หน้าทางเข้าคฤหาสน์ของวังมยองโฮ
ถ้าเป็นไปตามปกติ เจ้าบ่วงจะต้องวิ่งมาหาฉัน และจะถูกอุ้มขึ้นมาลูบหัว…
…มันควรจะเป็นแบบนั้น
“เจ้าบ่วง…?”
เจ้าบ่วงที่นั่งอยู่ตรงประตูหน้า ทำแค่ส่ายหาง
ไม่คิดจะวิ่งมาหาฉัน
ทางนี้เริ่มเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
‘อย่าบอกนะว่าโกรธที่ไม่ได้มาหาหลายวัน?’
มันเคยทะเลาะกับแบคโฮกุนเพื่อรอฉันไม่ใช่หรือ?
ความคิดถึงในตอนนั้นหายไปไหนหมด?
สมองฉันเริ่มประมวลผลอย่างบ้าคลั่ง
‘ต้องทำยังไงถึงจะหายโกรธ? ซื้ออะไรมาให้กิน? แล้วสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ชอบอะไร? หรือว่ากว้านซื้อมาเยอะๆ แล้วให้เลือกเอา? ถ้าเงินไม่พอ เห็นทีคงต้องนำไอเท็มไปขายในตลาดเพลเยอร์…’
บ๊อก—
เจ้าบ่วงที่จ้องมาทางฉัน เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับใช้หัวถูไถ
โล่งอกไปที
ดูเหมือนจะไม่ได้โกรธขนาดนั้น
“ทำไมถึงดูไม่มีแรงเลย…”
เจ้าบ่วงทำได้แค่ส่ายหางเบาๆ
ดูขาดชีวิตชีวาไปมาก
บ๊อก!
ทันใดนั้น เจ้าบ่วงที่มองไปข้างหลังฉัน ชะงักเล็กน้อยก่อนจะรีบใช้หัวซุกไซ้หน้าอก
ถึงจะยังไม่เข้าใจ แต่ฉันตัดสินใจกอดมัน
เมื่ออุ้มสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นแล้วมองตามสายตา ฉันได้พบกับแบคโฮกุนที่กำลังยืนมองมา
บ๊อกบ๊อก!
เจ้าบ่วงในอ้อมแขนแสดงตัวเป็นศัตรูกับแบคโฮกุนอย่างเปิดเผย
แถมยังมองสลับไปมาระหว่างฉันกับแบคโฮกุน
หลังจากครุ่นคิดสักพักเพื่อหาความหมายของพฤติกรรม ไม่นานก็พบคำตอบ
‘เพราะทะเลาะกับแบคโฮกุน ก็เลยอยากให้เราเข้าข้าง?’
ขณะรู้สึกภาคภูมิใจกับทักษะการสื่อสารกับสัตว์ของตัวเอง ฉันรีบกอดเจ้าบ่วงพลางตะโกน
“ฉลาดมากเจ้าบ่วง!”
ดูเหมือนมันจะเข้าใจคำชม ลูกสุนัขขนฟูรีบแลบลิ้นพลางกระดิกหาง
“โชอึยชิน บางครั้งนายก็ดูปัญญาอ่อนดีนะ”
วังจีโฮที่เดินกลับจากโรงเรียนพร้อมฉัน เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ
เขามองมาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ แต่ทางนี้ก็มิได้แยแสเช่นกัน
แล้วมันยังไงล่ะ?
ถึงฉันจะปัญญาอ่อน แต่เจ้าบ่วงของฉันแสนรู้
* * *
หลังจากกินมื้อค่ำร่วมกับอึนซอโฮ อึนอีโฮ และอึนแจโฮ
ฉันอุ้มเจ้าบ่วงเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น
วันนี้เสือแดงไม่อยู่ จึงเหลือแค่พวกเราสามคน – ฉัน วังจีโฮ และแบคโฮกุน
สาวใช้อัตโนมัติเสิร์ฟชาวิสทีเรีย และชาดอกสนที่ช่วยเพิ่มความสดชื่น
ชาวิสทีเรียมาในชุดถ้วยกระเบื้องเคลือบแกะสลัก
‘วังจีโฮยังรสนิยมดีเหมือนเคย’
ต้นวิสทีเรียจะเริ่มบานช่วงเดือนพฤษภาคม จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับวังจีโฮผู้เสพสุนทรีย์แห่งความหลากหลาย
“เข้าเรื่องเลย”
หัวข้อแรกที่วังจีโฮหยิบขึ้นมาพูด คือประเด็นเกี่ยวกับห้องใต้ดินของหอสมุดกลาง
“ฉันได้รับสายจากฮงกยูบิน… มูลนิธิวังมยองตัดสินใจแบ่งคนจำนวนหนึ่งมาช่วยสนับสนุนสมาคม”
“นายสนิทกับฮงกยูบิน?”
“ใช่ ฮงกยูบินได้รับพรคุ้มครองจากเผ่าแท้ที่ค่อนข้างน่ารำคาญ ฉันก็เลยคอยจับตามองไว้… นอกจากนั้น เหตุผลที่เขากลายมาเป็นเพลเยอร์ก็น่าสนุกดี”
ฮงกยูบินเคยเล่าว่า เพราะเขามีสกิลนิมิต จึงได้รับพรคุ้มครองจากเผ่าแท้ที่น่ารำคาญ
วังจีโฮคงรู้จักเผ่าแท้นั่น
…เหตุผลที่เขากลายมาเป็นเพลเยอร์
ดูท่าจะเกี่ยวกับความลับที่ฮงกยูบินปกปิดเอาไว้
“ผิดคาดอยู่เหมือนกันนะ”
“เรื่อง?”
วังจีโฮพูดพลางมองมาด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ตอนแรกฉันคิดว่าคนที่นายอยากปกป้องจะเป็นนักเรียนหรือใครสักคนที่อ่อนแอ… แต่กลับเป็นคนมีฝีมืออย่างจูเก่อแจกอล”
วังจีโฮพยายามขุดคุ้ยหาเหตุผลของการกระทำของฉัน
ดูเหมือนจะจับตามองมาสักระยะแล้ว
“ไปที่หัวข้อถัดไป เป็นรายงานจากเสือแดง… จากข้อมูลที่เผ่ากระต่ายได้จากการเฝ้าสังเกตคาบสมุทรเกาหลีผ่านวังจันทรา จำนวนเบื้องบนที่ให้ความสนใจคาบสมุทรของเราเพิ่มขึ้นมากในระยะหลัง”
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากคำนึงถึงเหตุการณ์ในอนาคต
ค่อนข้างน่ายินดีที่เผ่าเสือกับเผ่ากระต่ายรู้สึกตัวเร็ว
ถ้ามีข้อมูลล่วงหน้าแบบนี้ การรับมือก็จะง่ายขึ้นมาก
“อย่างนี้นี่เอง”
“ดูไม่ตกใจเลยนะ”
“ก็ตกใจนิดหน่อย”
วังจีโฮทำหน้าไม่เชื่อ
ฉันแสร้งตีหน้าซื่อพลางลูบหัวเจ้าบ่วง
“สมมติว่าเป็นแบบนั้นก็แล้วกัน”
ดูเหมือนเรื่องที่วังจีโฮเตรียมมาพูดจะหมดแล้ว
ต่อไปเป็นคิวของฉัน
หนังสือโบราณที่ได้มาจากพลังโชคชะตา ถูกนำออกจากหน้าต่างเมนูแล้วยื่นให้วังจีโฮ
“อ่านให้ฟังหน่อย”
“หนังสือที่นายขอยืมจากห้องสมุดใต้ดิน? ทำไมต้องเป็นเล่มนี้?”
“เถอะน่า”
“…ไม่อยากเล่าสินะ ก็ได้ ส่งมาสิ”
วังจีโฮรับหนังสือด้วยสีหน้าไม่พอใจ
แต่สายตาของเขาเปลี่ยนไปทันทีที่กางมันออก
ซู่ว!
ดวงตาและเส้นผมของวังจีโฮเริ่มกลายเป็นสีทอง
เป็นสัญญาณการใช้พลังของเสือเหลืองแห่งเทพนิยาย
แสงสีทองอร่ามสาดไปทั่วห้องนั่งเล่น
“โชอึยชิน มันอยู่ในห้องใต้ดินจริงหรือ?”
หนังสือค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือฝ่ามือวังจีโฮ
ขณะลอยอยู่กลางอากาศต่อหน้าเสือเหลือง หนังสือบรรจงพลิกเปิดไปเองทีละหน้า
สายตาของสัตว์ร้ายแฝงไว้ด้วยความตกตะลึง
“หนังสือโบราณเล่มนี้… เต็มไปด้วยร่องรอยของเทพเบื้องบน ไม่สิ… มันอาจเชื่อมโยงกับ ‘บางสิ่ง’ ที่สูงส่งและห่างไกลกว่าเบื้องบน”
น้ำเสียงของวังจีโฮหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“แม้จะเลือนรางไปมาก แต่หนังสือเล่าถึง ‘พลัง’ ชนิดหนึ่ง ควรจะเรียกมันว่าอะไรดี… ถ้าอิงจากภาษาของประเทศนี้ มันใกล้เคียงกับคำว่า ‘พลังโชคชะตา’”
พลังโชคชะตา
คิดไม่ถึงจะคำนี้จะหลุดออกมา
นี่คือหนังสือที่อธิบายพลังโชคชะตา?
“พลังโชคชะตาอาจดำรงอยู่บนโลกของเรา และถ้าอยู่ในรูปแบบของสกิล… เกรดของสกิลจะถูกนิยามว่า EX… เพราะไม่มีการนิยามเกรดที่สูงกว่านี้อีกแล้ว… ขึ้นอยู่กับเลเวลของสกิล มันคือพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลก”
หยดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากวังจีโฮแล้วไหลลง
ไม่อยากเชื่อว่าคนที่ทำตัวสบายๆ กับทุกเรื่องจะตอบสนองรุนแรงแบบนี้
วังจีโฮสลายพลังของตนพลางใช้มือกุมขมับ
แสงสีทองเลือนหายไปจากห้องนั่งเล่น หนังสือโบราณบรรจงร่อนลงบนฝ่ามือของเขา
“หนังสือเล่มนี้ไม่มีพลังในตัวเอง แต่ก็คุ้มค่าที่จะลองศึกษา แม้อาจต้องใช้เวลาสักระยะ… ให้ฉันจัดการเอง โชอึยชิน”
ฉันพยักหน้ารับคำพูดขึงขังของวังจีโฮ
เมื่อการสนทนาจบลง ที่ประตูหน้า
“พี่โชอึยชิน ไว้เจอกันใหม่!”
“ต้องกลับมานะ อึยชินอปป้า!”
“ว…ไว้เจอกันฮะ”
ลูกหลานเสือเงินทั้งสามกล่าวคำอำลาอย่างมีมารยาท
วังจีโฮตัดสินใจศึกษาหนังสือโบราณทันที จึงไม่ได้เดินออกมาส่ง
เขาประกาศชัดเจนว่าจะทุ่มเทให้กับการค้นคว้าหนังสือโบราณ ตราบเท่าที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังจากร่างแบ่งภาคอื่นๆ ในการเรียนหรือทำงานมูลนิธิ
สิ่งสุดท้ายที่ฉันกล่าวคำอำลาคือเจ้าบ่วง
หืม…
เจ้าบ่วงดูกระวนกระวาย
มันมองสายจูงที่แขวนอยู่ข้างประตู แล้วมองมาทางฉันสลับกับแบคโฮกุน
‘อยากเดินเล่นไปจนถึงหอพักสินะ’
ลูกหลานเสือเงินทั้งสามยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากคฤหาสน์
วังจีโฮยุ่งอยู่กับการตีความหนังสือโบราณ ส่วนเสือแดงก็ไม่อยู่
เหลือแค่แบคโฮกุน แต่เนื่องจากกำลังทะเลาะกัน เจ้าบ่วงก็เลยไม่กล้าขอให้อีกฝ่ายพาเดินเล่น
‘น่ารักชะมัด… แต่จะช่วยยังไงดีล่ะ’
ขณะฉันเค้นสมองคิดหาวิธีช่วยให้เจ้าบ่วงสมหวัง
“ไปกันเถอะ” nᴏveʟɢu.ᴄᴏᴍ
แบคโฮกุนเป็นฝ่ายยกเลิกความบาดหมาง
เขาหยิบสายจูงยื่นไปหาเจ้าบ่วงราวกับไม่ได้ทะเลาะกันอยู่
ตอนแรกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ตอบสนอง แต่เมื่อเห็นสายจูงก็ทำตาเป็นประกายแล้ววิ่งเข้าไปหาแบคโฮกุนทันที
บ๊อกบ๊อก!
เจ้าบ่วงวิ่งวนรอบขาแบคโฮกุนอยู่สักพัก
จนฝ่ายหลังคล้องสายเข้ากับปลอกคอ แล้วเดินจูงออกไปนอกบ้านด้วยสีหน้าเฉยเมย
เจ้าบ่วงเดินส่ายซ้ายขวามาทางฉันที ทางแบคโฮกุนที จนกระทั่งพวกเรามาถึงเขตหอพักปีหนึ่ง
‘คืนดีกันแล้วสินะ?’
ความบาดหมางระหว่างแบคโฮกุนกับเจ้าบ่วงจบลงด้วยดี
แต่บางที นี่อาจเป็นแค่การงอนฝ่ายเดียวของลูกสุนัขขนฟูมาตลอด…
* * *
วันต่อมา ที่โรงเรียน
ห้องเรียนปี 1/0 ยังคงปกติสุข
คิมยูรีกำลังตั้งใจเก็บรายละเอียดแผนปิกนิกด้วยสีหน้ามีความสุข
เด็กในห้องผลัดกันเสนอความต้องการกับหัวหน้าห้อง
สีหน้าของวังจีโฮค่อนข้างอิดโรย
นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษ
แต่นี่ไม่ใช่วันที่ฉันจะใช้ชีวิตไปตามปกติ
‘วันนี้เป็นวันสำคัญ’
คาบบ่ายมีเรียนวิชาเลือก ‘แนะนำเอนามี’ ของกงชองวอน
แต่ฉันจะไม่เข้าเรียน
เป็นการโดดเรียนครั้งแรกนับตั้งแต่วันเอพริลฟูล
ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ที่หอพัก
‘ยกโทษให้ด้วยนะ ครูกงชองวอน ฮันอี’
เนื่องจากเป็นวิชาที่มีนักเรียนน้อย จึงสังเกตเห็นได้ง่ายถ้ามีคนโดด
อีกไม่นานจะมีสงครามแย่งจองตั๋ว
หนึ่งในแมตช์เบสบอลที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลี กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่วัน
วันนี้เป็นวันจองตั๋วล่วงหน้าสำหรับ ‘จัมซิลซีรีส์วันเด็ก’ – ศึกระหว่างสองทีมยักษ์ใหญ่ที่สนามเบสบอลจัมซิล
[05/05 14:00 จูโอดรากอนส์ vs TC ไนท์ส]
น่าเสียดายที่วันเปิดจองตั๋วเป็นวันธรรมดา แถมยังตรงกับคาบเรียน ฉันจึงไม่มีทางเลือกอื่น
‘ดีที่สุดคือที่นั่ง VIP ส่วนกลางหรือไม่ก็โต๊ะใหญ่… แย่ลงมาหน่อยเป็นที่นั่งโซนน้ำเงิน หรืออย่างแย่ที่สุดก็ที่นั่งโซนแดง…’
วันนี้เตรียมตัวมาพร้อมมาก
ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ฉันหมั่นศึกษาเคล็ดลับการจองตั๋วอยู่เสมอ
‘เราทำได้แน่!’
บ่ายสองโมงตรง
การจองเริ่มขึ้นแล้ว
“ทำไมหน้าต่างป๊อปอัปมันไม่ปิดลงไปล่ะ! เซิร์ฟเวอร์กำลังยุ่ง? อะไรเนี่ย? เริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น?”
“กำลังโหลด? ไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดกับโลกที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนาไปไกลขนาดนี้!”
“ได้ไง? ที่นั่งถูกจองแล้ว?”
“ทำไมถึงจ่ายเงินไม่ได้!”
หลังจากทะเลาะกับตัวเองราวสิบนาที
[ที่นั่ง VIP ส่วนกลาง – จำนวนคงเหลือ: 0]
[ที่นั่งโต๊ะใหญ่ – จำนวนคงเหลือ: 0]
[ที่นั่งโซนน้ำเงิน – จำนวนคงเหลือ: 0]
…
…
…
ลงเอยด้วย เกือบทุกโซนเหลือที่นั่งว่าง ‘0’
ที่นั่งดีๆ ถูกจองเกลี้ยง เหลือแค่ที่นั่งฝั่งปีกนอกว่างอยู่หลักสิบ
บนหน้าจอโฮโลแกรมกำลังแสดงหน้าต่างยืนยันการชำระเงินที่นั่งฝั่งปีกนอก
ฉันจ้องฉากอันน่าสลดหดหู่ด้วยสายตาซังกะตาย
‘จบสิ้นแล้ว’
พังไม่เป็นท่า
โซนน้ำเงิน? โซนแดง?
แม้แต่โซนกรมท่าก็ยังจองไม่ได้
ทำได้แค่จองที่นั่งโซนปีกนอก ซึ่งอยู่ไกลจากโซนนักกีฬามากที่สุด
‘ทำไมการจองตั๋วมันยากแบบนี้… ไปหาซื้อตั๋วผีหน้างานดีไหม? จะมีที่นั่งดีๆ ปล่อยมาขายรึเปล่า?’
หรือต้องเปลี่ยนแผนใหม่หมด?
ฉันที่จมอยู่กับความพ่ายแพ้ เดินกลับไปยังห้องเรียนปี 1/0 เพื่อเข้าโฮมรูมเย็น
“รองหัวหน้าห้อง ทำไมทำหน้าอมทุกข์นักล่ะ?”
“หือ…”
เม็งเฮียวทงทักทายฉันที่เดินเข้ามาในห้อง
ฉันไม่ตอบ เพียงเดินผ่านไปนั่งประจำที่ตัวเอง จนกระทั่งฮันอีหันมามอง
สกิลการตรวจจับของเธอแม่นยำจนน่าขนลุก
“ทำไมไม่เข้าเรียน”
“…ติดธุระนิดหน่อย”
“เอาโน้ตไหม”
“ขอบคุณ”
ฮันอีไม่ขุดคุ้ย
ฉันมีเพื่อนร่วมห้องที่ประเสริฐโดยแท้
หัวใจที่เคยบอบช้ำเพราะสงครามการจองตั๋ว ถูกเยียวยากลับมาเล็กน้อย
ขณะกำลังสอบถามความคืบหน้าของคาบเรียนแนะนำเอนามี
ฮัมกึนยองเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ข่าวคดีโกงข้อสอบกลางภาคคงรู้มาถึงหูเขาแล้ว
“พอดีมีงานเข้านิดหน่อย… อันที่จริง ผลสอบกลางภาคจะต้องประกาศในคาบโฮมรูมเย็นของวันนี้ รวมถึงตารางการเรียนเสริมและสอบซ่อม… แต่มันถูกเลื่อนออกไปหนึ่งวัน ครูจะอธิบายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
ฮัมกึนยองเล่าถึงเหตุการณ์โพยข้อสอบรั่วไหล
ยกเว้นฉันกับวังจีโฮ เด็กทุกคนในห้องเริ่มหัวเสียเมื่อได้ฟังจนจบ
“เรื่องนี้ไม่ได้ผิดแค่ครูและนักเรียนที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตสอบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงครูระดับหัวหน้าซึ่งมีหน้าที่คอยควบคุมดูแล”
ฮัมกึนยองเล่าทุกสิ่งที่เขารู้ มิได้อธิบายแค่ผลลัพธ์ของเรื่องราว
“ครูล้มเหลวในการรักษาความยุติธรรมให้กับผลการสอบที่พวกเธออุตส่าห์พยายามกันอย่างหนัก… ขอโทษนะ”
“ครูฮัมกึนยอง…”
เพราะมีครูดีๆ แบบนี้ไง โรงเรียนแสงเงินจึงไม่พังทลายเพียงเพราะกากเดนที่สวมเครื่องแบบครู
‘สมกับที่เป็นตัวละครของฉัน’
ฮัมกึนยองจบคาบโฮมรูมเย็นด้วยบรรยากาศหม่นหมอง
“โฮมรูมเย็นจบแค่นี้ แยกย้ายกลับบ้านได้”
ในฐานะรองหัวหน้าห้อง ฉันตัดสินใจพูดบางสิ่งเพื่อตัวละครอันเป็นที่รัก
“ครูครับ พวกเราวางแผนจะไปปิกนิกกัน สุดสัปดาห์นี้ครูว่างไหม?”