบทางทหาร
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการไปตำหนักเทียนหยวนหรือเข้าร่วมกองทัพอ๋อง ทว่าน้อยคนนักจะโชคดี
คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ถูกกำหนดให้ฝึกฝนขอบเขตรวบรวมลมปราณด้วยเคล็ดบ่มเพาะธรรมดาเท่านั้น
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะขอบเขตรวบรวมลมปราณแตกต่างกันอย่างมาก
ตัวตนอันดับต้น ๆ ของขอบเขตรวบรวมลมปราณ สามารถสังหารตัวตนธรรมดาของขอบเขตเดียวกันได้อย่างง่ายดาย
หรือกระทั่งตัวประหลาดขอบเขตรวบรวมลมปราณบางคน ยังสามารถต่อสู้กับเหล่าปรมาจารย์ยุทธ์ได้อย่างทัดเทียม เช่น ชิงจิน
แน่นอนว่าสำหรับซูอี้ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สำคัญเลย
ในดินแดนต้าโจว เคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องสามารถสร้างรากฐานของสี่ขอบเขตแห่งวิถียุทธ์ได้อย่างยอดเยี่ยมหาใครเปรียบเทียบได้
ครั้งเซียวเทียนเชวี่ยรับชมซูอี้เผยการฝึกฝนบนริมฝั่งแม่น้ำต้าฉาง เขาตกใจจนแทบสิ้นสติ โดยสงสัยว่านี่คือเคล็ดวิชาของเทพเซียนในตำนาน!
“ร่างกายมนุษย์มีจุดชีพจรทั้งสิ้นเจ็ดร้อยยี่สิบจุด ในจำนวนนั้นมีจุดเบิกวิญญาณอยู่หนึ่งร้อยแปดจุด”
“การเปิดหนึ่งร้อยแปดจุดเบิกวิญญาณเหล่านี้ถูกเรียกอีกประการว่า ‘การเบิกวิญญาณ’ นั่นเอง”
“ในชีวิตก่อนหน้า แม้ว่าข้าจะพยายามเบิกวิญญาณตามจุดทั่วร่างกาย แต่ก็สำเร็จเพียงเจ็ดสิบสองจุดเท่านั้นที่สามารถหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณที่แท้จริง ข้อบกพร่องนี้ทำให้ข้าติดอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิ แม้ใช้สมบัติมากมายของฟ้าดิน ทว่าก็ไม่สามารถชดเชยได้…”
‘คราวนี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้เกิดข้อบกพร่องซ้ำรอยอีก!’ ซูอี้พึมพำในใจ
หากสำเร็จในการเบิกวิญญาณทั้งหนึ่งร้อยแปดจุด เช่นนั้นจะถูกเรียกได้ว่า ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’
ในเวลานั้น จุดเบิกวิญญาณแต่ละแห่งเปรียบเสมือนดินแดนขนาดเล็ก นิมิตน่าอัศจรรย์ก่อกำเนิด ซึ่งเชื่อมต่อพลังฟ้าดิน ส่องสว่างหนทางอันยิ่งใหญ่!
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จระดับนั้น แม้ว่าจะอยู่ในเก้ามหาแดนดิน ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในล้านที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในชีวิตก่อนหน้านี้ ในบรรดาศิษย์ทั้งเก้าของซูอี้ ภายใต้การชี้แนะของเขา มีเพียงศิษย์อายุน้อยที่สุดอย่างชิงถังเท่านั้นที่สามารถสำเร็จ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’
ในเวลานั้น ชิงถังอายุเพียงเจ็ดขวบ นางเข้ามาเป็นศิษย์ได้ไม่ถึงสามเดือน ก็ได้แสดงพรสวรรค์ที่ไร้ใครเปรียบออกมา
“เฮ้อ ชิงถัง…”
หวนนึกถึงเรื่องนี้ ซูอี้เผยยิ้มคล้ายกับเยาะเย้ยตัวเอง แววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความสับสน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาส่ายศีรษะ ละทิ้งความคิด
เมื่อลุกขึ้นจากเตียง ซูอี้ผลักประตูเดินออกไป
แสงอรุณเรืองรอง สายลมพัดผ่านแผ่วเบา เขย่าดอกไม้และต้นไม้ในลานบ้าน โชยกลิ่นหอมสดชื่นของพืชพรรณ
หวงเฉียนจวินกำลังวางตะเกียบบนโต๊ะหินในลานบ้าน ก่อนยกอาหารเช้าที่เป็นของนึ่งเข้ามา
ทุกเช้า ‘ภัตตาคารหอมเมฆา’ จากในเมืองจะส่งคนนำอาหารมาส่ง แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่หวงเฉียนจวินใช้เงินแก้ไขได้ง่ายดาย
ห่างไปไม่ไกล เฝิงเสี่ยวหรานผลักรถเข็นของเฝิงเสี่ยวเฟิงออกจากห้อง
เด็กสาวสวมเสื้อสีฟ้าและกระโปรงสีเหลือง รูปร่างบอบบางและไร้เดียงสาเผยเสน่ห์อันเหลือล้น ผิวพรรณละเอียดอ่อน ใบหน้าเล็กดั่งรูปสลักไม่ซีดเซียวเหมือนก่อนอีกต่อไป
เฝิงเสี่ยวเฟิงเองก็ดูอารมณ์ดีขึ้น ความหดหู่และหมองเศร้าระหว่างคิ้วถูกปัดเป่าออกไป ทั้งยังมีบรรยากาศที่ดูร่าเริง
รับชมฉากดังกล่าว ซูอี้จึงอดยิ้มออกมาไม่ได้
เช้าวันเดียวกัน
หยวนลั่วซีแต่งตัวดูดีอย่างเห็นได้ชัด ขณะขี่ม้าเข้ามาในถนนต้นหลิวพร้อมกับเฉิงอู้หย่ง
แสงอรุณสาดส่องลงบนเรือนร่างงามสง่าและองอาจของหญิงสาว ทำให้ทั่วร่างกายปกคลุมไปด้วยแสงเงาอันนุ่มนวลดูเปล่งประกาย
ในสถานที่ทรุดโทรม ซึ่งมีแต่เหล่าคนยากไร้รวมตัวกันเช่นนี้ การมาเยือนของนางจึงดูสะดุดตายิ่ง
ตอนที่ 104 ต้องรอนานไหมครับ?
เติมให้แล้วจ้า