เกมกากแห่งชาติ – เพลเมโก – โด่งดังด้านสีหน้าของตัวละคร
ในหมู่ตัวละครมากมาย พระเอกของเรื่องอย่างจูซูย็อกสามารถแสดงสีหน้าได้หลากหลายกว่าใคร แต่ส่วนใหญ่มักทำแค่ยิ้มตอนออกสื่อ เพราะเป็นถึงลูกหลานตระกูลแชโบล
แม้จะเกิดวิกฤติ จูซูย็อกก็ยังคงยิ้มเพื่อสร้างความมั่นใจให้พวกพ้อง
แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่เขามิอาจควบคุมสีหน้าของตน
ช่วงเวลาที่มีอันดาอินเข้ามาพัวพัน
‘ทำหน้าซังกะตายแบบนี้… เหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิด… ตอนที่จูซูย็อกและอันดาอินเริ่มมีกลุ่มแฟนคลับเพราะการจู่โจมรอยแยกครั้งแรก และกลุ่มแฟนคลับหัวรุนแรงทั้งสองฝ่ายได้ทึ้งผมตบกันใจกลางจัตุรัสควังฮามุน’
ใบหน้าหดหู่เจือความเหม่อลอยในเวลานั้น แฟนคลับบางคนยกย่องให้เป็น ‘ใบหน้าที่ฉาบด้วยความโศก’ หรือ ‘ใบหน้าที่ทำให้พวกเธอใจสลาย’
แน่นอน ที่พวกเธอพูดมาก็ไม่ผิด
เพราะจูซูย็อกผู้เป็นพระเอกของเพลเมโก หล่อเหลาจนไม่ว่าจะแสดงสีหน้าอย่างไร คำยกย่องเหล่านั้นก็ไม่เคยฟังดูเกินจริง
‘เรื่องนั้นช่างมันก่อน… ตอนนี้จูซูย็อกกำลังเป็นทุกข์เพราะอันดาอิน’
ในฐานะสวะเดนตายของเกมกากแห่งชาติ ฉันสืบเท้าเข้าไปใกล้จูซูย็อกด้วยสีหน้ามั่นใจ
“มัวทำอะไรอยู่คนเดียว? อีกเดี๋ยวก็จะเริ่มคาบแล้วนี่”
“หือ…? อึยชิน”
จูซูย็อกตอบสนองต่อคำทักทายของฉันค่อนข้างเชื่องช้า
ถ้าเป็นปกติล่ะก็ ยังไม่ทันจะชวนคุย เขาต้องสัมผัสถึงการมาเยือนและเป็นฝ่ายชิงทักทายก่อน
‘หรือสถานการณ์จะเลวร้ายกว่าที่คิด?’
คำนึงจากสีหน้าของจูซูย็อก ปัญหาอาจเกี่ยวข้องกับอันดาอิน และคงแก้ไขได้ไม่ง่าย
“ก็… พอดีอยากสูดอากาศนานๆ น่ะ”
“กินมื้อเที่ยงหรือยัง”
“…ยัง”
ถึงกับไม่กินข้าวปลาเลยรึไง
หมกตัวเศร้าอยู่ตรงนี้ตลอดทั้งพักเที่ยง?
ฉันลองไล่ทบทวนโอกาสเกิดความขัดแย้งระหว่างจูซูย็อกกับอันดาอินในทุกกรณี
ยังไม่ทันจะได้ข้อสรุป จูซูย็อกชิงถามก่อน
“อึยชิน… เอ่อ… นายจะไปปาร์ตี้บนเรือไหม”
…หืม สงสัยจะเกี่ยวกับปาร์ตี้บนเรือ
เมื่อพยักหน้ารับ จูซูย็อกถอนหายใจยาวแล้วพูดต่อ
“คงได้ยินข่าวลือแปลกๆ ระหว่างฉันกับพี่เยจีแล้วใช่ไหม”
ได้ยินคำถามจูซูย็อก ฉันกระจ่างทันที
‘เรื่องนี้นี่เอง!’
ในเกมจะมีการบรรยายถึงงานสมรสและงานหมั้นระหว่างตระกูล ‘จู’ และ ‘โอ’ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของ ‘จูโอกรุป’
เดิมที จูโอกรุปเกิดจากความร่วมมือระหว่างตระกูลจูและโอ
แม้ตำแหน่งประธานใหญ่จะเป็นของจู แต่ฝ่ายโอก็ได้นั่งในเก้าอี้สำคัญไม่น้อย
‘แต่แล้วความสัมพันธ์ก็เริ่มห่างเหิน จนมาถึงวิกฤตการณ์แยกทาง’
ราคาหุ้นของจูโอดิ่งฮวบหลังจากทั้งสองตระกูลขัดแย้งกัน หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ ‘ศึกแห่งจูโอ’
ยิ่งราคาหุ้นดิ่งทะลุฟลอร์ งานประชุมผู้ถือหุ้นก็ยิ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวาย พลังวิเศษปลิวว่อน อีกทั้งยังมีกลุ่มผู้ประท้วงมารวมตัวกันหน้าสำนักงานใหญ่ของกรุป
ถึงขั้นมีข่าวลือน่ากลัวทำนองว่า ผู้ถือหุ้นบางคนได้จ้างนักฆ่ามืออาชีพจากต่างประเทศมา พร้อมกับตะโกนว่า ‘ถ้าหุ้นตกไปมากกว่านี้! พวกแกทุกคนต้องตายไปพร้อมกับฉัน!’
ตระกูลจูและโอตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นาน
จนกระทั่งพวกเขาตัดสินใจคืนดีกัน เนื่องจากทนแรงกดดันของสาธารณชนและผู้ถือหุ้นไม่ไหว
‘ทางผู้มีอำนาจจึงวางแผนเกี่ยวดองกันด้วยการคลุมถุงชน เพื่อฟื้นฟูสายสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลที่เคยพังไปในศึกแห่งจูโอ’
เหยื่อรายแรกคือลูกพี่ลูกน้องของจูซูย็อก กับพี่สาวแท้ๆ ของโอเยจี – โอเยจอง
แต่เมื่อถึงวันพิธีหมั้น โอเยจองได้หนีออกจากบ้านและหายสาบสูญไปนับแต่นั้น
จากบรรดาทายาทสายตรงทั้งหมด ชายและหญิงโสดที่อายุเข้าเกณฑ์…
ปัจจุบันมีเพียงจูซูย็อกและโอเยจี
‘ภายในเกม เหตุร้าย ณ สนามเบสบอลจัมชิลในเดือนพฤษภาคม ทำให้ไม่มีใครคิดถึงเรื่องหมั้นหมายอีกเลย และโอเยจีก็ตายก่อนที่จูซูย็อกจะขึ้นปีสอง… งานหมั้นจึงไม่เคยเกิดขึ้น’
แต่กับโลกนี้ คดีสนามเบสบอลจัมชิลจบลงด้วยดี
การคลุมถุงชนจึงดำเนินต่อไปตามแผนเดิม
‘ทั้งลูกพี่ลูกน้องของจูซูย็อกและโอเยจอง ในเกมได้บรรยายว่าพวกเขามีอายุยี่สิบตอนต้นถึงตอนกลาง… หลังจากเห็นโอเยจองหนีออกจากบ้าน ก็เลยคิดจะจับโอเยจีหมั้นหมายตั้งแต่ยังเรียนอยู่สินะ…’
จูซูย็อกไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนนอกจากอันดาอิน
โอเยจีก็มองจูซูย็อกไม่มากไปกว่าน้องชายคนสนิท
การบังคับให้พวกเขาแต่งงานกัน รังแต่จะก่อให้เกิดคู่รักอมทุกข์
‘ทั้งสองคนเป็นตัวละครของฉัน จะไม่ปล่อยให้ใครต้องเศร้าเด็ดขาด’
ในกรณีเลวร้าย ฉันจะพาทั้งสองหนีไป พร้อมกับสร้างความอลหม่านยิ่งกว่าเมื่อครั้งโอเยจอง
“หมายถึงรุ่นพี่หัวหน้ากรรมการรักษาระเบียบ? ถ้ามีข่าวลือทำนองนั้น ฉันก็ต้องได้ยินบ้างแล้วสิ”
“นั่นสินะ…”
จูซูย็อกยังคงไร้ชีวิตชีวา
ตามปกติแล้ว เขามีจิตใจเข้มแข็งเป็นลำดับต้นๆ ของโลกเพลเมโก แต่พอเป็นเรื่องของอันดาอิน จูซูย็อกจะสูญเสียความมั่นใจและเอาแต่จมอยู่กับความหดหู่ไม่รู้จบ
ถ้าจะห่อเหี่ยวขนาดนี้… ทำไมไม่ไปหาอันดาอินโดยใช้หนังสือเป็นข้ออ้าง? เอาแต่ว้าวุ่นใจตามลำพังอยู่ได้
ตัวละครของฉันใสซื่อเกินไปแล้ว!
ได้เห็นจูซูย็อกกำลังดำดิ่ง ฉันตัดสินใจช่วยปรับอารมณ์
“ฉันจะโดดเรียนเพื่อแวะไปสักที่หนึ่ง ไปด้วยกันไหม?”
นักเรียนดีเด่นอย่างจูซูย็อก ไม่เคยขาดเรียนเพื่อไปทำเรื่องไร้สาระแม้แต่ครั้งเดียว
ตอนแรกเขายังลังเล แต่พอได้ยินชื่อเม็งเฮียวทงก็พยักหน้ารับทันที
* * *
ห้องเรียนปี 1/0, ขณะใกล้หมดพักกลางวัน
เพื่อนในห้องแยกย้ายไปเรียนวิชาเลือกกันหมดแล้ว ตอนนี้จึงไม่มีใครอยู่
ครืด!
“นี่! รองหัวหน้าห้อง! อีกเดี๋ยวคาบบ่ายก็จะเริ่มแล้ว เรียกฉันมาหาทำไม?”
ประตูอัตโนมัติหน้าห้องเลื่อนเปิด เม็งเฮียวทงเดินเข้ามา
โดยไม่หันไปตอบ ฉันก้มหน้าป้อนรหัสผ่านล็อกเกอร์หลังห้องเรียน
“เฮ้ย! นั่นล็อกเกอร์ฉัน…”
กริ๊ก!
ภายในล็อกเกอร์ของเม็งเฮียวทง
หนังสือเรียนถูกวางอย่างไร้ระเบียบ รวมถึงชุดพละยับๆ ที่วางสุมกัน
กระเช้าดอกคาร์เนชั่นที่ติดสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ ถูกวางอยู่บนกองหนังสือเรียนที่จวนเจียนจะพังถล่ม
“เปลี่ยนรหัสล็อกเกอร์หน่อยเถอะ ผ่านมาก็นานแล้ว แต่รหัสยังเป็น 0000 อยู่เลย”
“แล้วนายจะเปิดล็อกเกอร์ของคนอื่นทำไม!”
ฉันคาดเดารูปแบบพฤติกรรมของเม็งเฮียวทงได้ไม่ยาก
ต่อให้เห็นคาตาว่าฉันรู้รหัสล็อกเกอร์ แต่คนขี้เกียจอย่างเขาคงไม่เปลี่ยน
เม็งเฮียวทงคงใช้รหัส 0000 ไปจนกระทั่งจบการศึกษา
“ไปกันเถอะ”
“จะไปไหน? แล้วก็ปิดล็อกเกอร์ฉันสักที!”
ถ้าปิดล็อกเกอร์ตอนนี้ กระเช้าดอกคาร์เนชั่นคงไม่มีวันไปถึงมือครูประจำชั้นม.3 ของเม็งเฮียวทงแน่
ถึงกับยอมตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปเดินตลาดดอกไม้กับสองสาวเลยไม่ใช่รึไง?
“ถ้าอยากได้คืนก็มาเอาไปสิ”
ฉันเขย่ากระเช้าดอกคาร์เนชั่นด้วยสีหน้ายียวน
และ
ฉึบ!
พูดจบ ฉันซอยเท้าวิ่งหนีทันที
เม็งเฮียวทงตอบสนองได้ช้าเพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้
เสียงของเขาดังไล่หลังในอีกไม่กี่อึดใจ
“เฮ้ย! ไอ้ร้องหัวหน้าห้องบ้า! เป็นเด็กประถมรึไงวะ!”
การกลั่นแกล้งที่พบเห็นได้บ่อยในโรงเรียนประถม
แย่งของเพื่อนแล้ววิ่งหนี
ฉันกำลังทำสิ่งนั้น
“อย่าให้จับได้นะโว้ย!”
เม็งเฮียวทงเริ่มวิ่งตาม
ฉันออกตัวก่อนอย่างเห็นได้ชัด แต่ระยะห่างกลับลดลงเร็วมาก
‘เป็นร่างกายที่โกงจริงๆ …’
เห็นทีต้องพึ่งพาแสงประทานเข้าสู้
〈ท่านใช้แสงประทาน, เส้นทางเพลเยอร์〉
ตัวละครที่เลือกคือมินกือรินร่างสุดท้าย
ถ้าจะแข่งความเร็วกับมินกือรินร่างนี้ มีแค่ไม่กี่คนที่เอาชนะได้
〈ท่านใช้สกิล ‘สปรินเตอร์’ ของตัวละคร〉
เสริมด้วยสกิลที่เหมือนกับของคิมยูรี เพื่อเร่งความเร็วทิ้งห่างเม็งเฮียงทงออกไป
“บัดซบ! เร็วฉิบ! อย่าใช้สกิลสิวะ!”
เม็งเฮียวทงไล่ตามโดยไม่ใช้สกิล แต่ไม่นานก็เริ่มหายใจหอบ
ถ้าไม่งัดแสงประทานออกมาใช้ ทางนี้คงถูกไล่ทันได้ไม่ยาก ɴᴏᴠeʟɢu.ᴄᴏm
ระหว่างที่สกิลสปรินเตอร์ยังมีผล ฉันตรวจสอบกล่องข้อความจากอุปกรณ์
อาจเพราะรู้สึกเสียศักดิ์ศรี เมื่อเห็นฉันวิ่งหนีพลางอ่านข้อความ เม็งเฮียวทงตะโกนไล่หลังอย่างเดือดดาล
“ถ้าจับได้ฉันเอานายตายแน่!”
ข้อความแรกมาจากมุนแซรอน
[มุนแซรอน] ถ้าเป็นเรื่องนั้น ฉันยังจำได้แม่นเพราะเคยสัมภาษณ์เขา!
[มุนแซรอน] ส่งพิกัดไปแล้ว! ไฟติ้ง!
มุนแซรอนนี่มุนแซรอนจริงๆ
งานไวสมกับเป็นแหล่งข้อมูลชั้นเลิศแห่งเพลเมโก
คัดลอกพิกัดส่งให้จูซูย็อกเสร็จ อีกฝ่ายตอบกลับมาทันที
[จูซูย็อก] ได้รับแล้ว ฉันกำลังรออยู่หน้าประตูหลัก!
เนื่องจากเราสองคนวิ่งเร็วมาก ไม่นานก็ขยับเข้าใกล้ประตูหน้า
จนกระทั่งเห็นหอนาฬิกาสีขาว ฉันยกเลิกแสงประทานแล้ววิ่งด้วยแรงขาตัวเอง
ขณะระยะห่างเริ่มลดลงเรื่อยๆ
ฉันกระโดดขึ้นประตูหลังของรถที่จอดรอหน้าประตูทางเข้า
เม็งเฮียวทงกระโดดตามเข้ามาพร้อมกับเหยียดแขนคว้ากระเช้าดอกคาร์เนชั่น
“จับได้แล้ว!”
ฉันเลิกต่อต้านและส่งกระเช้าดอกคาร์เนชั่นคืนแต่โดยดี
ปึง!
แกร่ก!
“…เอ๋?”
เมื่อเม็งเฮียวทงหันไปมอง ประตูหลังของแท็กซี่ไร้คนขับปิดลงอัตโนมัติ
เขาเริ่มเอะใจกับความไม่ชอบมาพากล
แต่สายไปแล้ว
“ออกรถเลย!”
“อื้อ! อึยชิน เฮียวทง อย่าลืมคาดเข็มขัดนะ!”
“เฮ้ย! รองหัวหน้าห้อง! จูซูย็อก! นี่มันเรื่องบ้าอะไร?”
เมื่อจูซูย็อกบนเบาะหน้ากดปุ่มควบคุม แอร์แท็กซี่เริ่มทะยานขึ้นฟ้า
บรืน—!
ได้เห็นทิวทัศน์ด้านนอกแปรเปลี่ยน เม็งเฮียวทงเริ่มทำหน้างุนงง
“พวกนายคิดจะทำอะไร! ไม่เข้าเรียนกันรึไง?”
“ใช่! วันนี้ฉันจะโดดเรียนไปกับอึยชิน สนุกกว่าที่คิดนะเนี่ย ฮะฮะ! นายจะเอาครีมชีสคาราเมลเพรทเซลด้วยไหม? ของขึ้นชื่อของแท็กซี่ไร้คนขับ อร่อยดีนะ”
“เฮ้อ… จูซูย็อกติดเชื้อจากรองหัวหน้าห้องไปแล้วสินะ… แล้วพวกนายจะไปไหน”
น้ำเสียงจูซูย็อกฟังดูสดใสผิดไปจากใต้ต้นซากุระ ราวกับมีความสุขที่ได้โดดเรียนครั้งแรก
เม็งเฮียวทงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอเห็นพวกเราคาดเข็มขัด เขาก็คาดตาม
เมื่อเห็นอีกฝ่ายคาดเข็มขัดเรียบร้อย ถึงเวลาเฉลยปลายทาง
“โรงเรียนม.ต้นของนายไง”
จุดหมายของแอร์แท็กซี่ถูกตั้งค่าเป็นพิกัดโรงเรียนเดิมของเม็งเฮียวทงที่มุนแซรอนส่งมาให้ – โรงเรียนมัธยมต้นทันแร
* * *
ย่านชินวอล เขตยังชอน กรุงโซล
ใกล้กับสวนทะเลสาบโซลตะวันตก, สำนักงานทีมทะเลสาบนิรันดร์
ณ ชั้นบนสุดซึ่งมองเห็นวิวทะเลสาบ
แคว่ว— แคว้ว! คว้าว! ขว่าว!
เสียงคล้ายไวโอลินกรีดร้องดังแว่วเป็นระยะ
ต้นเสียงมาจากไวโอลินวิเศษสีน้ำเงินที่อยู่ในมือควอนเจอิน – หัวหน้าทีมทะเลสาบนิรันดร์
“เจน หยุดเถอะ! อย่าใช้พรสวรรค์ของเธอทำเรื่องเสียของแบบนี้เลย! นี่มันอาชญากรรมทางดนตรี!”
จาเร็ด·ลีนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลังควอนเจอิน พลางพูดภาษาเกาหลียากๆ
แม้จาเร็ดจะอ้อนวอน แต่เสียงโหยหวนก็ยังไม่เงียบลง
“รองหัวหน้าทีม ทุกอย่างมันเป็นเพราะคุณ! ดังนั้นเงียบไปซะ!”
“ใช่! เงียบไปเลย ถ้าคุณเป็นแฟนตัวยงของเจนจริง… ก…ก็ต้องยอมรับเสียงแบบนี้ของเจนได้ด้วย!”
“ถ้าลองตั้งใจฟังเสียงที่ตัวโน้ตเปี่ยมด้วยความเศร้าและการตัดพ้อเหล่านี้ มันก็ไม่แย่เท่าไร… วันนี้ท่านควอนเจอินของพวกเรา กำลังแสดงอัจฉริยภาพทางดนตรีเพื่อสื่ออารมณ์ด้านลบออกมา”
“หาอะไรให้เจนกินก่อนดีไหม? ไม่อย่างนั้นเธอสลบแน่… หลังกลับจากทะเลสาบซอกชน เห็นว่ายังไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่อึกเดียว”
“คดีของจาเร็ดก็เรื่องหนึ่ง แต่นังผีเสื้อนั่นปากหมาจริงๆ …!”
“ทีมแพทย์รอประจำการพร้อมกับไอเท็มฟื้นฟูและเตียงสนามแล้ว… เผื่อว่าเจนสลบไป”
สมาชิกระดับบริหารของทีมทะเลสาบนิรันดร์ กำลังรวมตัวอยู่ด้านหลังควอนเจอิน
ควอนเจอินหยุดเล่นดนตรี พลางหันกลับมามองจาเร็ด·ลีด้วยใบหน้าซีดเซียว
ดวงตาสีน้ำเงินของเธอกำลังอมทุกข์
“จาเร็ด…”
“เจน ผมขอโทษ! ผมผิดไปแล้ว!”
หลังจากเล่าสถานการณ์ทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง จาเร็ด·ลีขอโทษอย่างไม่มีข้อแก้ตัว
แต่สำหรับคดีนี้ ควอนเจอินมิได้ตำหนิจาเร็ด·ลีแม้แต่น้อย
สิ่งเดียวที่เธอไม่ให้อภัย ก็คือตัวเอง
“จาเร็ดไม่ผิดหรอก… ทั้งหมดเป็นความผิดของฉัน… ฉันควรจัดการด้วยตัวเอง ไม่ใช่ฝากทุกเรื่องให้คุณดูแล… ขอโทษที่ลากคุณเข้ามาพัวพัน”
“เจน! ได้โปรดอย่าขอโทษเลยนะ”
ท่าทีของควอนเจอินยิ่งทำให้จาเร็ด·ลีรู้สึกผิด
“…ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“เราจะไม่ไปไหน ถ้าคุณควอนเจอินไม่รับปากว่าจะกินอาหารอย่างน้อยหนึ่งมื้อ”
ผู้กล่าวคือสมาชิกแกนหลักของทีมทะเลสาบนิรันดร์ที่อายุน้อยที่สุด แต่อยู่กับทีมมานานเป็นรองแค่จาเร็ด·ลี
ผู้บริหารทุกคน รวมถึงจาเร็ด·ลี ต่างเห็นพ้องกับคำพูดนั้น
ควอนเจอินพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกทีมเป็นห่วง
“ตกลง”
ได้ยินคำสัญญา ผู้บริหารทีมทยอยเดินออกไปด้วยความสบายใจ
จาเร็ด·ลีที่คุกเข่านานจนเป็นตะคริว ถูกหามออกไปเพราะเดินเองไม่ได้
ห้องซ้อมดนตรีกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ควอนเจอินวางไวโอลินสีฟ้าลงบนโต๊ะ แล้วโทรหาดีไวซ์ที่ไม่ถูกบันทึกไว้ในบัญชีผู้ติดต่อ
อีกฝ่ายรับสายก่อนที่เสียงบี๊บครั้งที่สองจะดัง
“มีนักเรียนปี 1/0 ของโรงเรียนแสงเงินที่ฉันอยากให้คุณช่วยตรวจสอบ… หนึ่งคน… ไม่สิ สองคน… ชื่อ…”
ควอนเจอินเอ่ยชื่อรุ่นน้องสองคนแล้วก็ตัดบทการโทรทันที
“รบกวนด้วยนะคะ คุณเด็กเจ้าเล่ห์”
—
MasterGU.edited = ฉันจำยังจำ