พลังโชคชะตา
สกิลเกรด EX ที่ถูกกระตุ้นไปแล้วสองสามครั้งนับตั้งแต่มาเยือนโลกใบนี้
พลังโชคชะตาคือสกิลที่คอยชี้นำชะตากรรมของฉัน ผ่านการแทรกแซงโลกด้วยอภินิหารแบบสุ่ม โดยจะอ้างอิงจากประสบการณ์ ความคาดหวัง ความคิด เป้าหมาย และความเชื่อ
ฉันเองก็ยังไม่เข้าใจการทำงานของสกิลดีนัก
‘คราวนี้อะไรอีกล่ะ…’
เหล่าสาวกของชเวย็อนทึกกำลังถูกลูกน้องฮงกยูบินลากตัวไป ส่วนนักเรียนสติแตกกำลังแหกปากกับฮงกยูบิน
มองไปรอบตัว ฉันไม่พบจุดสังเกตใดเลย
จึงกวาดสายตาไปทางชั้นวางหนังสือ
วิ้ง!
มีแสงสว่างออกมาจากจุดหนึ่ง
เพดานของห้องใต้ดินแห่งนี้สูงประมาณสามเมตร
ชั้นหนังสืออันที่สูงจรดเพดาน มีหนังสือหายากวางเรียงเป็นตับ
หนึ่งในหนังสือโบราณเหล่านั้น เล่มที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งอยู่บนชั้นสูงสุด กำลังส่องแสงแยงตาฉัน
‘อันนั้น?’
หนังสือโบราณเล่มที่ส่องแสง ค่อยๆ เลื่อนออกจากชั้นหนังสือด้วยตัวเองอย่างเงียบเชียบ และตกลงมาทางฉัน
คำนึงจากลักษณะการตก ความเร็ว และตำแหน่ง ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ
ฉันค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบหนังสือโบราณที่กำลังร่อนลงมา
‘…เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร’
เมื่อกางออก ด้านในเกือบจะว่างเปล่าเพราะอักษรเลือนไปหมดแล้ว
…ต้องทำยังไงกับมัน?
‘มีบางสิ่งที่คล้ายอักษรเขียนอยู่ก็จริง แต่น่าจะเป็นอักษรโบราณ… อ่านไม่ออกแฮะ’
ภาษาที่เคยเห็นในหนังสือเซตติ้ง
และเคยเห็นบนโลกนี้สองครั้ง
ครั้งแรกได้เห็นในมิติขณะใช้ ‘น้ำหนักของความมั่งคั่งและชีวิต’ ที่ได้รับจากอุงเนียจอมคร่ำครวญ ครั้งที่สองเห็นจากวงแหวนเวทในชั้นใต้ดินของคฤหาสน์วังมยองโฮ ซึ่งเป็นสถานที่จัดประชุมพันธมิตรสิบสองจักรราศี
‘เปลี่ยนเป็นไอเท็มการ์ดแล้วเก็บใส่เมนูพิเศษไว้ก่อนก็แล้วกัน’
ฉันนำหนังสือโบราณที่หยุดส่องแสงใส่ไว้ในหน้าต่างไอเท็ม จากนั้นก็เปิดอุปกรณ์แล้วส่งข้อความหาวังจีโฮ
ด้วยเกรงว่าอาจมีปัญหาในอนาคต จึงต้องขออนุญาตท่านประธานเอาไว้ก่อน
[ฉัน] ขอยืมหนังสือในห้องสมุดใต้ดินสักเล่มนะ
ร่างแบ่งภาคของวังจีโฮที่สร้างขึ้นเพื่อเล่นสนุก อ่านข้อความแล้วตอบกลับทันที
[วังจีโฮ] ได้สิ
ไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าเป็นหนังสืออะไร
[วังจีโฮ] ให้ฉันอ่านด้วยนะ
ฉันตอบกลับไปว่า ‘โอเค๊’ แล้วปิดอุปกรณ์ทันที
ยังไงก็มีแผนจะถามถึงเนื้อหาและที่มาของหนังสืออยู่แล้ว
วังจีโฮน่าจะอ่านภาษาโบราณออก
แต่ด้วยตัวอักษรที่เลือนขนาดนั้น ยังคงมีคำถามว่าจะอ่านจับใจความรู้เรื่องอยู่หรือไม่
“คุยกันไม่รู้เรื่องเลยแฮะ… ขึ้นไปกันเลยดีกว่า อึยชิน แถวนี้มีพลังงานหนาแน่นมาก”
ฮงกยูบินถอนหายใจแผ่วเบา เป็นนัยว่ายอมแพ้ที่จะสอบปากคำ
นักเรียนที่ดูเหมือนยังพอมีสติในตอนแรก ปัจจุบันสลบไปในท่าก้มหน้าตามที่ฉันบอก
‘…เป็นเราก็คงอยากหมดสติมากกว่าลืมตาขึ้นมาเผชิญความจริง’
ระหว่างกำลังเดินขึ้นข้างบนไปพร้อมฮงกยูบิน ฉันถามในสิ่งที่อยากรู้
“จะทำยังไงกับพวกเขา?”
“คงต้องพาไปกักตัวแล้วลงมือขจัดคำสาปทันที… คำสาปกัดกินเข้าไปลึกมากทีเดียว ต้องรีบรักษาก่อนที่เด็กเหล่านี้จะทำร้ายตัวเองด้วยพลังพิเศษ… แต่เนื่องจากขั้นตอนการรักษามีความเสี่ยงสูง เราจำเป็นต้องแจ้งให้ผู้ปกครองรับรู้และยินยอมก่อน”
“อาฮะ”
สิ่งใดกำลังรอพวกเขาอยู่ในอนาคต?
การขจัดคำสาปอันแสนเจ็บปวด แถมยังมีค่าใช้จ่ายสูงลิบ
บทลงโทษที่อาจร้ายแรงถึงขั้นถูกไล่ออก โทษฐานโกงข้อสอบกลางภาค
การตำหนิตัวเองอย่างหนัก ที่เคยคิดจะให้คนอื่นสละแทนตัวเอง
ถึงสังคมจะใจดีกับพวกเขาเพราะเป็นผู้เยาว์ แต่การข้ามผ่านก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ตัวละครที่มีจิตใจงดงามอย่างจูเก่อแจกอล อาจยอมสละตัวเองเพื่อช่วยพวกเขา
แต่ไม่ใช่กับฉัน
“อึยชิน ยังจำที่ฉันเคยพูดไว้ได้ไหม”
ฮงกยูบินเกริ่นขึ้นมาขณะฉันดำดิ่งในความคิด
เรื่องไหนล่ะ?
เขาเป็นคนพูดมาก เลยไม่รู้ว่ากำลังหมายถึงอันไหน
“ที่เคยบอกว่า ในเหตุการณ์ตอนสอบเข้า ฉันชอบการตัดสินใจของเธอ มากกว่าฝีมือที่เธอแสดงให้เห็น… และฉันจะขอเข้าข้างเธอ ต่อให้ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นที่ถกเถียงในสังคมภายหลัง”
เป็นประโยคที่ได้ยินในวันแรกที่ได้เจอกับฮงกยูบิน
เคยเข้าใจว่าเป็นคำพูดหว่านล้อม เพื่อให้ฉันยอมเปิดเผยข้อมูลสกิลของตัวเอง
“ฉันชอบทุกทางเลือกของเธอในตอนนั้น รวมถึงการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในภายหลัง”
เขายังคงพูดต่อไป
สงสัยกลัวฉันจะคิดว่าเขามีเจตนาแอบแฝง
“อึยชิน วันนี้ฉันคงต้องขอบคุณเธออีกครั้ง… ขอบคุณในทุกการตัดสินใจ ถ้าไม่มีเธอ ครูแจกอลคงยอมเสียสละตัวเองเพื่อพวกเขา และเผชิญคำสาปร้ายแรงตามลำพัง”
ฉันไม่ตอบสนอง
ในใจไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย
ตัวละครของฉัน จูเก่อแจกอล เคยต้องตายแทนเด็กพวกนี้โดยไม่มีโอกาสได้ทำประโยชน์ให้ผู้อื่น
เด็กนักเรียนที่เข้ามาพัวพันกับเหตุการณ์ ต้องหาทางชดใช้บาปและเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยตัวเอง
“หัวหน้าทีม เราส่งตัวครูทุกคนเสร็จแล้ว จะให้เคลื่อนย้ายนักเรียนเลยไหม?”
“รบกวนด้วย”
ชายสองคนปรากฏตัวด้านหลังฮงกยูบิน
ฮงกยูบินเคยเกริ่นไว้แล้วว่า เขาจะเล่าทุกสิ่งที่เห็นในห้องสมุดใต้ดิน ให้ลูกน้องคนสนิททั้งสองฟัง
ฉันทำอะไรมากไม่ได้ เพราะยังไงพวกเขาก็คงดักรออยู่ที่ทางขึ้นห้องสมุดอยู่ดี
แต่ถึงจะพูดแบบนั้น
‘มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง…!’
หนึ่งในลูกน้องของฮงกยูบินเดินเข้ามาหา
ฉันรู้สึกเหมือนเดจาวู
และแน่นอนว่าไม่ได้คิดไปเอง
“ซูเปอร์โนว่าไร้นาม! ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ! หน้ากากอีกาเหมาะกับเธอมาก!”
พอได้ยินเสียง ฉันคุ้นขึ้นมาทันทีว่าเขาคือ ‘พนักงานจอง’ ที่เคยเจอกันมาก่อน
หมอนี่ก็อยู่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมายของสมาคมเพลเยอร์?
“ขอลายเซ็นได้ไหม? ขอถ่ายรูปด้วยยิ่งดี… จะใส่หน้ากากหรือไม่ใส่ก็ได้นะ หรือจะถ่ายแยกทั้งสองแบบก็ได้! แล้วก็ขอรหัสอุปกรณ์ด้วยสิ!”
หมับ!
ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค คนที่น่าจะเป็น ‘ผู้ช่วยยุน’ คว้าคอพนักงานจองไว้
เมื่อเห็นความเร็วในการลงมือ ขอเดาว่าเรื่องนี้คงเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว
“โธ่! รองหัวหน้า! ขอเวลานิดเดียวเอง! ผมตั้งใจทำงานมาตลอดนะ หยวนๆ กันหน่อยไม่ได้รึไง?”
“ไปได้แล้ว”
“เพราะนิสัยแบบนี้ไงถึงถูกหญิงทิ้ง… โอ๊ย! ขอโทษครับ! ผมผิดไปแล้ว! อ๊า!”
แค่ก—
พนักงานจองก็ไม่น่าขุดหลุมฝังศพตัวเอง
ดูเหมือนจะได้ยินเสียงสำลักด้วยนะ
มองผ่านหน้ากาก สีหน้าของพนักงานจองเริ่มม่วงคล้ำขึ้นเรื่อยๆ แต่มือของรองหัวหน้ายุนที่บีบคอไว้ยังคงไม่คลายออก
ฮงกยูบินมองฉากดังกล่าวด้วยแววตาไร้อารมณ์
“…อึยชิน ไม่ต้องไปใส่ใจนะ”
“ครับ”
นี่คงเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ฉันกับฮงกยูบินคิดเห็นตรงกัน
* * *
ก่อนเที่ยงคืน
ฮงกยูบินกลับถึงบ้านก่อนปฏิทินเปลี่ยนวัน
แต่ช่างน่าเศร้า อีกหนึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ เขาต้องไปทำงานต่อ
สรุปแล้วที่ไหนคือบ้านกันแน่?
‘คงต้องรีบอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และไปสมาคม…’
อันดับแรกก็ต้องตรวจสอบอุปกรณ์ของสาวกชเวย็อนทึกที่ยึดมาได้ เพื่ออ่านประวัติการสนทนาทั้งหมด
ตอนนี้ทีมสนับสนุนด้าน IT รอประจำการอยู่แล้ว เมื่อไปถึงก็เริ่มงานได้ทันที
คงต้องเค้นข้อมูลให้ได้มากที่สุด เท่าที่อำนาจของสมาคมจะอนุญาต
จากนั้นก็จับส่งตำรวจ
‘ในเมื่อข่าวนี้ยังไม่แพร่ไปถึงหูคณาจารย์ คงต้องติดต่อผ่านมูลนิธิวังมยองเพื่อขออนุญาตเหมือนทุกที’
เนื่องจากคดีนี้สอดคล้องกับหนึ่งในเจตนารมณ์ของสมาคมเพลเยอร์ – คุ้มครองเพลเยอร์ – ทางสมาคมจึงมีสิทธิ์เข้ามาแทรกแซง
ประเทศเกาหลีเกือบต้องสูญเสียเพลเยอร์อายุน้อยและเพลเยอร์ผู้รักความยุติธรรมไปแล้ว
‘หลังจากปกปิดความสัมพันธ์ระหว่างเหยื่อกับจูเก่อแจกอล คงต้องทำให้เรื่องนี้เป็นคดีโกงข้อสอบกลางภาคทั่วๆ ไป…’
ยังเหลืองานอีกมากที่ต้องทำร่วมกับมูลนิธิ
อันดับแรก ต้องตามหาตัวคนที่ยุ่งกับเครื่องบันทึกภาพในห้องพักครูของเขตปีสอง
ถัดมา คัดกรองบุคลากรที่สามารถแก้ไขประวัติการผ่านเข้าออกหอสมุดกลาง
จากนั้น เปรียบเทียบผลคะแนนสอบย่อยกับสอบกลางภาค เพื่อดู ‘วิชา’ ที่มีการทุจริต และจับกุมครูประจำวิชานั้น
ถ้าเป็นไปได้ รอให้นักเรียนอาการดีขึ้นแล้วทำการสอบปากคำ
‘…ดูท่าคงต้องทำโอทีไปตลอดเดือนพฤษภาคม’
ฮงกยูบินวางแผนในหัวมากมาย พลางขยับร่างกายไปตามจิตใต้สำนึก
ร่างกายอาจเหนื่อยล้าเพราะแทบไม่ได้นอน แต่สมองของเขายังเฉียบแหลมโuเวลกูดoทคoม
‘วิกฤติของโรงเรียนแสงเงินยังไม่จบ ห้ามประมาทเด็ดขาด’
สกิล ‘นิมิต’ ของฮงกยูบินยังคงร้องเตือน
‘ครูแจกอล ครูจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม…’
จูเก่อแจกอลต้องเสียสละหลายสิ่งเพื่อฮงกยูบิน
จึงพูดได้ไม่เต็มปากว่า การไขคดีในคราวนี้จะช่วยทดแทนบุญคุณได้ทั้งหมด
‘หวังว่าสักวันจะใช้คืนได้ครบนะ…’
โดยไม่ต้องพึ่งพาสกิลนิมิต เขากล้าพูดอย่างมั่นใจ
วันนั้นคงมาไม่ถึง
ความฝันของฮงกยูบินเป็นจริงได้เพราะจูเก่อแจกอล แต่ต้องแลกมากับการเสียสละความฝันหนึ่งอย่างของเขา
‘…จะว่าไป วันนี้ยังไม่ได้ส่งข้อความหาครูเลย’
ปฏิทินยังไม่เปลี่ยนวัน
เดินออกมานอกบ้าน ฮงกยูบินเปิดอุปกรณ์แล้วส่งข้อความทักทายครูของตนเหมือนทุกวัน
เขาส่งข้อความด้วยความคิดทำนองว่า ‘ครูคงมองเป็นเรื่องน่ารำคาญเหมือนเดิม’
ขณะเปิดประตูเข้าไปนั่งในเพลเยอร์คาร์โดยไม่คาดหวัง
ติ๊ง!
มีข้อความเข้า
[คุณครู] ทางนี้ก็เช่นกัน ดูแลตัวเองด้วยนะ
ข้อความจากบุคคลเดียวในรายชื่อผู้ติดต่อที่เขาบันทึกไว้ว่า ‘คุณครู’
ฮงกยูบินมีสีหน้าสดชื่นเมื่อได้รับข้อความจากบุคคลที่ขาดการติดต่อกันไปนาน
ก่อนหน้านี้ยังทำเป็นไม่รู้จักอยู่เลย… มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับครูหรือ?
อาการล้าหายเป็นปลิดทิ้ง
‘หวังว่าครูจะไม่รำคาญนะ’
ฮงกยูบินขับรถมุ่งหน้าไปยังสำนักงานสมาคม ด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกับตอนที่โชอึยชินทำหน้าครุ่นคิด
* * *
เมื่อวานมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย แต่บรรยากาศในโรงเรียนกลับยังสงบ
จริงอยู่ การทุจริตสอบกลางภาคอาจเป็นเรื่องใหญ่ แต่โชคดีที่ยังไม่ถึงช่วงเวลาแจกเกรดนักเรียน
เรื่องราวก็เลยราบรื่นกว่าที่คิด
‘ดูท่า หัวหน้าทีมฮงกยูบินคงแทบไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน’
และนี่คือเนื้อหาที่ฮงกยูบิน ผู้น่าจะไม่ได้นอนเลย ส่งมาถึงฉัน:
มูลนิธิวังมยองรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่เป็นแค่ส่วนน้อย
ข้อมูลที่จะบอกให้คณาจารย์รับรู้ คือมีครูบางคนแอบปล่อยข้อสอบกลางภาคให้นักเรียนโดยเรียกร้องผลประโยชน์แลกเปลี่ยน
ส่งผลให้ครูและนักเรียนทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องออกจากโรงเรียน
‘เรื่องอื้อฉาวทำนองนี้จะทำให้โรงเรียนแสงเงินเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่นั่นก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะอำพรางให้คดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจูเก่อแจกอลเลย’
ไม่มีทางที่ฮงกยูบินจะไม่ทำลายหลักฐานที่บ่งชี้ไปถึงจูเก่อแจกอล
จริงอยู่ การควบคุมข้อมูลและอำพรางคดีคืองานที่ยาก แต่ฉันเชื่อในพรสวรรค์ของฮงกยูบินผู้รักการทำงาน
นั่นคือเหตุผลที่โรงเรียนยังคงเงียบสงบ
…ฉันเคยคิดแบบนั้น แต่ไม่จริงเลย
“วันนี้ฉันเห็นรุ่นพี่ปี 2/0 มาโรงเรียนพร้อมกัน! พวกเขาเจ๋งโคตร!”
ดูเหมือนคิมยูรีจะได้พบกับแก๊งปี 2/0 ระหว่างทาง
“ฉันเห็นรูปที่โพสต์ในบอร์ดรวมแล้วเหมือนกัน!”
ฟังจากที่ซาวอลเซอึมพูด คงมีรูปใหม่เพิ่งถูกโพสต์ในบอร์ดเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อลองเปิดโฮโลแกรมแล้วไล่อ่านบอร์ดทั่วไป ฉันได้พบกับความฉูดฉาดและอลังการของห้อง 2/0
ปี 2/0 เดินทางมาโรงเรียนพร้อมกับจูเก่อแจกอล ในชุดแก๊งสะท้อนแสงสีฉูดฉาดโดยปราศจากความอับอาย
ได้เห็นเสื้อผ้าของทุกคนปักชื่อโรงเรียน ชื่อห้อง ชื่อจริงของแต่ละคน และคำนิยามจากเพื่อนร่วมห้อง เดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาสนิทกันแค่ไหน
ถึงรสนิยมทางแฟชั่นจะน่าขนลุกก็ตามที
โดยเฉพาะลวดลายและสีสันของชุดจูเก่อแจกอล
“ได้ยินว่าครูฮัมกึนยองที่เข้าเวรหน้าประตูโรงเรียนในตอนเช้า ถึงกับผงะเมื่อได้เห็นครูแจกอลในสภาพนั้น… ครูแจกอลรีบส่งสายตาขอโทษขอโพยยกใหญ่เลย”
คิมยูรีเล่าถึงสงครามประสาทระหว่างเด็กปี 2/0 กับกรรมการรักษาระเบียบที่หน้าประตูโรงเรียน
โรงเรียนแสงเงินอนุญาตให้แต่งกายได้ค่อนข้างอิสระ
ทรงผมก็ไม่บังคับ และสามารถดัดแปลงชุดนักเรียนได้ตามใจชอบ
ถึงจะมีกรรมการรักษาระเบียบเข้าเวรหน้าประตูโรงเรียน แต่ก็ไม่มากไปกว่าการรักษาความปลอดภัย และคอยทักทายทุกคนในช่วงเช้า
‘แต่ปี 2/0 ไม่ได้ใส่อะไรที่บ่งบอกถึงการเป็นชุดนักเรียนเลย…’
เมื่อได้เห็นเครื่องแต่งกายของปี 2/0 กรรมการรักษาระเบียบที่เข้าเวรพลันโมโหพร้อมกับพูดว่า ‘กล้ามากนักนะที่ไม่แต่งเครื่องแบบมาเรียน!’
ลงเอยด้วย โอเยจี หัวหน้ากรรมการรักษาระเบียบ และมือขวาอย่างมาจินซึง ขู่เด็กห้อง 2/0 ว่าจะตัดคะแนนจิตพิสัย ด้วยเหตุผลว่าไม่ยอมแต่งเครื่องแบบของสถาบันเข้าเรียน
แต่ห้อง 2/0 ดูจะไม่สนใจคะแนนจิตพิสัยแม้แต่น้อย
ทุกคนเดินผ่านรั้วโรงเรียนด้วยสีหน้ามั่นใจ
นั่นคือจุดเริ่มต้นของรูปถ่ายจำนวนมากบนบอร์ดทั่วไป
แถมยังเป็นการจงใจโพสต์ท่าถ่าย
‘เหล่าตัวละครของฉัน… คงเหนื่อยกันแย่เลยสินะ’
ทันทีที่จูเก่อแจกอลเดินพ้นประตูโรงเรียนเข้ามา เขารีบกลับห้องพักครูเพื่อเปลี่ยนชุด
แต่ก็ถูกนักเรียนขอถ่ายรูปมาตลอดทาง
‘อุตส่าห์บอกให้แอบลักพาตัวเงียบๆ … แต่ช่างเถอะ อย่างน้อยพวกเขาก็เงียบในตอนที่เราลงมือ’
หัวหน้าห้องอย่างกึมชานซอลยังเขียน ‘รีวิวปิกนิกครั้งแรกของปี 2/0’ ลงบนบอร์ดด้วยตัวเอง
พวกเขากินและเล่นกันสุดเหวี่ยง
แต่อะไรคือ ‘ครั้งแรก’ ?
ยังจะมีครั้งที่สองและสาม?
ทันใดนั้น สิ่งที่ไม่คาดฝันพลังบังเกิด
“…อิจฉาจัง พวกเราก็ใส่ชุดแก๊งไปปิกนิกกันบ้างเถอะ!”
ไม่อยากเชื่อว่าคิมยูรีจะอิจฉาเด็กปี 2/0
“สองวันหนึ่งคืนอาจจะยาก แต่พวกเรามีงบสำหรับเที่ยวหนึ่งวันอยู่… ทำชุดแก๊งแล้วชวนครูฮัมกึนยองไปด้วยกันเถอะ!”
“ใช่! เอาด้วย!”
“น่าสน…”
“ฉันด้วย ฉันก็อยากไป!”
อีเรนา ฮันอี และซาวอลเซอึมต่างเห็นด้วยทันที
รวมเป็นสี่คน ตัวเลขนี้เกินกว่าครึ่งของเจ็ดคน หมายความว่าปี 1/0 จะต้องหาโอกาสออกไปปิกนิก
จริงๆ ก็มีกำหนดต้องไปปิกนิกช่วงปิดภาคเรียนอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนจะอยากจัดกันเองก่อนหน้านั้น
แถมยังอยากจะทำชุดแก๊ง
‘…พวกเด็กๆ ชอบแบบนี้กันหรือ’
ต่อให้ตัดซาวอลเซอึมที่ตื่นเต้นกับทุกเรื่องออกไป
ไม่อยากเชื่อว่าคิมยูรี อีเรนา และฮันอีซึ่งดูเป็นคนเรียบร้อย จะอิจฉาและอยากทำชุดแก๊งเหมือนกับปี 2/0
‘บางครั้งก็ไม่เข้าใจความคิดของตัวละครตัวเองเลยแฮะ’
นี่คือความอับอายในฐานะสวะเดนตายของเกมกากแห่งชาติ
ถึงเวลาต้องหันกลับมาทบทวนตัวเองดูบ้างแล้ว
“เอ่อ… เดือนพฤษภาคมก็ไม่แย่นะ”
เม็งเฮียวทง นายก็ด้วย?
ถ้าจำไม่ผิด เคอร์ฟิวของเขาจะหมดลงในช่วงเดือนพฤษภาคม
อยากออกไปข้างนอกแล้วสินะ
ขณะฉันเผยสีหน้าซับซ้อน วังจีโฮทำตาเป็นประกาย
หมอนี่คงอยากไปแหงๆ
“ไปแม่น้ำฮันไหม? ฉันเคยเห็นคนไปปิกนิกกินไก่ริมแม่น้ำฮันแล้วรู้สึกอิจฉา”
“ฉันจะสั่งไก่หวาน… ไม่มีกระดูก”
“ฉันเอารสเผ็ด!”
เลยเถิดไปถึงรสไก่ทอดกันแล้ว
บทสนทนาเป็นไปอย่างชื่นมื่น
ลงเอยด้วย คิมยูรีสามารถวางแผนปิกนิกอย่างละเอียดเสร็จตั้งแต่ยังไม่เริ่มคาบโฮมรูม
* * *
หลังเลิกเรียนวันเดียวกัน
ฉันแวะมาที่คฤหาสน์ของวังมยองโฮ
พร้อมกับหนังสือโบราณที่ได้มาจากพลังโชคชะตา
—
MasterGU.edited = ปกป้องเพลเยอร์->คุ้มครองเพลเยอร์