หลังจากหมดวันหยุดสุดสัปดาห์ก็เป็นวันเรียนตามปกติ
ณ ห้องเด็กใหม่ของชมรมหนังสือพิมพ์ ภายในตึกชมรมทั่วไป
“แซรอน เธอจะเขียนบทความไหน? แผนซุ่มดูหอนาฬิกาล้มเหลวไปแล้วนี่”
“ใช่ เรื่องนั้นบ้งไปแล้ว… สงสัยต้องเปลี่ยนไปวิจัยตำนานสยองขวัญของโรงเรียนแสงเงินแทน”
มุนแซรอนผู้อับจนหนทาง ตอบคำถามเด็กใหม่ของชมรมด้วยสายตาว่างเปล่า
เธอมีสกิลสายแกะรอย จึงพยายามเค้นสมองและพละกำลังเพื่อไล่ตามจับคนร้ายตลอดทั้งสัปดาห์
‘ขนาดมุนแซรอนยังพลาด… ชักอยากรู้แล้วว่าคนร้ายใช้พลังอะไร’
จะได้รู้ด้วยว่าใครกันที่ลงทุนสิ้นเปลืองพลังงานและพรสวรรค์ไปกับการทำเรื่องไร้สาระ
“วังจีโฮ นายกำลังเขียนเกี่ยวกับอะไร”
“เหตุการณ์แท็กซี่ลอยหน้าประตูทางเข้าหลัก”
มองเข้าไปในโฮโลแกรมหน้าวังจีโฮ ฉันเห็นบทความเท็จที่เขียนขึ้นอย่างประณีต โดยปราศจากการเอ่ยถึงเผ่าเสือ เผ่าหมี และลูกหลานเสือเงิน
เล่นง่ายๆ แบบนี้เลยแฮะ
วังจีโฮก็มีมุมเจ้าเล่ห์เหมือนกันสินะ
“โชอึยชินกับอีกคนน่ะ! ฉันอยากวิจัยตำนานสยองขวัญในโรงเรียนแสงเงิน เรามาช่วยกันไล่อ่านกระดานข่าวตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมากันเถอะ! พวกนายเริ่มจากหน้าแรกนะ โอเค๊?”
“ได้สิ กำลังไล่อ่านจากหน้าแรกพอดี”
ฉันพยักหน้ารับข้อเสนอของมุนแซรอน
กระดานข่าวทั่วไปของโรงเรียนแสงเงินจะมีความเคลื่อนไหวมหาศาลทุกครั้งที่ถึงคาบพัก
เพราะเป็นกระดานข่าวที่ใช้ได้ทั้งศิษย์เก่า นักเรียนขาดเรียน นักเรียนแลกเปลี่ยน ซึ่งในช่วงเวลาเรียนจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างล้นหลาม
‘ที่จริงก็มีกระดานข่าวสำหรับนักเรียนปัจจุบันโดยเฉพาะ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่จะอยู่ในกระดานทั่วไป’
ตอนแรกฉันคิดว่าคงยากถ้าต้องไล่อ่านคนเดียวทั้งหมด
แต่การมีมุนแซรอนช่วยตรวจสอบทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมากโข
‘เริ่มจากเรื่องสยองขวัญสองเรื่องล่าสุดก็แล้วกัน’
อันดับแรก สายฟ้าสีแดงใกล้กับหอพัก
ในตำนานสยองขวัญ อสนีสีชาดของเสือแดงถูกมองว่าเป็นคำสาป
ใครบางคนสันนิษฐานว่า นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากวิญญาณอาฆาตของนักเรียนผู้เคยกระโดดตึกหอพักฆ่าตัวตาย
‘เมื่อข้อเท็จจริงและจินตนาการผสมกัน ตำนานสยองขวัญจึงบังเกิด…’
เรื่องที่สอง นักเรียนสองคนถูกผีสิง
มีนักเรียนสองคนไม่ได้กลับบ้านตลอดทั้งคืน
ตามคำเรียกร้องของผู้ปกครอง เมื่อติดตามตำแหน่งอุปกรณ์ของพวกเขาไปก็พบว่า ทั้งคู่กำลังนอนหมดสติอยู่ในอาคารเรียนเก่าที่เป็นเขตหวงห้าม
นักเรียนทั้งสองไม่ทราบว่าเหตุใดตนถึงอยู่ตรงนั้น
ฝ่ายอาคารสถานที่ได้ตรวจสอบอุปกรณ์บันทึกภาพที่ติดตั้งทั่วโรงเรียน แต่ก็ไม่มีมุมใดเห็นว่านักเรียนทั้งสองเข้าไปในเขตหวงห้ามได้อย่างไร
มีการตีความว่า วิญญาณครูผู้ถูกใส่ร้ายจนตายในอาคารเรียนเก่า ได้เรียกนักเรียนทั้งสองคนออกมา
‘ที่ถ่ายไม่ติดก็เพราะพวกมันเลี่ยงเส้นทางที่มีกล้อง เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกต่อว่าในภายหลัง และเราก็ทำแบบเดียวกัน’
หากข้อเท็จจริงถูกบิดเบือน มันก็ง่ายที่จะกลายเป็นตำนานสยองขวัญ
ตำนานสยองขวัญในเมืองของโลกนี้ส่วนใหญ่มีพลังพิเศษเข้ามาเอี่ยวทั้งสิ้น แต่กระนั้นหลายคนก็ยังเชื่อและกลัวผีอยู่
ไม่เว้นแม้กระทั่งในโรงเรียนมัธยมปลายซึ่งเต็มไปด้วยเพลเยอร์มากพรสวรรค์
‘พลังพิเศษเพิ่งมีตัวตนมาได้แค่ร้อยปี ไม่มีทางที่ตำนานสยองขวัญซึ่งฝังรากลึกมานานจะหายไปอย่างสมบูรณ์’
“ฟู่ว… น่ากลัวกว่าที่คิดนะเนี่ย ม…ไม่สิ ก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ใช่แล้ว ม…ไม่น่ากลัวเลย… วันนี้มีเด็กหอคนไหนอยากมาคุยเล่นแล้วก็ค้างคืนที่ห้องฉันไหม? เลี้ยงข้าวนะ! ฉ…ฉันไม่ได้กลัวนะบอกไว้ก่อน”
มุนแซรอนผู้นั่งอ่านตำนานสยองขวัญอยู่ข้างฉัน เอาแต่พึมพำบางสิ่งพลางเกาะแขนเพื่อนผู้หญิงในกลุ่ม
กล้าซุ่มอยู่แถวหอนาฬิกาทั้งคืน แต่ไม่กล้านอนคนเดียวเพราะกลัวผี?
‘นอกจากตำนานสยองขวัญสองเรื่องนี้ ลองอ่านเรื่องอื่นด้วยดีไหมนะ’
ถ้าไปเยือนเขตวิจัยในตอนกลางคืน จะมีโอกาสได้พบอาคารปริศนาซึ่งเชื่อมต่อกับโลกแห่งความตาย
ณ ชั้นใต้ดินของตึกเงินจรัส คณะกรรมแอบประกอบพิธีกรรมปลุกศพในทุกเดือน
ในค่ำคืนไร้แสงจันทร์ ทุกเส้นทางขึ้นเขาปีกสวรรค์จะนำไปสู่ประตูนรก
มีเสียงกรีดร้องของภูตผีดังมาจากเตาเผาขยะเก่าทุกวันในเวลาหกโมงเย็น
เมื่อทะเลสาบสีครามมีหมอกลงจัด ผีที่สูญเสียคู่รักในสงครามจะวนเวียนรอบทะเลสาบเพื่อตามหาคู่ของตน
ถ้าเข้าไปในหอสมุดเขตส่วนกลางหลังเที่ยงคืน จะมีสิทธิ์หลงเข้าไปในหอสมุดต้องสาป
สภานักเรียนและกรรมการรักษาระเบียบแอบสร้างสมาคมลับขึ้นเพื่อประกอบพิธีกรรมสังเวยสัตว์ป่า
เป็นต้น
‘เป็นโรงเรียนที่มีตำนานสยองขวัญเยอะชะมัด’
ขณะฉันพยายามวิเคราะห์หาเรื่องราวที่ดูเป็นไปได้
วังจีโฮผู้เขียนบทความเสร็จ มองเข้ามาในโฮโลแกรมของฉันพลางพึมพำ
“หือ… ข่าวลือนี้… ข้อมูลหลุดไปได้ยังไงกัน”
หา?
วังจีโฮยิ้มอย่างมีเลศนัย
ขอให้เป็นการอำเล่นทีเถอะ
กำลังจะบอกว่าในบรรดาเรื่องน่ากลัวเหล่านี้ มีบางอันเป็นของจริง?
‘…ทำหูทวนลมดีกว่า’
เห็นฉันพยายามเบือนหน้าหนี วังจีโฮยิ้มอย่างไร้เดียงสา
คงสื่อเป็นนัยว่านั่นคือมุกตลก
ยังกับอาการเศร้าซึมจนถึงเมื่อครู่เป็นเรื่องโกหก
“นี่ เย็นนี้มากินข้าวที่บ้านฉันนะ”
ตามเซตติ้งของเจ้าตัว วังจีโฮเป็นญาติใกล้ๆ กับวังมยองโฮ
ทะเบียนบ้านของวังจีโฮจึงเป็นหลังเดียวกับบ้านของท่านประธาน ดังนั้น ‘บ้านของฉัน’ จึงหมายถึงคฤหาสน์ของวังมยองโฮ
วังจีโฮหรี่เสียงลง
“มีเรื่องอยากจะถามฉันเพียบเลยไม่ใช่หรือ”
ฉันพยักหน้ารับ
* * *
บ๊อก! บ๊อก!
ทันทีที่เจ้าก้อนสำลี ไม่สิ เจ้าบ่วงเห็นฉัน มันปรี่เข้ามาหาราวกับต้องการแสดงความรัก
ร่างกายคงฟื้นฟูขึ้นมากแล้ว เพราะวิ่งได้เป็นธรรมชาติกว่าคราวก่อน
ที่ผ่านมาคงเจ็บปวดไม่น้อย ฉันนึกชื่นชมเจ้าบ่วงผู้อดทนต่อการรักษาจนร่างกายฟื้นตัวตามลำดับ จึงกอดและลูบไล้ศีรษะอย่างอ่อนโยน
‘เจ้าก้อนความน่ารักนี่คือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์…’
เผ่าเสือยืนกรานหนักแน่นว่าลูกสุนัขที่เกือบดิ้นตายเพราะถูกจั๊กจี้พุง คือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเขตอึนกวาง
‘ถึงจะได้จิตวิญญาณกลับคืนมา แต่ก็อยากให้สนิทกันเหมือนเดิมนะ’
คิดแบบนั้นแล้วก็ลูบหัวเจ้าบ่วงไปพลาง
“…เชื่อฟังโชอึยชินมากกว่าฉันอีกนะ”
ได้เห็นวังจีโฮทำหน้าไม่พอใจ ฉันรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
จากนั้น ฉันร่วมรับประทานมื้อค่ำที่ปรุงโดยสาวใช้อัตโนมัติ
บนโต๊ะอาหารมีฉัน แบคโฮกุน วังจีโฮ เสือแดง และเด็กสามคนที่น่าจะเป็นลูกหลานเสือเงิน
เมนูหลักคือสเต๊กชาโตว์บริยองกับมันฝรั่งชาโตว์และซอสแบร์เนส
ชาดำที่เสิร์ฟหลังจากมื้ออาหาร คือใบชายูนานรุ่นลิมิเต็ด คั่วผสมกับชาอัสสัมรุ่นเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ของราชินี
ชาดำถูกยกมาเสิร์ฟในบรรจุภัณฑ์ชาหรูแบบเข้าชุดกัน
“นายรู้จักชาดีจังนะ”
“หือ…?”
“ฉันเคยเห็นนายดื่มชาสามครั้งแล้ว ดูชำนาญมาก เข้าใจคุณค่าของชุดน้ำชา แถมยังวางตัวได้ไร้ที่ติ”
วังจีโฮกะพริบตาเล็กน้อย
ครั้งแรกคือในห้องทำงานท่านประธาน ครั้งที่สองวันเอพริลฟูล และนี่คือครั้งที่สาม
ฉันวางถ้วยชาลงบนจานรอง พลางนึกถึงรุ่นน้องมหาลัยที่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว
‘เราตั้งใจศึกษาเรื่องนี้เพราะซองฮอน’
ชอนซองฮอนคือหลานนอกสมรสของตระกูลแชโบล
เขามักชวนฉันไปเที่ยวเล่นที่คฤหาสน์ของพ่อแม่ จนกระทั่งออกมาใช้ชีวิตด้วยลำแข้งตัวเอง
ฉันกลัวเขาจะอายที่มีเพื่อนบ้านนอก จึงพยายามศึกษาชา มารยาทบนโต๊ะอาหาร และการจำแนกแบรนด์
‘แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้’
ชอนซองฮอนผู้รักการดื่มชาบอกว่า การได้ดื่มกาแฟซองที่หอพักรูหนูนั้นสบายใจกว่ามาก
‘ตอนนี้เป็นยังไงบ้างนะ’
ถ้าถามจักรวาลเหนือรูป เขาจะมีคำตอบให้ไหม?
แต่คงยากถ้าคำนึงจากวิธีการสื่อสาร
อย่างมากก็รู้แค่ว่าสบายดีหรือไม่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น
“ฉันชอบดื่มชาดำเป็นพิเศษ แต่ก็ดื่มกาแฟและชาเกาหลีดั้งเดิมได้ด้วย”
“…งั้นหรือ”
วังจีโฮทำหน้าบ่งบอกว่าไม่เชื่อ
ฉันคือพี่ชายคนโตในหมู่พี่น้องสามคน ครอบครัวของเราขัดสนจนแทบชักหน้าไม่ถึงหลัง และตอนนี้มีแค่ฉันที่เหลืออยู่
แน่นอนว่าเสือเหลืองคงสืบประวัติฉันมาแล้ว จึงค่อนข้างแปลกใจที่ฉันคุ้นเคยกับวัฒนธรรมการดื่มชา
เห็นฉันบ่ายเบี่ยง เขาเลิกเซ้าซี้แล้วเข้าประเด็นหลักทันที
“สรุปก็คือ… ตามที่นายบอก มีหนึ่งในพันธมิตรสิบสองจักรราศีหักหลังพวกเราเพื่อสลายบาเรียที่ทุกเผ่าผนึกกำลังกันสร้าง… หากไม่มีการแทรกแซงจากเบื้องบนอย่างท้าวสักกะ* ป่านนี้เผ่ากระต่ายคงสิ้นชื่อไปแล้ว”
(ท้าวสักกะ / สักกเทวราชา (พุทธ) = พระอินทร์ (ฮินดู) ; เกาหลีจะอิงตำนานพุทธเป็นหลัก)
ถือเป็นข้อเท็จจริงอันน่าตกตะลึง
กลัวว่าถ้าพูดระหว่างกิน อาหารจะไม่อร่อยสินะ? แต่ตอนนี้อาหารยังไม่ย่อย สภาพก็ไม่ดีกว่ากันเท่าไร
‘แทบไม่มีโอกาสที่เผ่ากระต่ายจะเป็นคนทรยศ… เพราะถ้าพวกเขาต้องการ เผ่าเสือคงไม่มีวันรู้เรื่องที่เสือเงินมีทายาทไปจนวันตาย’
กระต่ายจันทร์สนิทสนมกับเผ่ากระต่ายมาก пᴏᴠᴇʟɢu.ᴄoᴍ
ในเกมไม่เคยบาดหมางกัน และยากที่จะให้มองว่ามีคนในเผ่ากระต่ายทรยศ
“เราตัดสินใจร่วมมือกับเผ่ากระต่ายเพื่อตามหาคนทรยศ ‘หางยาว’ ระหว่างนั้นจะให้เด็กพวกนี้โฮมสคูลในคฤหาสน์ของฉันไปก่อน มีอะไรอยากจะถามอีกไหม”
สำหรับตอนนี้ เท่านี้นับว่าเพียงพอแล้ว
เห็นฉันส่ายหน้า วังจีโฮถามใหม่
“ฉันมีคำถาม ทำไมนายถึงอยากให้เปิดประชุมพันธมิตรสิบสองจักรราศี”
“เพื่อจับคนร้าย”
“…การประชุมจะจัดขึ้นแบบพิเศษ สิ่งที่ตรวจสอบได้มีแค่เสียงกับเค้าโครงเงา นายจะจับคนร้ายได้หรือ? เราไม่มีเบาะแสอย่างอื่นนอกจากหางยาว”
แต่ฉันมี
สำหรับเบาะแสนี้ ไม่มีใครในโลกรู้นอกจากฉัน
“ฉันมีเบาะแส”
หางตาฉันชำเลืองไปหาเสือแดงที่กำลังตั้งใจฟัง
เบาะแสในมือฉัน คือเบาะแสที่เสือแดงค้นพบก่อนจะตาย
แต่สุดท้ายเขาก็ตายไปโดยที่ไม่มีโอกาสนำไปบอกพระเอก
ในนิยายมีตัวละครทำนองนี้ค่อนข้างมาก ประเภทที่ถูกฆ่าก่อนจะได้บอกข้อมูลสำคัญ
ความตายของเสือแดงกลายเป็นเหตุสะเทือนขวัญ ซึ่งทำให้กลุ่มผู้เล่นเดนตายของเพลเมโกตัดสินใจเลิกเล่นไปเป็นจำนวนมาก
“ขอแค่ฉันได้ดูการประชุมของพันธมิตรสิบสองจักรราศี”
นอกจากนั้น ฉันยังมีอีกหนึ่งข้อมูลที่สวะเดนตายของเกมกากแห่งชาติพอจะจำได้
ได้เห็นสีหน้ามั่นอกมั่นใจของฉัน วังจีโฮทำตาเป็นประกายทันที
“เข้าใจแล้ว”
เขาไม่คิดจะถามด้วยซ้ำว่าเบาะแสนั้นคืออะไร
ฟู่ว…
“ขอตัวก่อนนะ ไว้จะกลับมาใหม่”
ขณะฉันเดินใกล้จะพ้นประตูหน้า พลางกล่าวคำอำลากับเจ้าบ่วงที่พยายามรั้งไว้ด้วยเสน่ห์อันล้นเหลือ
ลูกหลานเสือเงินทั้งสามเดินเข้ามาใกล้
สองคนโตมีอายุประมาณสิบหก แต่คนเล็กสุดสูงแค่เอวของฉัน
“ข…ข้าขอโทษที่ตอนนั้นไม่ได้ขอบคุณท่านอย่างเหมาะสม… ได้ยินว่าถ้าไม่มีท่านโชอึยชิน เหล่าพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์คงมาช่วยพวกเราไม่ทัน… ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้!”
ผู้พูดคือเด็กที่ฉันเห็นในวันเอพริลฟูล
เพิ่งจะสิบหกแท้ๆ แต่มารยาทดีมาก
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย คนที่หยุดแท็กซี่ไว้มีชื่อว่าซาวอลเซอึม… แล้วไม่จำเป็นต้องเรียก ‘ท่าน’ ด้วย แค่พี่ก็พอ”
ย้อนกลับไปในวันเอพริลฟูล ฉันแทบไม่ได้ทำอะไรเพื่อช่วยปกป้องลูกหลานเสือเงินเลยจริงๆ
สิ่งเดียวที่ทำคือการใช้สกิลบินและสวมไอเท็มอำพรางตัวขณะไล่ตามแท็กซี่
เผ่าเสือทั้งสามคอยจัดการเผ่าหมีทั้งหมด ส่วนซาวอลเซอึมเป็นคนหยุดรถ
“แต่ท่านเสือเหลืองบอกว่า ถ้าไม่มีท่านซูเปอร์โนว่าไร้นาม…”
“มารดาผู้ล่วงลับของเราที่เป็นทายาทสายตรง คอยอบรมสั่งสอนพวกเราว่า ห้ามลืมบุญคุณคนเด็ดขาด”
“ในสักวันหนึ่ง ได้โปรดมอบโอกาสให้เราทดแทนคุณด้วย”
ลูกหลานเสือเงินทั้งสามต่างจ้องหน้าฉัน
แม้จะเป็นลูกหลานของเสือเงิน ผู้นำแห่งเผ่าเสือ แต่พวกเขายังเป็นแค่เด็กเล็ก
ได้เห็นแววตาของทั้งสาม ฉันหวนนึกถึงบรรดาน้องๆ ที่จากไปแล้ว
“…ได้สิ ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องพยายามมากเกินไป แค่พวกนายปลอดภัยก็ดีแล้ว”
โดยไม่รู้ตัว ฉันยื่นมือออกไปลูบหัวพวกเขาทีละคน
ไม่แน่ใจว่ารังเกียจหรือไม่ ทั้งสามเอาแต่ยืนหลับตาปี๋และปล่อยให้ฉันลูบโดยไม่กระดุกกระดิก
ที่ปลายเท้า เจ้าบ่วงเองก็กำลังนอนยื่นพุงราวกับเชื้อเชิญให้ลูบเช่นกัน
แบคโฮกุน วังจีโฮ และเสือแดงที่เดินออกมาส่ง ไม่ได้พูดอะไรกับเหตุการณ์ตรงหน้า
โล่งอกไปทีที่ไม่ถือสาการลูบหัว
* * *
วันถัดจากไปเยี่ยมคฤหาสน์ ช่วงหลังเลิกเรียน
มุนแซรอนเอาแต่คร่ำครวญว่า เธอกลัวจนไม่กล้าวิจัยตำนานสยองขวัญต่อแล้ว
ได้ยินว่าวันนี้วางแผนจะบุกเข้าไปในห้องเพื่อนนักเรียนหญิงสักคนแล้วนอนด้วยกัน
หลังจากเสร็จกิจกรรมอันวุ่นวายของชมรมหนังสือพิมพ์ ฉันเดินมายังอาคารของสมาคมปีกธรณีในเขตหอพัก
เป้าหมายของฉันคือห้องสำนักงานของสมาคมปีกธรณีภายในตึกสมาคม
“สวัสดีอึยชิน! กินขนมก่อนไหม? ในบรรดาขนมที่เพิ่งมา เปาะเปี๊ยะงาดำน้ำผึ้งอร่อยมาก! แพนเค้กอัลมอนด์ก็อร่อยไม่แพ้กัน!”
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ประธานสมาคมปีกธรณี—ซองซีวานกล่าวต้อนรับฉัน
บนโต๊ะประชุมใจกลางสำนักงานสมาคมเต็มไปด้วยกล่องขนมกองสุมราวกับภูเขา เดาว่าส่งมาจากบรรดาศิษย์เก่า
ในห้องมีคนของสมาคมกำลังนั่งกินขนมพลางพูดคุยหรืออ่านหนังสือกระจายอยู่ทุกมุม
จากบรรดาทั้งหมด ซองซีวานกำลังนั่งดูรายการ ‘เรียลลิตี้-วาไรตี้’ บนโฮโลแกรม แต่พอฉันเข้ามาก็รีบปิดแล้วตั้งใจต้อนรับ
รู้สึกผิดนิดหน่อยแฮะ แต่ไม่ต้องห่วง ฉันจะรีบทำธุระให้เสร็จ
“สวัสดีครับรุ่นพี่ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลามื้อเย็น กินขนมเดี๋ยวจะอิ่มก่อน… พอดีว่าผมกำลังมองหาบางอย่าง”
“หือ? อะไรล่ะ”
เนื่องจากภูมิหลังการก่อตั้งสมาคมนั้นค่อนข้างพิเศษ จึงต้องเปิดเผยบันทึกการประชุมและเอกสารทั้งหมดให้นักเรียนกับครูเข้าถึงได้ตลอดเวลา
ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ผ่านเว็บไซต์ของสมาคมด้วยอุปกรณ์พกพาที่โรงเรียนแจก หรือไม่ก็มาติดต่อขอดูเอกสารที่สำนักงานสมาคมด้วยตัวเอง
‘เพราะว่าเราสนิทกับซองซีวาน การแวะมาเยี่ยมสำนักงานจึงดูไม่สะดุดตา… ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากทิ้งประวัติการเชื่อมต่อไว้ในอุปกรณ์โรงเรียนหรอกนะ’
“พอดีว่าชมรมหนังสือพิมพ์เพิ่งโยนงานมาให้… ผมต้องวิจัยตำนานสยองขวัญที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแสงเงิน ซึ่งหลายกรณีเกิดขึ้นใกล้กับภูเขาปีกสวรรค์และเขตหอพัก ผมก็เลยอยากอ่านบันทึกการประชุมของสมาคม ไม่ทราบว่าพอจะอนุญาตได้ไหม?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ชิปโฮโลแกรมอยู่ในตู้ตรงนั้น ส่วนบันทึกแบบกระดาษที่ครูคิมชินรกร้องขอจะอยู่ที่ชั้นหนังสือฝั่งโน้น”
คิมชินรกเคยพูดว่า เขาพกกระดาษและหมุดติดตัวเผื่อไว้ในกรณีที่นักเรียนหรือครูบางคนยังชอบกระดาษมากกว่าโฮโลแกรม
แต่ดูเหมือนว่าคนที่ชอบกระดาษ จะไม่ใช่ใครนอกจากตัวเขาเอง
“ขอบคุณครับ”
“ถ้าต้องการอะไรเพิ่มก็บอกฉันได้นะ โชอึยชิน”
บอกขอบคุณซองซีวานแล้วเดินไปทางชั้นหนังสือ
สิ่งที่อยากตรวจสอบคือบันทึกการประชุมตั้งแต่หนึ่งปีก่อน
‘ส่วนใหญ่เป็นการประชุมเพื่อรับมือเหตุร้ายที่เกิดจากนักเรียนปีหนึ่งห้องศูนย์ของปีก่อน…’
เนื้อหามีมากกว่าที่คิด
และเลวร้ายยิ่งกว่าที่เคยอ่านจากในเกม
‘ครูจูเก่อแจกอล… ถ้าจำไม่ผิดปีที่แล้วก็เป็นครูประจำชั้นปีหนึ่งห้องศูนย์ เขาจะเครียดจนผมร่วงไหมเนี่ย’
เมื่อขึ้นปีสอง ครูคนอื่นหารือกันว่าจะเปลี่ยนครูประจำชั้นห้องศูนย์ เพราะกังวลว่าจูเก่อแจกอลจะได้รับความเครียดสะสมมากเกินไป
แต่เมื่อเด็กห้องศูนย์รู้เรื่องนี้เข้า ความวุ่นวายจึงบังเกิด
บันทึกระบุว่า สมาคมปีกธรณีถูกส่งออกไปรับมือกับเด็กปีหนึ่งห้องศูนย์ที่ยึดครองพื้นที่ชั้นล่างของหอพักครูด้วยการนอนเรียงกัน
จนกระทั่งจูเก่อแจกอลเดินมาประกาศว่า ‘ครูจะเป็นครูประจำชั้นของพวกเธอไปจนกว่าจะเรียนจบ’ สถานการณ์จึงจะคลี่คลาย
‘เรื่องนั้นช่างเถอะ เราเจอสิ่งที่ตามหาแล้ว’
หลังจากอ่านบันทึกการประชุมที่เต็มไปด้วยวีรกรรมของห้องศูนย์จบ ฉันกล่าวคำอำลากับซองซีวานแล้วเดินออกจากสำนักงานสมาคม
* * *
เมื่อลงมาถึงห้องอาหารของสมาคมปีกธรณี ฉันยืนอ่านเมนูมื้อค่ำของเด็กหออยู่พักหนึ่ง
วันนี้มีอาหารเกาหลี อาหารตะวันตก และอาหารจีน แต่เมนูอาหารตะวันตกดูน่าอร่อยที่สุด
ฉันชอบพาสต้าทาเกลียเทลเล่ราดซอสโบโลเนสเห็ด แม้มันจะแบนคล้ายรามยอมเส้นแบนของเกาหลีก็ตาม
‘วันนี้กินพาสต้าดีกว่า’
ฉันเดินผ่านเมนูโฮโลแกรมเข้าไปในร้าน
และได้เห็นคนที่ไม่คาดคิด กำลังแต่งตัวเหนือความคาดหมายอยู่ภายในห้องอาหาร
“…เม็งเฮียวทง อีเรนา พวกนายมาทำอะไร?”
เม็งเฮียวทงและอีเรนา
ทั้งสองกำลังสวมผ้ากันเปื้อนและหมวกอนามัย พลางเดินถือถาดบุฟเฟต์ของห้องอาหาร