41. นอกชายแดน (7)
* * *
[ฮงกยูบิน] …อึยชิน?
อย่างที่คิด ฮงกยูบินตื่นอยู่และตอบกลับทันที
[ฮงกยูบิน] ฉันเพิ่งเริ่มพักร้อนได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเองนะ ㅠㅠ;;;
ดูเหมือนจะรู้ตัวแล้ว ว่าฉันทักมาไหว้วานให้ทำงาน
…แต่ถ้าบอกว่ายังพักร้อนได้ไม่ถึงชั่วโมง แปลว่าเขาทำงานโต้รุ่ง แล้วออกเดินทางทันทีที่งานเสร็จ?
‘ยังไม่ออกจากประเทศสินะ… โล่งอกไปที’
ตอนนี้ตารางการเดินทางของชมรมหนังสือพิมพ์เปลี่ยนไปแล้ว ถ้าเขาบินออกนอกประเทศคงได้คลาดกับจูเก่อแจกอลแน่
ข้อความจากฮงกยูบินพรั่งพรูเข้ามาโดยที่ฉันยังไม่ได้สั่งอะไร
[ฮงกยูบิน] การที่เธอติดต่อมาในเวลาแบบนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องปกติแน่… เกิดอะไรขึ้นกับครูจูเก่อแจกอล?
[ฮงกยูบิน] หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับทัศนศึกษา?
[ฮงกยูบิน] ตอนนี้อยู่ที่ไหน? ถ้าอิงจากตารางกิจกรรม… พวกเธอต้องอยู่ที่ศูนย์ฝึกเพลเยอร์ของจีนแล้ว ให้ฉันติดต่อสาขาให้ไหม ครูจูเก่อแจกอลเป็นอะไรมากไหม
ดูท่าจะห่วงความปลอดภัยของครูมาก เล่นถามถึงสองครั้ง
เมื่อเห็นเขากังวล ฉันรีบอธิบายไปว่า เต่าดำส่งตัวมกอูรัม*มาให้ และเขาต้องช่วยพามกอูรัมกลับเกาหลี
(*ขอกลับไปใช้ ‘มกอูรัม’ ตามเดิม ม.ม้าเป็นอักษรต่ำ ใช้ไม้ตรีไม่ได้ ที่จริงผู้แปลก็รู้อยู่แล้ว เพียงแต่ตอนแรกอยากได้รูป ‘ม๊ก’ ให้เป็นจุดสังเกตของชื่อคน แต่มีผู้อ่านบางท่านติติงเข้ามาว่าผิดหลักภาษา เดี๋ยวหลายคนจะจำไปใช้ผิด ก็เห็นด้วยว่าไม่เหมาะสมและยินดีแก้ไข)
[ฮงกยูบิน] เต่าดำแทบไม่ยุ่งเรื่องทางโลกมานานแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะช่วยนักเรียนของโรงเรียนแสงเงินไว้!
[ฮงกยูบิน] ว่าแต่ทำไมเพื่อนร่วมชั้นของอึยชินถึงไปอยู่ที่จีนล่ะ? เด็กคนนี้ไม่เคยเข้าเรียนเลยหรือไง
ฮงกยูบินดูจะกังขาเล็กน้อยในตอนแรก แต่ไม่นานก็เริ่มเชื่อและได้ข้อสรุปให้ตัวเอง
[ฮงกยูบิน] อ้อ… อึยชินอยู่ห้องศูนย์นี่นะ ปีนี้ห้องศูนย์เงียบมากจนฉันลืมไปเลย
ดูเหมือนกิตติศัพท์ของห้องศูนย์โรงเรียนแสงเงินจะดังไปไกลถึงสมาคมเพลเยอร์
ไม่ต้องย้อนกลับไปนาน รุ่นพี่ปีสองเพิ่งประสบความสำเร็จอันน่าทึ่งในวันครู กลายเป็นมนุษย์ที่ยึดครองรอยแยกสำเร็จเป็นกลุ่มแรก
ฮงกยูบินรับปากว่าจะจองตั๋วเที่ยวบินเฉิงตูรอบเช้า ส่วนวังจีโฮนัดแนะลูกน้องให้ไปรอรับ
“ฮงกยูบินนี่เอง เป็นตัวเลือกที่ดี”
เมื่อฉันปิดหน้าจอดีไวซ์ วังจีโฮพูดขึ้น
“เขาเลือกเดินบนเส้นทางนี้เอง… หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสังคมเพลเยอร์ โดยเฉพาะโรงเรียนแสงเงิน ฮงกยูบินจะยินดีทำงานอย่างแข็งขันโดยไม่ปริปากบ่น”
ก็ไม่แน่ใจว่า ‘ยินดี’ จริงไหม แต่ไม่เถียงเรื่องขยันทำงาน
‘วังจีโฮรู้หรือว่าฮงกยูบินเป็นแฟนตัวยงของจูเก่อแจกอล?’
เมื่อลองมานึกดู วังจีโฮเคยเกริ่นให้ฟังแล้วว่าเขารู้จักฮงกยูบิน
—ใช่ ฮงกยูบินได้รับพรคุ้มครองจากเผ่าแท้ที่ค่อนข้างน่ารำคาญ ฉันลองจับตาดูสักระยะแล้ว เหตุผลในการเป็นเพลเยอร์ของเขาค่อนข้างน่าสนใจ
ฮงกยูบินผู้เป็นเจ้าของสกิลนิมิต และได้รับพรคุ้มครองจากผู้นำเผ่าหนู ‘เด็กเจ้าเล่ห์’ อยู่ในความสนใจของวังจีโฮจนต้องตามดูระยะหนึ่ง
ฮงกยูบินน่าจะจบจากโรงเรียนแสงเงิน… วังจีโฮคอยจับตาดูตั้งแต่สมัยเรียน?
“หัวหน้าทีมฮงกยูบินเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนแสงเงินสินะ… เห็นว่าเคยเป็นนักเรียนของครูจูเก่อแจกอล”
“ฮงกยูบินไม่ใช่ศิษย์เก่าโรงเรียนเรา เขาจบจากโรงเรียนม.ปลายทั่วไป เพราะซ่อนพลังวิเศษไว้จนกระทั่งจบม.ปลาย”
นึกว่าเป็นศิษย์เก่า ความจริงแล้วเรียนจบโรงเรียนม.ปลายทั่วไปโดยที่ซ่อนพลังวิเศษเอาไว้?
มีประเด็นน่าสนใจมากมายแฝงอยู่ในคำพูดวังจีโฮ
ฉันถามในสิ่งที่อยากรู้ที่สุดก่อน
“…แต่ครูจูเก่อแจกอลจบมาก็สอนโรงเรียนแสงเงินเลย”
“ใช่ หลังจากจบมหาวิทยาลัย จูเก่อแจกอลเข้ามาสอนที่โรงเรียนแสงเงินจนถึงปัจจุบัน”
วังจีโฮยิ้มอย่างมีเลศนัย
ราวกับกำลังทดสอบว่าฉันจะอนุมานได้มากน้อยแค่ไหน
‘ฮงกยูบินจบจากโรงเรียนสามัญ… ส่วนจูเก่อแจกอลสอนที่โรงเรียนแสงเงินมาตลอด… สองคนนี้อายุต่างกันไม่มาก ตอนแรกเรานึกว่าจูเก่อแจกอลจบมหาวิทยาลัยแล้วบรรจุเข้ามาสอนฮงกยูบินตอนม.ปลายปีสามทันที… แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น’
ไม่นานฉันก็วิเคราะห์เสร็จ
“สมัยยังเป็นครูสอนพิเศษส่วนตัว หรือไม่ก็ติวเตอร์ประจำสถาบันกวดวิชา ครูจูเก่อแจกอลเคยสอนหัวหน้าทีมฮงกยูบิน”
“ถูกต้อง จูเก่อแจกอลเคยรับงานสอนตัวต่อตัวขณะยังเรียนมหาวิทยาลัย นายได้คำตอบเร็วกว่าที่คิดนะ”
เพราะฉันก็เคยรับงานสอนตัวต่อตัวสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
กลืนคำพวกนั้นลงคอ ฉันเริ่มพูดในสิ่งที่อนุมานได้ด้วยข้อมูลจากวังจีโฮ
“สาเหตุที่ครูจูเก่อแจกอลสอนได้แค่ที่โรงเรียนแสงเงิน… เกี่ยวข้องกับฮงกยูบินใช่ไหม”
วังจีโฮพยักหน้ารับ
“มนุษย์ที่เคยผ่านยุคมืด มีแนวโน้มไม่อยากให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนประกอบอาชีพเพลเยอร์ ค่านิยมในปัจจุบันเปลี่ยนไปมากแล้วก็จริง แต่บางคนก็ยังไม่เปลี่ยน หนึ่งในนั้นคือครอบครัวของฮงกยูบิน… จูเก่อแจกอลช่วยสานฝันให้ฮงกยูบินได้เป็นเพลเยอร์สำเร็จ แต่ระหว่างทางเขาก็ต้องสูญเสียไปหลายสิ่ง”
ตัวละครของฉันยอมเดิมพันเพื่อนักเรียนตั้งแต่ก่อนที่เกมจะเริ่ม… ตอนนั้นเขายังไม่เป็นผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ
“เรื่องราวระหว่างทางค่อนข้างซับซ้อน… คงไม่ดีนักถ้าฉันจะพูดจากปากตัวเอง ไว้นายไปถามเอาจากจูเก่อแจกอลหรือฮงกยูบินดีกว่า แต่ถ้าอยากรู้จริงๆ ฉันบอกให้ได้”
โดยไม่แยแสประโยคสุดท้าย ฉันถามในสิ่งที่คาใจ
“แล้วนายไปรู้เรื่องระหว่างทางมาได้ยังไง”
“ฉันยอมจ้างจูเก่อแจกอลเข้าทำงานโดยแลกกับการให้เขาบอกเรื่องนั้น… มีมนุษย์จำนวนไม่น้อยคอยขัดขวางจนน่ารำคาญ แต่ก็ไม่มีใครเปลี่ยนใจฉันได้”
ดูท่าเรื่องนี้จะลึกซึ้งกว่าที่คิด…
ถ้าวังจีโฮสมัยยังเฉื่อยชายอมออกตัวถึงขนาดนั้น เบื้องหลังของเรื่องราวคงไม่ธรรมดา
“ลงเอยด้วย ฉันอนุญาตให้ฮงกยูบินผ่านเข้าออกโรงเรียนแสงเงินได้ทุกเมื่อ… ตราบใดที่จูเก่อแจกอลยังทำงานให้โรงเรียน ฮงกยูบินไม่มีทางแทงข้างหลังมูลนิธิวังมยอง”
วังจีโฮเสริมอย่างภูมิใจว่า ‘ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ยศใหญ่แค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครได้รับสิทธิ์ให้ผ่านเข้าออกโรงเรียนได้อย่างอิสระ’
ขณะฟังอีกฝ่ายเล่าภูมิหลังตัวละครเพลินๆ ฉันก้าวเท้าเข้าไปในตลาด
“ยังมีเวลาเหลือ เดินเล่นตลาดกลางคืนของเต่าดำกันก่อนไป”
ฉันยอมรับข้อเสนอของวังจีโฮ พวกเราเดินชมรอบตลาดก่อนจะกลับโรงแรม
เนื่องจากเป็นสินค้าที่บอกแหล่งที่มาไม่ได้ ผู้รับของขวัญจึงถูกจำกัดวงให้แคบลง แต่ฉันก็ตัดสินใจซื้อกลับไปฝากผู้รับที่ไม่เกี่ยงที่มา
ของขวัญที่ฉันเลือกหลังจากไตร่ตรองสักพัก คือโคมไฟกระดาษที่จะส่องแสงตามสีของคลื่นพลังวิเศษ หากเพลเยอร์ถ่ายคลื่นพลังวิเศษเข้าไป
เมื่อเห็นฉันเลือกโคมไฟกระดาษ วังจีโฮแสดงความเห็น
“เลือกได้ดี”
“นายก็ซื้ออะไรบ้างสิ”
“ฮะฮะฮะ! ฉันไม่อยากซื้อซ้ำไง”
ฉันอยากซื้อตะเกียงด้วย แต่ก็ลังเลอยู่นาน
สิ่งที่อยากได้คือตะเกียงคล้ายๆ เจ้าบ่วง แต่ก็ไม่มีตะเกียงรูปสุนัขอันไหนสามารถแสดงเศษเสี้ยวความน่ารักของมันได้เลย
สุดท้ายก็จำใจต้องซื้อสุนัขมาหนึ่งอัน วังจีโฮที่เห็นเหตุการณ์ส่งเสียงหัวเราะตลอดทาง
แม้ภาพลักษณ์จะแตกต่างกันมาก แต่ถ้าวังมยองโฮในวัยหกสิบหัวเราะแบบนี้ เด็กห้องศูนย์ทุกคนก็คงจดจำได้ในทันทีโuเวลฺกูดoทคoม
‘อายุไม่ช่วยเปลี่ยนเอกลักษณ์การหัวเราะสินะ’
ขณะวังจีโฮกำลังขำอร่อย ฉันย้อนกลับมาวิเคราะห์หาวิธีฆ่าเขาอีกครั้ง
จนกระทั่งพวกเราเดินออกจากตลาดกลางคืน และฝากมกอูรัมให้ลูกน้องวังจีโฮดูแลต่อ
เมื่อกลับถึงโรงแรม
“โชอึยชิน อยากพูดอะไรเกี่ยวกับหน้ากากอีกาไหม”
วังจีโฮถามขณะยืนอยู่บนระเบียงห้องพักของฉัน
ในเมื่อไม่มีเจตนาจะปิดบัง ฉันพูดออกไปตามจริง
“ฉันมีธุระกับเจ้าอสูรนั่น”
หรือระบุให้ชัดเจนก็คือ ฉันมีแผนจะเรียกซีเดเลนเที่ยม—ราชันอสูรอีกาแห่งความเงียบและเพิกเฉย
วังจีโฮก้มมองหน้ากากอีกาในฉันมือแล้วพูด
“เผ่าเสือไม่เคยค้าขายกับเผ่าอสูร หรือต่อให้เคยก็ไม่มีผลอะไร เพราะพวกอสูรจะไม่รวมกลุ่ม”
วังจีโฮดูไม่ยินดียินร้ายกับคำตอบฉัน แต่ก็ไม่คิดถามเซ้าซี้
“พลังของนายที่ฉันสัมผัสถึงในทัวร์นาเมนต์หมากรุกและในตลาดกลางคืน… ฉันจะไขปริศนามันให้ได้”
เขาทิ้งท้ายคำพูดราวกับพวกวายร้ายในหนัง แล้วก็หายไปจากระเบียงโรงแรม
* * *
ตอนเช้า
เมื่อมื้อเช้าใกล้เข้ามา ฉันเดินออกไปที่เลานจ์แล้วเห็นโฮโลแกรมขนาดใหญ่เขียนว่า ‘ชมรมหนังสือพิมพ์เป็นฝ่ายชนะ’
แต่มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
‘ชมรมหนังสือพิมพ์แข่งเกมชนะห้อง 2/0 ก็จริง… แต่พวกเขาชนะจริงหรือ’
เหล่านักรบของชมรมหนังสือพิมพ์—ผู้ได้รับชัยชนะ—นอนระเกะระกะเหมือนซากศพอยู่เต็มเลานจ์ โดยมีครูจูเก่อแจกอลเดินไปห่มผ้าให้ทีละคน
ในทางกลับกัน เด็กห้อง 2/0—ผู้แพ้—คอยเดินวนเวียนอยู่รอบครูอย่างมีชีวิตชีวา
“สวัสดีครับ เกิดอะไรขึ้น”
ได้ยินคำถามของฉัน กึมชานซอลและวังชานซอลตอบอย่างภาคภูมิใจราวกับรออยู่แล้ว
“ชมรมหนังสือพิมพ์ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการแข่งเกม… บังเอิญผล็อยหลับไปอย่างน่าอัศจรรย์ยังไงล่ะ!”
ก็พอเข้าใจได้ว่าชมรมหนังสือพิมพ์สิ้นเปลืองพลังงานอย่างมากเพื่อเอาชนะห้อง 2/0
แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมฝ่ายหลังถึงยังสดชื่นได้ขนาดนี้
ราวกับอ่านคำถามฉันออก คู่หูกึมชานวังชานเสริม
“ชมรมหนังสือพิมพ์จ้องแต่จะเอาชนะพวกเรา จนลืมแก่นแท้ของการเดินทางครั้งนี้ไป!”
“เป้าหมายหลักของเราคือการไปเที่ยวกับครูจูเก่ออยู่แล้ว การแข่งกับชมรมหนังสือพิมพ์เป็นแค่ประเด็นรอง”
ถัดมาเป็นคำอธิบาย
ห้อง 2/0 ล่วงรู้แผนการทัศนศึกษาของชมรมหนังสือพิมพ์มาตั้งแต่ต้น
และรู้ด้วยว่าชมรมหนังสือพิมพ์จะเตรียมเกมประเภทต่อสู้มาเล่น จึงวางกลยุทธ์เพื่อรับมือโดยเฉพาะ
เกมประเภทต่อสู้ที่ต้องสวมเฮดเกียร์นั้นสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงค่อนข้างมาก ห้อง 2/0 จึงวางกลยุทธ์ ‘ใช้แรงให้น้อยที่สุด เพื่อเล่นให้นานที่สุด’ โดยมิได้หวังชัยชนะ ส่งผลให้เด็กชมรมหนังสือพิมพ์ที่โต้รุ่งมาตั้งแต่คืนก่อน สลบเหมือดอยู่ฝ่ายเดียว
กระทั่งมุนแซรอนและคนที่เหลือซึ่งบอกว่า ‘แค่ดูอย่างเดียว’ สุดท้ายก็ต้องเข้าร่วมการแข่งที่มีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน
ชมรมหนังสือพิมพ์เป็นฝ่ายชนะ แต่ไม่มีแรงเหลือ ส่วนผู้แพ้อย่างห้อง 2/0 ยังคงกระปรี้กระเปร่า
“ชัยชนะอันโง่เขลา พ่ายแพ้อย่างสง่างาม!”
“ดูเหมือนว่าคุณวังเด็กเพี้ยนจากห้องศูนย์ กับซูเปอร์โนว่าไร้นามของเราจะไม่หลงกลติดร่างแหสินะ… แต่ช่างเถอะ พวกนายเป็นคนยกนิตยสารครูจูเก่อให้เรา จะยอมปล่อยไปก็แล้วกัน”
“ครูจูเก่อจะเป็นของเราตลอดช่วงเช้า! แต่เนื่องจากแพ้เกม เราต้องเป็นคนจ่ายค่าโรงแรมในคืนถัดไป”
โดยไม่แยแสชมรมหนังสือพิมพ์ที่คว้าชัยชนะอย่างบอบช้ำ เด็กห้อง 2/0 กล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ครูจูเก่อ! ไปกินมื้อเช้ากันเถอะ!”
“ครูไม่ควรปลุกเด็กชมรมหนังสือพิมพ์ที่กำลังหลับฝันดีนะคะ”
ทำเป็นห่วงใย แต่ไม่ใช่เลย
เมื่อเห็นใบหน้าของยอนการัม—เอซชมรมละคร—กำลังส่งสายตาห่วงใย ถ้าไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดฉันคงพลอยเข้าใจผิดไปด้วย
“ในเมื่อเราแพ้เกม จะเป็นฝ่ายไปยกอาหารเช้ามาให้นะ ได้ยินว่าโรงแรมที่นี่บริการห่วยแตก”
“แต่เรายังไม่รู้ว่าเด็กชมรมหนังสือพิมพ์ชอบกินอะไรกัน… ครูจูเก่อช่วยไปเลือกหน่อยสิ!”
และแผนของเขาไม่จบแค่มื้อเช้า แต่ยังรวมถึงการออกไปช็อปปิ้งนอกโรงแรมกับจูเก่อแจกอล
เมื่อเด็กห้อง 2/0 จูเก่อแจกอล วังจีโฮ และฉันกินมื้อเช้าที่โรงแรมเสร็จ พวกเรานัดแนะกันออกไปเที่ยวข้างนอก
ขณะลงมาถึงล็อบบี้โรงแรมชั้นล่างสุด
“ฮึ่ย!”
“นักเรียนคนแรกผู้น่ารำคาญ!”
“ชั่วร้ายมาก! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน!”
กึมชานซอลและวังชานซอลมองฮงกยูบินด้วยใบหน้าเหยเก
ระหว่างนั้น ฉันเห็นฮงกยูบินยืนอยู่กับใครบางคน ฝ่ายแรกทำหน้าตาบึ้งตึง
‘คนที่เราเห็นเมื่อตอนนั้น…’
ถึงจะเจอกันไม่บ่อย แต่ฉันรู้จักชายแปลกหน้าที่ยืนข้างฮงกยูบิน
คราวนี้วังจีโฮเป็นฝ่ายพึมพำด้วยใบหน้าเหยเกยิ่งกว่าคู่หูกึมชานวังชาน
“เด็กเจ้าเล่ห์…”