เมื่อลงจากเวที ฉันกับมาจินซึงเดินไปยังโต๊ะแข่งที่ทีมงานกลุ่มย่อยสเทลเมตจัดไว้
ระหว่างตัวหมากรุกขนาดใหญ่ที่ยงเจกอนสร้างขึ้น โต๊ะแข่งหมากรุกถูกเรียงเป็นสองแถว
มองไปยังโต๊ะแข่ง ด้านบนมีนาฬิกาหมากรุกวางอยู่ มันทำให้ฉันได้ตระหนักว่า ตัวเองมาที่นี่เพื่อเล่นหมากรุก
‘นานแค่ไหนแล้วนะ…’
ครั้งสุดท้ายที่เล่นหมากรุกจนจบเกม คือนัดชิงชนะเลิศของ ‘เวิร์ลจูเนียร์เชสส์แชมเปี้ยนชิพ’ (World Junior Chess Championship) ที่จัดโดยสหพันธ์หมากรุกโลก (FIDE) ในช่วงฤดูร้อนขณะเรียนอยู่ชั้นม.3
หลังกลับจากทัวร์นาเมนต์ในเมืองเดลี ประเทศอินเดีย ซึ่งกินเวลานานสิบสี่วัน สิ่งแรกที่ฉันได้ยินคือข่าวคราวการเสียชีวิตของสมาชิกครอบครัวทุกคน
ทันทีหลังจากเกิดอุบัติเหตุ สิ่งสุดท้ายที่พ่อแม่พูดในตอนที่ยังเหลือสติเลือนรางก็คือ ‘อย่าบอกอึยชินนะ’ และโค้ชผู้อยู่กับฉันที่เดลีก็เคารพเจตจำนงนั้น
กว่าจะกลับถึงบ้าน พิธีศพก็จบลงไปแล้ว
สิ่งเดียวที่ฉันทำให้ครอบครัวได้คือการเยี่ยมเยียนห้องเก็บเถ้ากระดูก
‘ว่ากันตามตรง… มันไม่เกี่ยวกับหมากรุกเลย’
ถึงจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ต้องสั่งเสียแบบนั้น และทำไมโค้ชถึงต้องทำตาม
แต่ฉันรู้ดีว่าโศกนาฏกรรมของครอบครัว ไม่มีความเชื่อมโยงกับการแข่งหมากรุกเลย
อย่างไรก็ตาม สมองของฉันกลับมองข้ามการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลและเอาแต่ตำหนิตัวเอง จนไม่สามารถเล่นหมากรุกได้อีก
แต่ ณ บัดนี้ ฉันกลับมายื่นอยู่หน้ากระดานหมากรุกอีกครั้ง
“สวัสดีครับ!”
“สวัสดีครับ”
เสียงทักทายอันขึงขังของมาจินซึงที่ดูประหม่า ดึงสติฉันกลับมายังโลกความจริง
‘เป็นตัวละคร PC ที่แทบทุกบทพูดจะต้องมีเครื่องหมายตกใจ (!) ต่อท้าย… ตัวจริงก็เสียงดังเหมือนกันสินะ’
แม้มาจินซึงจะอายุมากกว่าฉัน แต่หมากรุกเป็นกีฬาของมารยาท จึงมีกฎที่ไม่ได้ระบุไว้แต่ทุกคนทราบโดยทั่วกันว่า จะต้องทักทายคู่แข่งด้วยความสุภาพ
หลังจากจับมือกันโดยมีโต๊ะหมากรุกคั่นกลาง ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตัวเอง
เมื่อได้เห็นตัวละคร PC ที่มีชะตากรรมต้องตายกำลังยืนอยู่ตรงหน้า ความขุ่นมัวก่อตัวในใจฉันทันที
‘เราเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตของโลกนี้จะเป็นยังไง’
ในโลกนี้มีแสงประทาน สกิล และเอนามีที่หลากหลายกว่าในเกมมาก
นอกจากนี้ยังมีการโจมตีที่สามารถทะลวงจุดอ่อนทางจิตใจของเพลเยอร์ได้โดยตรง
ถ้าเอาชนะแผลใจของตัวเองไม่ได้ สักวันอาจถูกสิ่งนั้นย้อนกลับมาเล่นงาน
หากฉันที่มีแสงประทาน ‘เส้นทางเพลเยอร์’ และสกิล ‘พลังโชคชะตา’ ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของ ‘จอมบงการ’ บรรดาตัวละคร PC คงยากที่จะหาทางรับมือ
‘จะปล่อยให้มีจุดอ่อนทางใจหลงเหลืออยู่ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องขจัดมันทิ้ง’
ไม่ว่าจะเฉลียวฉลาดและสุขุมแค่ไหน แต่แผลใจจะทำให้ร่างกายคนเราไม่ขยับตามไปที่คิด
แค่ได้มองกระดานหมากรุก ฉันก็ปวดหัวแล้ว
ตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัส 64 ช่องกำลังยุบเข้าพองออกอย่างต่อเนื่อง
“จะโยนเหรียญตัดสินเพื่อกำหนดสีของหมาก”
เสียงประกาศจากทีมงานช่วยดึงสติฉันกลับมา
ทีมงานเริ่มโยนเรียนที่ระลึกการแข่งหมากรุกที่จัดโดยกลุ่มย่อยสเทลเมต ซึ่งเหรียญเหล่านี้ก็แจกให้ผู้เข้าแข่งด้วยเช่นกัน
และผลลัพธ์ของการทอย
ฉันได้สีขาว ส่วนมาจินซึงได้สีดำ
ฉันเดินก่อน มาจินซึงเดินทีหลัง
“เริ่มแข่งได้”
เสียงของยงเจกอนดังกังวานทั่วลานแข่งหมากรุก แต่มาจินซึงกลับยังไม่เคลื่อนไหว
บนโต๊ะแข่งหมากรุกจะมีนาฬิกาหมากรุกวางอยู่ เพื่อแจ้งเวลาที่เหลือของผู้เข้าแข่งแต่ละคน
ตามธรรมเนียมแล้ว ฝ่ายที่เดินทีหลังจะต้องกดปุ่มบนนาฬิกาเพื่อเป็นสัญญาณเริ่มเกม
‘ทำไมถึงยังนิ่งล่ะ…’
จากบรรดาโต๊ะแข่งทั้งหมด มีแค่โต๊ะของฉันที่เวลาบนนาฬิกาหมากรุกยังไม่เดินถอยหลัง
นาฬิกาหมากรุกที่ใช้แข่งเป็นสไตล์กึ่งโบราณ ซึ่งผสมผสานระหว่างนาฬิกาดิจิทัลกับนาฬิกาทราย
อนึ่ง นาฬิกาหมากรุกทรายล้วนถูกยกเลิกไปตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 แล้ว
“เริ่มได้เลยนะ”
ยงเจกอนที่เคยยืนอยู่บนเวที เดินมาข้างหลังฉันเงียบๆ แล้วกล่าวพลางมองหน้ามาจินซึง
มาจินซึงผู้ดูเหมือนจะส่งเสียง ‘โอ๊ะ!’ อยู่ภายในใจ รีบเหยียดแขนไปหานาฬิกาหมากรุก
ระหว่างนั้น เขาดูสับสนว่าควรกดนาฬิกาฝั่งไหน ยงเจกอนจึงช่วยบอกใบ้ด้วยสายตา
‘มือใหม่สินะ…’
คำนึงจากความเคลื่อนไหวในเพลเมโก มาจินซึงคงเป็นพวกชอบใช้ร่างกายมากว่าสมอง
ถึงจะไม่สมองหินเท่ากับเม็งเฮียวทง แต่ก็คงไม่ชอบกีฬาที่ใช้สมองสักเท่าไร
แล้วมาจินซึงลงแข่งทัวร์นาเมนต์หมากรุกทำไม?
‘เพราะย็อมจุนยอล…’
ชัดเจนแล้ว เขาลงแข่งเพียงเพราะได้ยินว่าย็อมจุนยอลลงแข่งหมากรุก
มาจินซึงเป็นนักหมากรุกมือใหม่
มีความเป็นไปได้สูงว่าจะศึกษาวิธีเดินหมากของย็อมจุนยอลมาล่วงหน้า แต่แง่อื่นนอกจากนั้นคงแทบไม่มีประสบการณ์
‘ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เราแพ้แน่ถ้าสู้กันตามปกติ… เพราะผ่านไปสักพักคงขยับมือไม่ได้ จนต้องแพ้เพราะหมดเวลา’
ยังไม่ทันจะเริ่มแข่ง แต่สมองของฉันใกล้หยุดทำงานแล้ว
ยิ่งได้เห็นกระดานหมากรุกตรงหน้า ความคิดที่จะเดินหมากก็ยิ่งพร่ามัว
ยิ่งพยายามสงบใจ กระดานหมากรุกก็ยิ่งบิดเบี้ยว
‘สภาพแบบนี้… เดินได้ไม่กี่ตาแน่’
แต่ถึงอย่างนั้น ฉันยังพอนึกออกว่าควรใช้กลยุทธ์แบบใด
ด้วยสภาพร่างกายในตอนนี้
ด้วยอุปนิสัยของมาจินซึงที่เป็นนักหมากรุกมือใหม่
ด้วยหมากสีขาวที่ฉันได้
ความคิดถูกเรียบเรียงอย่างเป็นระบบ
‘มาเสี่ยงดวงกันหน่อย’
ในวงการหมากรุกมีคำกล่าวว่า ‘ยิ่งคิดนานก็ยิ่งฟุ้งซ่าน’ ฉันจึงรีบเดินตาแรกเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้น
ฉันเดินเบี้ยจากช่อง e2 ไปช่อง e4 แล้วกดปุ่มนาฬิกาหมากรุก
ปึก!
เมื่อเสียงกลไกนาฬิกาดังแผ่วเบา ตัวเลขเวลาฝังมาจินซึงเริ่มเดินถอยหลัง
‘เอาล่ะ… จะหมู่หรือจ่า’
ในกีฬาหมากรุก ผู้เล่นสามารถเปิดเกมได้หลายวิธี แต่ผู้เล่นใหม่มักจะถูกแนะนำด้วยสองเคล็ดลับยอดนิยม
หนึ่ง ยึดครองกลางกระดาน
สอง บุกใส่คู่ต่อสู้
มาจินซึงที่ศึกษาหมากรุกอย่างสุกเอาเผากิน จะต้องเลือกใช้วิธีเปิดเกมแบบนี้แน่
และไม่คิดจากที่ขาด เขาเดินเบี้ยจาก c7 มายัง c5
ปึก!
ทันทีที่มาจินซึงกดปุ่มนาฬิกาด้วยมือข้างที่เดินหมาก
โดยปราศจากความลังเล ฉันเดินบิชอป (โคน) จาก f1 ไปยัง c4 แล้วกดนาฬิกาทันที
ปึก!
ทำไมคนที่ใช้เวลาคิดนานในตาแรก ถึงเดินตาที่สองโดยแทบไม่ลังเล?
สีหน้าของมาจินซึงกำลังสื่อความคิดนั้นออกมา
ฉันอยากยิ้มกรุ้มกริ่มพลางสบตากับเขา แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่นั่งนิ่ง เพราะเริ่มมองสิ่งรอบข้างไม่เห็นแล้ว
ผ่านไปสักพัก มาจินซึงตัดสินใจส่งไนท์ (ม้า) บุกกลางกระดานอีกครั้งตามพื้นฐานการเล่นหมากรุก
ไนท์ (ม้า) เดินจาก b8 มายัง c6
‘ตัดสินกันตรงนี้’
ฉันเดินควีนจาก d1 ไป h5 ทันที
ปึก!
เมื่อฉันจบตาเดินโดยการกดนาฬิกา มาจินซึงทำหน้างงงวยอย่างเห็นได้ชัด
นักหมากรุกมือใหม่มักตกใจเวลาได้เห็นควีนเคลื่อนไหวในตาแรกๆ
หลังจากลังเลอยู่นาน มาจินซึงเดินไนท์ (ม้า) จาก g8 ไปช่อง f6 เพื่อเล็งกินควีนในช่อง f5 และเบี้ยในช่อง e4
ถ้าไนท์ (ม้า) ของเขาไม่ถูกกินในรอบนี้ ตาถัดไปฉันจะเสียไม่เบี้ยก็ควีน
ถ้าไม่ขยับควีนหนี ฉันจะเสียตัวหมากที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในทีมไป
‘ก็ใช่ว่าจะลืมได้แล้วหรอกนะ’
แต่ ณ ตอนนี้ ฉันกลับมายิ้มต่อหน้ากระดานหมากรุกได้อีกครั้ง
ฉันเดินควีนช่อง h5 ไปกินเบี้ยช่อง h7 พร้อมกับประกาศ
“เช็ก”
มีเพียงสี่กรณีเท่านั้นที่ผู้เข้าแข่งได้รับอนุญาตให้พูดระหว่างเกม
หนึ่ง เมื่อขอยอมแพ้
สอง เมื่อขอเสมอ
สาม เมื่อประท้วงการทำผิดกฎ
สี่ เมื่อแจ้งกับคู่แข่งว่า ‘เช็ก’ (รุก)
มาจินซึงที่ได้ยินเสียงฉัน ทำมึนงงอยู่สักพัก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างเมื่อตั้งใจดูตำแหน่งของควีนฉัน
‘เพิ่งจะเห็นเอาป่านนี้?’ nᴏveʟɢu.ᴄᴏᴍ
ควีนสีขาวบุกเข้าไปกลางดงศัตรูและเล็งกินคิง (ขุน) สีดำ
สิ่งเดียวที่สามารถกินควีนสีขาวในช่อง f7 ได้ก็คือคิง (ขุน) สีดำ
แต่ควีนสีขาวกำลังถูกผูก (คุ้มครอง) ด้วยบิชอป (โคน) สีขาว
ถึงคิงสีดำจะกินควีนสีขาว แต่ก็จะถูกบิชอปสีขาวกินในตาถัดไป
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าจะเดินยังไง คิงสีดำก็ไม่มีทางรอดแล้ว
เช็กเมต (รุกฆาต)
แกร่ก!
มาจินซึงตะแคงคิงสีดำบนกระดานหมากรุก
เขาถอนหายใจยาว ราวกับเจ็บใจอย่างมากที่พ่ายแพ้ตั้งแต่ตาเดินที่สี่ แต่ก็มีน้ำใจนักกีฬามากพอที่จะยืนมือมาขอจับ
เมื่อฉันจับมือตอบ อีกฝ่ายทำหน้าตกใจ
“นี่… ทำไมมือนายเย็นขนาดนี้”
มาจินซึงเคยจับมือฉันแล้วครั้งหนึ่งก่อนแข่ง เป็นธรรมดาที่จะเอะใจ
ฉันทักทายพอเป็นพิธี แล้วรีบเดินกลับห้องพักนักกีฬาราวกับกำลังหนี
* * *
วันนี้มีการแข่งสองรอบ
ผู้ชนะจากรอบแรกจะต้องแข่งกันเองในรอบที่สอง
‘โชคดีมากที่จบได้ในสี่ตาเดิน… แต่รอบหน้าคงทำไม่ได้แล้ว’
คู่แข่งคือนักหมากรุกที่สามารถชนะผ่านรอบแรกมาได้
คงคาดหวังให้เป็นมือใหม่ได้ยาก
ขณะครุ่นคิดเกี่ยวกับการแข่งรอบถัดไป พัคซึงยอนเปิดประตูแล้วเดินเข้ามา
ดูเหมือนเขาจะรุกฆาตได้เร็วเหมือนกัน
“ออกมาคนแรกเลยนี่ อึยชิน… ใช้กลยุทธ์ฟูลส์เมต (Fool’ s Mate) หรือสกอล่าเมต (Scholar Mate) กันล่ะ?”
ในกีฬาหมากรุก มีกลยุทธ์มากมายในการปิดบัญชีคู่แข่งอย่างรวดเร็ว
จากบรรดาทั้งหมด ‘ฟูลส์เมต’ คือการรุกฆาตคู่แข่งภายในสองตาเดิน
ฟูลส์เมตจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ผู้เล่นฝ่ายขาวเดินเบี้ยเปิดเกมผิดพลาดร้ายแรง
‘เราใช้กลยุทธ์นั้นไม่ได้เพราะเล่นเป็นฝ่ายสีขาวเสียเอง’
จึงต้องเลือกใช้กลยุทธ์ที่เล็งควีนกับบิชอปไปยังช่อง f7 พร้อมกัน
กลยุทธ์ที่ฉันใช้คือ ‘สกอล่าเมต’ หรือจะเรียกว่าบิ๊กกี้เมต4 ตาเดิน หรือรุกฆาตสายฟ้าแลบ 4 ตาเดินก็ได้เหมือนกัน
“สกอล่าเมตน่ะ พอดีว่าโชคเข้าข้าง”
“ฉันก็เคยโดนแบบนั้นตอนหัดเล่นหมากรุกใหม่ๆ … ถ้ามือใหม่จะโดนก็ไม่แปลกหรอก”
ถ้าเป็นในเกม พัคซึงยอนมักปรากฏตัวในสภาพขวัญผงะ เนื่องจากถูกพวกเด็กเส้นรุมกลั่นแกล้ง
ดีจริงๆ ที่ได้เห็นพัคซึงยอนพูดถึงงานอดิเรกด้วยสีหน้ามีความสุข
นอกจากนั้น เมื่อคำนึงถึงทักษะของพัคซึงยอน ถือเป็นเรื่องดีที่เขาชอบเล่นหมากรุก
‘ยิ่งเล่นเก่งเท่าไรก็ยิ่งดี’
พัคซึงยอนต่อสู้ไม่เก่ง
และสกิลด้านวิสัยทัศน์หรือการตรวจจับก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมเช่นกัน
เขาฉลาดมากก็จริง แต่อันดาอินกับจูซูย็อกก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าในด้านนี้ แถมยังมีตัวละครอย่าง ‘ชอนดงฮา’ ผู้มีมันสมองระดับสัตว์ประหลาด
แต่ถึงอย่างนั้น พัคซึงยอนก็ถือเป็นหนึ่งในตัวโกงของเกม
‘แสงประทานของพังซึงยอน… ถึงจะมีข้อจำกัด แต่มันช่วยเพิ่มขีดความสามารถของเพลเยอร์คนอื่นได้มาก’
ในเกมอาจมีแสงประทานสายสนับสนุนอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่มีของใครช่วยสนับสนุนด้านการต่อสู้ได้ดีเท่าพัคซึงยอนแล้ว
‘ถ้าพัคซึงยอนพัฒนาทักษะในการมองภาพรวม หรือนิสัยชอบคิดล่วงหน้า กำลังรบของโรงเรียนแสงเงินจะถูกยกระดับขึ้นมาก’
ได้ฟังเรื่องราวการแข่งหมากรุกของพัคซึงยอน อาการปวดหัวของฉันทุเลาลงหลายส่วน ฝ่ามืออุ่นขึ้นมาก
ระหว่างที่ฉันกับคุยกับพัคซึงยอน ผู้เข้าแข่งทยอยกลับมายังห้องพักนักกีฬา
สิบนาทีหลังจากคู่สุดท้ายจบลง
ทีมงานของสเทลเมตเริ่มนำทางพวกเราอีกครั้ง
“ชนะเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอกันนะ!”
“…ตกลง”
ได้ยินคำปลุกใจอันร่าเริงของพัคซึงยอน ฉันรับปากพอเป็นพิธี แต่ไม่มั่นใจว่าจะทำมันได้
* * *
คู่แข่งคนถัดไปไม่ใช่ทั้งตัวละคร PC และ NPC
ปี 2/0 ยอนการัม
ฉันเห็นป้ายชื่อนักเรียนคนอื่นถูกติดอยู่เต็มเครื่องแบบของยอนการัม บางที นี่อาจเป็นวิธีให้กำลังใจตามแบบฉบับห้อง 2/0
…เป็นใบหน้าที่อ่านอารมณ์ได้ยากจริงๆ
ในโลกใบนี้ เธอคือนักเรียนหญิงผู้เป็นเอซของชมรมละคร แต่ชื่อของยอนการัมกลับไม่เคยปรากฏในเกม
‘ดูข้อมูลก็ไม่ได้’
ถ้าไม่ใช่นักจิตวิทยามือฉมัง คงยากที่จะอ่านความคิดและอารมณ์จากสีหน้าของเธอ
เหนือสิ่งอื่นใด ไม่เหมือนกับมาจินซึง ยอนการัมดูสุขุมขณะยืนเผชิญหน้ากับกระดานหมากรุก
ไม่มีข้อมูลจากในเกม อ่านสีหน้าได้ยาก และเชี่ยวชาญหมากรุก
คงใช้ลูกไม้สกอล่าเมตอีกไม่ได้แน่
ฉันพยายามคิดหาวิธีรับมือ แต่ก็นึกไม่ออกเลย
‘คงต้องชนเข้าไปตรงๆ สถานเดียว’
ฉันสลัดความคิดฟุ้งซ่านพร้อมกับตั้งสติ
“จะทำการโยนเหรียญเพื่อตัดสินสีของหมาก”
ทีมงานสเทลเมตโยนเหรียญขึ้นไปในอากาศ
ผลเหมือนเดิม ฉันสีขาว คู่แข่งสีดำ
“เริ่มแข่งได้”
เสียงประกาศเริ่มแข่งของยงเจกอน ดังผสมกับอาการหูแว่วในหัวฉัน
เมื่อยอนการัมกดนาฬิกาเพื่อเป็นสัญญาณเริ่ม ฉันจับเบี้ยเดินบุกเข้าไปทันที
ยอนการัมใช้เวลาคิดสักพักก่อนจะเดิน
ส่วนฉันเร่งเดินหมาก เพราะสายตาเริ่มมองไม่เห็นกระดานแล้ว
สลับกันเช่นนี้อยู่ราวยี่สิบครั้ง
‘โลกกลายเป็นสีขาวดำ…’
ทัศนวิสัยกำลังกะพริบถี่
วัตถุรอบตัวสูญเสียสีสัน
ยอนการัมตรงหน้า รวมถึงมือของฉันเอง ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวและดำ
ฉันไม่รู้แล้วว่าควรต้องทำยังไงต่อ แม้แต่สีของตัวหมากก็แยกไม่ออก
อยากจะยอมแพ้แล้วเดินหนีไปทั้งอย่างนี้
‘…ฝืนต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน แพ้แบบหมดเวลาก็ยังไม่น่าเกลียด’
คิดได้แบบนั้น ฉันจ้องกระดานหมากรุกที่ดูไม่เหมือนกระดานหมากรุกอีกต่อไป
เวลาในโลกสีขาวดำค่อยๆ ลดลง
ทรายในนาฬิกาฝั่งของฉันถดถอยอย่างต่อเนื่อง
ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ เวลาการแข่งของฉันจะหมดลงและถูกปรับแพ้
〈สกิล ‘พลังโชคชะตา’ ทำงาน〉
พลังโชคชะตา?
แล้วฉันต้องตอบสนองอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้
การมองเห็นยังคงกะพริบท่ามกลางเสียงจากระบบ
วาบ!
บางสิ่งสว่างขึ้นเหนือศีรษะยอนการัม
ฉันเงยหน้าตามจิตใต้สำนึก
และได้เห็นผู้ชมบนชั้นสองของโรงยิมเป็นครั้งแรก
โซนที่นั่งของผู้ชม ซึ่งยงเจกอนใช้ศาสตร์แห่งมิติเปลี่ยนให้ดูเหมือนกับ ‘บ๊อกซ์’ ในโรงละครโอเปรา
‘อะ…’
ด้านหลังกำแพงมิติที่ถูกแบ่งโดยสกิลของเผ่ามังกร
ฉันเห็นเด็กปี 1/0