โรงยิมหมายเลขห้าของเขตปีหนึ่งถูกออกแบบเพื่อการซิมูเลเตอร์โดยเฉพาะ
มีไว้สำหรับจำลองมิติเสมือนจริงของต่างโลกเพื่อฝึกการต่อสู้
ตามผนัง พื้น และอุปกรณ์ต่างๆ จะถูกหุ้มด้วยโลหะของต่างโลก เพิ่มประสิทธิภาพในการจำลองให้สมจริง
“นี่มันโรงยิมประสาอะไร? ดูไม่เหมือนไว้เล่นกีฬาเลยแฮะ”
“ยังกับโรงหนัง VR แน่ะ!”
“ใช่ เหมือนโรงหนัง VR มากกว่าโรงยิมอีก คงเพราะถูกออกแบบมาให้จำลองประสาทสัมผัสทั้งห้า”
“เจ๋งชะมัด”
นักเรียนปี 1/0 กวาดสายตาด้วยอาการตื่นเต้น ไม่นานกริ่งเริ่มคาบก็ดังขึ้น
ยังคงเป็นเพลงรณรงค์เลือกตั้งเหมือนเดิม
ทันทีที่กริ่งจบลง ฮัมกึนยองเดินเข้ามาในชุดพละที่ปักตราโรงเรียนไว้กลางหลัง
“คาบเรียนเริ่มแล้ว ครูจะส่งโครงสร้างของดันเจี้ยนเกรด R+ ที่พวกเธอต้องฝึกเข้าไปในอุปกรณ์… มีเวลาให้เตรียมตัวครึ่งชั่วโมง”
“หา? มาถึงก็เอาเลยหรือ? แถมยังแค่พวกเรา? แล้วครูล่ะ?”
“ถูกต้อง และอนุญาตให้ใช้แค่อุปกรณ์เกรด R ที่โรงเรียนเตรียมให้เท่านั้น ไอเท็มสนับสนุนก็จัดหาให้ตามมาตรฐานของดันเจี้ยนเกรด R… ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนถามได้”
ฮัมกึนยองที่ตอบคำถามของคิมยูรี ตั้งเวลานับถอยหลังสามสิบนาทีบนโฮโลแกรม
เด็กๆ ที่ยังไม่มีประสบการณ์เริ่มออกอาการตื่นตระหนก
‘นี่คือทีมเพลย์ครั้งแรก… หรือว่าครูอยากจะมอบบทเรียนพิเศษ เหมือนในตอนที่ดวลกันคาบแรก?’
ฮัมกึนยองพูดจบได้ไม่นาน รอยแยกต่างโลกโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่า
ตามปกติแล้ว รอยแยกเกรด SR ขึ้นไปจะ ‘มีลางบอกเหตุล่วงหน้า’ ซึ่งดาวเทียมเพลเยอร์ SAT-K สามารถตรวจจับได้
แต่รอยแยกเกรดต่ำจะโผล่ขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เป็นการดีที่จะฝึกซ้อมเพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ไม่คาดฝัน
“นึกถึงตอนสอบเข้าเลยแฮะ พวกเราต้องจับกลุ่มสี่คนสู้กับเอนามีเกรด N… นั่นน่ะไม่ยากเท่าไร… แต่นี่มัน”
“เอนามีจะปรากฏตัวในดันเจี้ยนไม่ต่ำกว่าสิบตัว แถมยังมีโอกาสเจอตัวที่มีเกรด R…”
ซาวอลเซอึมกับอีเรนายืนทำหน้าหมองคล้ำขณะอ่านโครงสร้างดันเจี้ยนที่ถูกส่งเข้ามาในอุปกรณ์
เม็งเฮียวทงที่เคยดวลกับเอนามีเกรด R+ ตัวต่อตัวแบบมือเปล่าเป็นประจำ เอียงคอสงสัยด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
นี่เรียกว่ายากแล้ว? ยากตรงไหนกัน?
“พวกนายอย่าได้กังวล”
วังจีโฮมองฉันตาเป็นประกาย
รู้สึกไม่ดีเลยแฮะ…
“พวกเรามีซูเปอร์โนว่าไร้นาม โชอึยชินอยู่ทั้งคน”
ได้ยินคำพูดวังจีโฮ ทุกสายตาจับจองมาที่ฉัน
“จริงด้วย! อึยชินเป็นคนนำทีมในอุบัติเหตุครั้งนั้นสินะ!”
“ใช่แล้ว ซูเปอร์โนว่าไร้นาม!”
“มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ…”
คิมยูรี อีเรนา และซาวอลเซอึมมองฉันตาเป็นประกาย
ฉันไม่สามารถปฏิบัติต่อพวกเขาแบบที่ทำกับวังจีโฮ จึงได้แค่ยืนอ้ำอึ้ง
“ขอให้โชคดีนะ พ่อซูเปอร์โนว่าไร้นาม”
ขอสักหมัดได้ไหม… ไม่สนแล้วว่าจะอายุห้าพันปีหรือเท่าไร
ตอนนี้ผู้นำเผ่าเสือคือวังจีโฮ แถมเมื่อไม่กี่วันก่อนยังเป็นคนนำทีมเผ่าเสือบุกไปช่วยเผ่ากระต่าย
ถ้าเขาต้องการ ก็คงไม่ยากที่จะนำทีมเด็กปีหนึ่งลุยดันเจี้ยนเกรด R+
‘วังจีโฮต้องมีประสบการณ์โชกโชนแน่’
แต่ช่างเถอะ… เราเปลี่ยนใจหมอนี่ไม่ได้อยู่แล้ว
คำนึงจากบรรยากาศ ฉันจำใจต้องเป็นคนนำทีมอย่างไม่มีทางเลือก
“ทุกคนอธิบายสกิลของตัวเองมา… แล้วบอกด้วยว่าจะใช้แสงประทานหรือไม่”
ถ้าไม่นับฉัน ตอนนี้ในห้องศูนย์มีนักเรียนทั้งสิ้นหกคน
วังจีโฮกับฮันอีเป็นตัวละครที่ควบคุมไม่ได้ในเกม (NPC)
คิมยูรี อีเรนา เม็งเฮียวทง และซาวอลเซอึมเป็นตัวละครที่ควบคุมได้
นอกจากวังจีโฮ ฉันเข้าใจสกิลและแสงประทานของคนที่เหลือเกือบหมดแล้ว แต่ต้องแสร้งไม่รู้เพราะไม่มีทางที่โชอึยชินในโลกนี้จะรู้
‘เพลเยอร์บางคนไม่อยากเปิดเผยแสงประทานของตัวเอง และบางคนก็ไม่กล้าใช้มันไปตลอดชีวิต’
โดยเฉพาะสกิล ‘ส่งสาร’ ของซาวอลเซอึมที่ถือว่าหายากระดับสุดยอด
เพราะมันเกี่ยวข้องกับความลับทางชาติกำเนิดของเขาโดยตรง
ผลลัพธ์ก็คือ ทุกคนแจ้งข้อมูลมาดังนี้:
วังจีโฮ: แสงประทาน X, สกิล ‘วิชาไม้พลอง’ , ‘มวยพยัคฆ์’
เม็งเฮียวทง: แสงประทาน O, สกิล ‘ต่อสู้’
ซาวอลเซอึม: แสงประทาน X, สกิล ‘บิน’ , ‘ศาสตร์แห่งลม’
คิมยูรี: แสงประทาน X, สกิล ‘ฟันดาบ’ , ‘ตรวจจับอันตราย’ , ‘สปรินเตอร์’
ฮันอี: แสงประทาน X, สกิล ‘มวยพยัคฆ์’ , ‘ตรวจจับสัญญาณ’ , ‘กระโจน’
อีเรนา: แสงประทาน O, สกิล ‘เฆี่ยน’ , ‘ตรวจจับเอนามี’ , ‘ปลดกับดัก’
โชอึยชิน: แสงประทาน X, สกิล ‘สรรพภัณฑ์’ , ‘ตรวจจับเอนามี’
ฉันกุเรื่องสกิลตรวจจับเอนามีขึ้นมาเอง เพื่อกลบเกลื่อนเสียงแจ้งเตือนของสกิล ‘เมนูพิเศษ’
เม็งเฮียวทงแสดงความฉงนโดยไม่ปิดบัง
“ทำไมถึงไม่ใช้แสงประทานกัน?”
“ร่างกายฉันจะเจ็บปวดมากเวลาใช้แสงประทาน”
“แสงประทานของฉันไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้ แถมเงื่อนไขการใช้ก็ยุ่งยาก”
เป็นคำตอบของฮันอีและซาวอลเซอึม
เป็นเหตุผลที่ไม่เคยเห็นฮันอีใช้แสงประทานในเกม?
ส่วนของซาวอลเซอึมก็ตามที่เจ้าตัวพูด ไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้และเงื่อนไขซับซ้อน
“ฮะฮะ… ส่วนฉันยังไม่ชินกับแสงประทานตัวเองน่ะ”
คิมยูรีที่หวาดกลัวแสงประทานของตน ตอบพลางเบือนหน้าหนี
วังจีโฮแค่ยิ้มโดยไม่พูด
การที่เผ่าเสืออย่างวังจีโฮไม่ยอมใช้แสงประทานนับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว ไม่อย่างนั้นสถานการณ์คงวุ่นวาย
“โปรเพลเยอร์หลายคนก็ไม่ได้ใช้แสงประทานนะ อย่างคนของทีมสิงโตแดงกับกลิ่นไฮเดรนเยีย หรือต่างประเทศก็ทีม ‘สัจจะสามอัศวิน’”
“จริงหรือ?”
แม้จะรู้สึกทึ่ง แต่เม็งเฮียวทงก็คล้อยตามคำพูดฉัน
“พวกเราจะลุยกันแบบไม่ใช้แสงประทานไหมล่ะ?”
“เหตุผล?”
“แสงประทานส่วนใหญ่จะจำกัดการใช้งานต่อวัน ถ้าไม่สำคัญจริงๆ ก็เก็บไว้ดีกว่า”
สำหรับฉัน เส้นทางเพลเยอร์จะสิ้นเปลืองพลังงานตามการ์ดที่เลือกใช้
คิมยูรีกับอีเรนาช่วยอธิบายเสริมกับเม็งเฮียวทงที่ยังไม่เข้าใจ
“เท่าที่ได้ยินมา ถ้ารอยแยกต่างโลกเพิ่งเปิดออก แสงประทานก็ไม่จำเป็นขนาดนั้น”
“ใช่แล้ว นี่เป็นแค่ดันเจี้ยนเกรด R+ ถ้าสามารถเคลียร์ได้ในหนึ่งชั่วโมง ไม่จำเป็นต้องใช้แสงประทานก็ได้ เพราะระหว่างนั้นจะยังไม่มีเอนามีเกิดด้านนอก”
เมื่อรอยแยกต่างโลกเปิดออก ดันเจี้ยน หอคอย หรือวงกต จะปรากฏขึ้น
เอนามีจะถูกสร้างขึ้นรอบๆ รอยแยกด้วยเช่นกัน หรืออีกนัยหนึ่ง—โลกความจริง
ดังนั้นตามปกติแล้ว ทีมรับมือรอยแยกจะแบ่งออกเป็นสองหน่วย หน่วยบุกกับหน่วยป้องกัน
หน่วยบุกจะมีหน้าที่เข้าไปเคลียร์รอยแยก ส่วนหน่วยป้องกันจะมีหน้าที่รับมือเอนามีด้านนอก
‘ทีมรับมือรอยแยกจึงควรมีห้าคน สามคนเป็นหน่วยบุก และอีกสองคนหน่วยป้องกัน’
แน่นอน ขุมกำลังที่แข็งแกร่งกว่าควรถูกจัดให้อยู่หน่วยบุก
เพราะตราบใดที่เคลียร์รอยแยกไม่ได้ รอยแยกจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และสร้างเอนามีต่อชั่วโมงมากขึ้น
‘แต่ดันเจี้ยนจำลองในคราวนี้มีเกรดแค่ R+ ไม่จำเป็นต้องแบ่งหน่วยป้องกัน ทั้งห้าคนสามารถทุ่มเทให้กับการบุกได้เลย’
เพลเยอร์ห้องศูนย์จำนวนเจ็ดคน
ดันเจี้ยนจำลองระดับพื้นฐาน
เอนามีเกรด R
ถ้าคำนึงจากเกรด ดันเจี้ยนในคราวนี้ไม่ยากเท่าไร
แถมยังมีอุปกรณ์แจกเกรด R ที่โรงเรียนจัดหามาให้
สำหรับฉัน เม็งเฮียวทง และวังจีโฮถือเป็นของกล้วยๆ หรือแม้แต่คิมยูรีและฮันอี ก็คงสามารถโซโล่ดันเจี้ยนนี้ได้ทันภายในหนึ่งชั่วโมง
‘ครูฮัมกึนยองตั้งค่าดันเจี้ยนง่ายเกินไปเพราะยังไม่รู้ศักยภาพที่แท้จริงของพวกเรา? ไม่มีทาง’
คงมีเจตนาแอบแฝง และพอจะเดาได้ไม่ยาก
ฉันสรุปแผนการได้ในทันที
ถึงจะเป็นกลยุทธ์ที่มีฉันเป็นศูนย์กลาง แต่นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการเคลียร์ดันเจี้ยนด้วยเงื่อนไขปัจจุบัน
“ฉันจะอธิบายแผนให้ฟัง”
ตามปกติแล้ว เพลเยอร์หลักในแผนจะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมของต่างโลกที่เข้าไปบุก
สำหรับดันเจี้ยนในคราวนี้ ฉันเหมาะสมที่สุด
ถึงจะเขินตัวเองนิดหน่อยขณะอธิบายแผนการ แต่เด็กห้องศูนย์ทุกคนต่างก็พยักหน้ารับและทำตาม
เจ้าพวกนี้ซื่อตรงจนเกือบจะซื่อบื้อ
ยกเว้นวังจีโฮไว้หนึ่งคน
—สาม สอง หนึ่ง
ศูนย์
การนับถอยหลังบนโฮโลแกรมจบลง
ฮัมกึนยองเดินมายืนต่อหน้าพวกเรา
“คงพร้อมกันแล้วสินะ”
“ครับ/ค่ะ!”
นักเรียนห้องศูนย์ตอบเป็นเสียงเดียว
ฮัมกึนยองเดินเครื่องซิมูเลเตอร์
วู—
โลหะต่างโลกสีดำเปลี่ยนเป็นหลากสีสันตามการขยับนิ้วของฮัมกึนยอง
“สุดยอด!”
“เจ๋งชะมัด…”
ขณะซาวอลเซอึมกับคิมยูรีอุทานด้วยความชื่นชม หน้าจอปรากฏขึ้นด้านหน้าพวกเราทั้งเจ็ด
[เริ่มการจำลองบุกต่างโลก พร้อมหรือยัง (Y/N) ]
หลังจากกดปุ่ม Y ทุกคนทยอยถูกปกคลุมด้วยละอองแสง
เมื่อกดปุ่ม Y ฉันได้ยินเสียงฮัมกึนยองดังท่ามกลางทิวทัศน์อันพร่ามัว
“ขอให้โชคดี”
ทันทีที่แสงหายไป
พวกเรากำลังอยู่ในดันเจี้ยน
‘ยังกับของจริง…!’
ตามคำอธิบายของโครงสร้างดันเจี้ยน เบื้องหน้าคือถ้ำหินแกรนิต
ถึงจะไม่มีแสงสว่างเทียม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแสงจากภายนอก เพราะสินแร่ที่มีอยู่มากมายในถ้ำช่วยมอบความสว่างได้มากพอแล้วโนlวลกูดอทคoม
กะเกณฑ์จากตำแหน่งปัจจุบัน ความสูงของถ้ำคือสิบเมตร ส่วนความกว้างในบริเวณนี้คือห้าเมตร
ถือเป็นดันเจี้ยนที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว
“สุดยอด… สมจริงชะมัด!”
คิมยูรีกล่าวชื่นชม พลางเปลี่ยนการ์ดไลท์เซเบอร์ (Lightsaber) เกรด R ‘ไลท์เซเบอร์ของนักดาบฝึกหัด’ ให้กลายเป็นของจริง
ทักษะประเภทโจมตีของคิมยูรีคือ ‘ฟันดาบ’
สำหรับโลกนี้ การฟันดาบไลท์เซเบอร์กลายเป็นกีฬาสากลหลังจากถูกผลักดันโดยสมาคมฟันดาบประเทศฝรั่งเศส—ต้นตำรับกีฬาฟันดาบ
‘ไม่ว่าเชื่อว่าดาบในสตาร์วอร์จะถูกนำมาใช้จริงจัง…’
ไลท์เซเบอร์ที่นิยมใช้ในการแข่งฟันดาบ จะผลิตจากโพลีคาร์บอเนตและอะลูมิเนียม
แต่ไลท์เซเบอร์ที่คิมยูรีกำลังถือ ผลิตจากโลหะของต่างโลก
เมื่อผนวกเข้ากับพลังพิเศษ ไลท์เซเบอร์ชนิดนี้จะมีพลังทำลายล้างสูงกว่าที่ใช้ในการแข่งมาก
“ความสูงระดับนี้… ฉันสามารถใช้สกิลบิน”
ซาวอลเซอึมกวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนจะลอยขึ้น
แม้จะไม่มีสกิลตรวจจับ แต่ตัวเขาที่บินขึ้นไปด้านบน สามารถสนับสนุนอย่างมีประสิทธิภาพด้วยศาสตร์แห่งลม
‘ว่าแต่ เอฟเฟคนั่นมันอะไร’
รอบตัวซาวอลเซอึมที่กำลังบิน มีขนนกโปร่งแสงลอยวนเวียน
พรคุ้มครองจากเผ่าระกา?
มันไม่เคยมีในเกม ฉันจึงไม่รู้ประโยชน์
“เครื่องป้องกันพวกนี้เจ๋งชะมัด! ยังกับร่างกายเบาขึ้นเลย”
“เพิ่งเคยสวมเครื่องป้องกัน? นายสู้มือเปล่ามาตลอดเลยหรือ”
“อื้อ…”
เม็งเฮียวทง วังจีโฮ และฮันอีได้สวมเครื่องป้องกันที่ช่วยเพิ่มพลังโจมตีและป้องกัน ขณะเดียวกันก็ช่วยเสริมกล้ามเนื้อขณะเคลื่อนไหว
เม็งเฮียวทงชกลมอย่างตื่นเต้นหลังจากสวมสนับมือ
วังจีโฮยืนมองตาเป็นประกาย ส่วนฮันอีเผยสีหน้าซับซ้อน
เธอคงกำลังไม่สบอารมณ์ที่ตนเคยดวลมวยพยัคฆ์แพ้วังจีโฮ ‘มือเปล่า’ ในคาบแรก
“ห้องเรามีนักสู้เยอะจังนะ”
อีเรนาพูดขณะสะบัดแส้
แม้วังจีโฮจะมีวิชาไม้พลอง แต่เขารู้สึกสนุกกับการใช้มวยพยัคฆ์มากกว่า
ทางฉันเองก็เปลี่ยนการ์ดไม้เท้าให้เป็นของจริง
นักเรียนปี 1/0 พร้อมรบแล้ว
‘กลายเป็นทีมที่สมดุลอย่างไม่น่าเชื่อ’
แนวหน้า
วังจีโฮ คิมยูรี เม็งเฮียวทง ฮันอี
แนวหลัง
ฉัน ซาวอลเซอึม อีเรนา
‘ฉันกับวังจีโฮเป็นสายสมดุล สามารถสลับตำแหน่งกันได้’
แต่ที่ให้วังจีโฮเป็นแนวหน้าเพราะเขาไม่คิดจะเปิดเผยสกิลอื่นๆ
ทั้งแนวหน้าและแนวหลังต่างมีสกิลตรวจจับฝั่งละสองคน
ไม่มีทางถูกเล่นงานทีเผลอแน่
〈คำเตือน เอนามีกำลังเข้าใกล้〉
ฉันได้ยินเสียงจากระบบ
‘แม้แต่ในซิมูเลเตอร์ก็แจ้งเตือนด้วยแฮะ’
สกิลเมนูพิเศษของฉัน ดูแล้วคงตรวจจับได้ดีกว่าของเด็กๆ พวกนี้
เพราะสองสามวินาทีหลังจากเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น คิมยูรีและฮันอีเพิ่งเริ่มสัมผัสถึงเอนามีและเตรียมตั้งท่าสู้
‘ดูเหมือนว่าสกิลตรวจจับทั้งของฮันอีและคิมยูรี จะทำได้แค่รับรู้ว่ามีบางสิ่งเข้ามาใกล้’
ของคิมยูรีเป็นสกิล ‘ตรวจจับอันตราย’ ซึ่งค่อนข้างนามธรรม
ส่วนสกิล ‘ตรวจจับสัญญาณ’ ของฮันอีจะรับรู้ได้แค่ว่า มีวัตถุทางกายภาพกำลังเข้ามาใกล้
เนื่องจากไม่มีใครในพวกเธอสามารถระบุรายละเอียดเอนามี อีเรนาที่มีสกิล ‘ตรวจจับเอนามี’ โดยตรงจึงตะโกนขึ้น
“เอนามีเสมือนประเภทสัตว์ร้ายกำลังพุ่งมาจากทางเดินฝั่งซ้ายและขวาพร้อมกัน! ทั้งสองตัวเป็นเกรด R ที่ใช้สกิลธาตุน้ำ!”
“ทางซ้ายจะมาถึงในอีกสิบวินาที ทางขวาจะมาถึงในอีกสิบห้าวินาที!”
ได้ยินรายงานของซาวอลเซอึมที่ลอยอยู่บนฟ้า วังจีโฮยกมือขึ้น
“พวกเราจะจัดการทางซ้ายเอง”
“ตกลง”
ถัดจากวังจีโฮ ฮันอีพุ่งเข้าไปต่อยเอนามี
ทั้งสองปรี่เข้าประชิดศัตรูอย่างลื่นไหลราวกับสายน้ำ พลางปัดป้องการโจมตีแล้วชกสวนด้วยสนับมือ
โฮกกก!
เมื่อวังจีโฮและฮันอีทำคอมโบกัน เอนามีถึงกับส่งเสียงกรีดร้อง
หากฮันอีเปิดก่อน วังจีโฮจะขยับตัวเข้าไปบล็อกการเคลื่อนไหวถัดไปของเอนามี
มวยพยัคฆ์ของฮันอีและวังจีโฮเข้าขากันมากกว่าที่คิด
“…ฉันเข้าก่อนนะ หัวหน้าห้อง!”
เปรี้ยง!
ทางเดินฝั่งซ้าย เม็งเฮียวทงที่มีค่าความว่องไวสูงกว่าพุ่งเข้าไปอัปเปอร์คัตเอนามี
ฟังจากสำเนียงการพูด เขายังเคอะเขินที่จะคุยกับคิมยูรีอยู่สินะ
‘ขนาดว่าเสียอาการ ยังตอบสนองต่อเอนามีได้ยอดเยี่ยมทีเดียว’
เม็งเฮียวทงมีสกิลโจมตีสุดโกงที่ชื่อว่า ‘ต่อสู้’
เขาสามารถใช้สกิลมือเปล่าได้ทุกชนิดบนโลก ขอแค่อยู่ในขอบเขตของคำว่า ‘ต่อสู้’
ไม่เพียงเท่านั้น ค่าสถานะส่วนใหญ่ยังเน้นหนักไปที่พละกำลังและความว่องไว
เม็งเฮียวทงถือเป็นตัวละครในฝันของเหล่านักสู้ มากล้นไปด้วยพลังทำลายจากมือเปล่า แต่ก็แทบไม่มีพลังเวท พลังป้องกัน และค่าต้านทานเลย
‘ถ้าจะให้เปรียบก็คงเหมือนสกิลสรรพภัณฑ์เวอร์ชันนักสู้มือเปล่า’
เม็งเฮียวทงรัวหมัดอย่างต่อเนื่องด้วยสกิลมวยพยัคฆ์ ราวกับผลงานของฮันอีและวังจีโฮช่วยกระตุ้นไฟในการต่อสู้
แม้ความชำนาญจะดูด้อยกว่าวังจีโฮและฮันอี แต่ทุกครั้งที่ประเคนหมัด เอนามีแทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่
ถึงจะมีข้อเสียเปรียบด้านรูปร่าง แถมยังต้องคอยระวังตัวไม่ให้บาดเจ็บ เพราะยังติดผลข้างเคียงการใช้ไอเท็มฟื้นฟูเกินขนาด แต่เม็งเฮียวทงก็ยังแสดงฝีมือได้คู่ควรกับการเป็น ‘ตัวละครประชิดสุดโกง’
“ฉันกำลังไปช่วย เฮียวทง!”
คิมยูรีตามไปช่วยเม็งเฮียวทงในพริบตาด้วยสกิล ‘สปรินเตอร์’ ซึ่งช่วยให้เธอเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงในช่วงเวลาสั้นๆ
จากนั้น หญิงสาวฟันไลท์เซเบอร์ใส่กลางหลังเอนามี
โฮกกกก!
เนื่องจากถูกเม็งเฮียวทงอัดจนน่วมไปแล้ว เอนามีแทบไม่มีสิทธิ์ป้องกันไลท์เซเบอร์ของคิมยูรี
〈คำเตือน เอนามีกำลังเข้าใกล้〉
“มีตัวมาจากด้านหลัง! ฉันจัดการเอง!”
หมับ!
อีเรนาเหวี่ยงแส้ออกไปรัดเอนามี
เป็นการโจมตีง่ายๆ
น่าเสียดายที่พละกำลังและเกรดของไอเท็มไม่สูงพอจะสร้างความเสียหายให้เอนามีได้มากนัก อย่างดีก็ตรึงความเคลื่อนไหวเอาไว้
“อึก…”
ขณะอีเรนาเริ่มพ่ายแพ้ด้านพละกำลังจนเอนามีขยับใกล้เข้ามา
“เรนา ฉันเอง!”
ซาวอลเซอึมบนฟ้าใช้สกิลศาสตร์แห่งลม
ฟ้าว—!
ใบมีดลมโหมกระหน่ำใส่เอนามีตามการขยับมือของซาวอลเซอึม
เมื่อได้รับการสนับสนุนจากศาสตร์แห่งลม เอนามีเริ่มขัดขืนแส้ของอีเรนาไม่ไหว
หลังจากนั้น
‘ร่ายเสร็จแล้ว’
ด้วยสกิลสรรพภัณฑ์เลเวลสามและไม้เท้าเกรด R ฉันเลือกร่ายมนตราที่จบได้ในหนึ่งนาที
เมื่อยกอาวุธเวทมนตร์ธาตุสายฟ้า ‘ไม้เท้าอสนีของจอมเวทฝึกหัด’ ขึ้น ซาวอลเซอึมส่งเสียงตะโกน
“ทุกคนถอย! อึยชินร่ายมนตร์เสร็จแล้ว!”
ได้ยินคำเตือนจากซาวอลเซอึม ทุกคนรีบปลีกตัวจากเอนามี
และเมื่อไม่ถูกก่อกวน เอนามีเตรียมใช้สกิลตอบโต้
〈คำเตือน เอนามี ‘คาร์เวตัส’ เตรียมใช้สกิล ‘พ่นน้ำจืด’ 〉
เสียงเตือนแบบเดียวกันดังสามครั้งซ้อน
เอนามีทั้งสามตัวพร้อมใช้สกิลแล้ว แต่ก็ไม่มีทางเร็วไปกว่าเวทมนตร์ที่ร่ายเสร็จสิ้น
“ฟูลกูเรียส เวรู!” (Fulgureus Veru)
สิ้นเสียงคาถา พายุลูกใหญ่ก่อตัวขึ้นเหนือไม้เท้าที่ชูขึ้นฟ้า
ฉันแกว่งไม้เท้าเพื่อยิงหอกอสนีใส่คาร์เวตัสทั้งสาม
เปรี้ยงเปรี้ยงเปรี้ยง!
หอกอสนีที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวคาร์เวตัส แผดเผาพวกมันจนไหม้เกรียมในพริบตา
ฉันลดไม้เท้าลงเมื่อเห็นว่าเอนามีกลายเป็นละอองแสงเพราะได้รับความเสียหายเกินกว่าค่าที่ตั้งไว้
“นี่น่ะหรือเวทมนตร์… กลไกการใช้แตกต่างจากศาสตร์แห่งลมโดยสิ้นเชิง!”
“แข็งแกร่ง… ฉันไม่เคยเห็นเวทมนตร์มาก่อน”
ซาวอลเซอึมกับอีเรนาที่เพิ่งเคยเห็นเวทมนตร์ ต่างอุทานอย่างตื่นเต้น
สายตาลุกวาวของพวกเขาสร้างความอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย
เห็นฉันปิดปากสนิท วังจีโฮฝืนกลั้นขำจนมุมปากสั่น
เห็นทีต้องรีบเปลี่ยนประเด็น
“เอาล่ะ ลุยกันต่อ!”
ทุกคนพยักหน้ารับคำพูดฉัน
หลังจากนั้น พวกเราได้เจอเอนามีอีกสามครั้ง แต่ก็ถูกแนวหน้าจัดการในพริบตาเพราะพวกมันมีเกรดต่ำกว่า N
เจอกับดักสองครั้ง แต่สกิลตรวจจับกับดักของคิมยูรี และสกิลปลดกับดักของอีเรนา ช่วยให้ทีมของเราเดินหน้าอย่างราบรื่น
จนกระทั่งมาถึงด้านในสุดของดันเจี้ยน
ห้องบอส
—
MasterGU.edited = ใช้สกิล->ใช้สกิล