“เอาล่ะ ได้เวลาพักแล้ว!”
ได้ยินคิมยูรีพูดแบบนั้น เด็กๆ ต่างพากันยืดเส้นยืดสายหรือไม่ก็ฟุบลงไปบนโต๊ะ
“นี่มันวันศุกร์แน่หรือ… หัวจะระเบิดอยู่แล้ว…”
“วันศุกร์แน่นอน แต่เป็นศุกร์ในช่วงเตรียมสอบยังไงล่ะ”
กินมื้อเย็นเสร็จแล้วก็เริ่มอ่านหนังสือสอบทันที
มันเป็นไปตามปรัชญาของคิมยูรีที่กำหนดไว้ว่า วันศุกร์ในช่วงก่อนเทศกาลสอบยิ่งต้องอ่านหนังสือให้หนักขึ้นกว่าปกติ
“ทำไมพวกนายถึงได้เรียนเก่งกันนัก…”
ขณะเม็งเฮียวทงถามพลางตรวจสอบคะแนน ‘ควิซ’ (Quiz) บนโฮโลแกรม เด็กบางคนเปิดปากพูด
“ถ้ามีเนื้อหาที่ต้องสอบเยอะ อย่าไปใส่ใจรายละเอียดมากนัก การอ่านกว้างๆ จะทำให้มีกำลังใจมากกว่าการอ่านเก็บรายละเอียด”
“ลองดูโน้ตที่จดไว้แล้วนึกถึงเนื้อหาในห้องเรียนสิ”
“โรงเรียนเราอัปโหลดวิดีโอการสอบแบบออนไลน์ไว้ด้วย นายสามารถทบทวนไปดูไปได้นะ…”
“อันดับแรกก็ต้องมีความตั้งใจก่อน”
คิมยูรี ฮันอี มินกือริน และซงแดซอกซึ่งอยู่ในกลุ่มเด็กเรียนดี ช่วยกันมอบคำแนะนำ
เม็งเฮียวทงทำหน้าเหมือนกำลังจ้องสิ่งมีชีวิตแปลกหน้าที่ตัวเองไม่รู้จัก
“…ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“…”
ในทางกลับกัน ควอนเลนาที่กำลังมีปัญหากับบทเรียน เอาแต่นั่งนิ่งตัวเกร็งเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตา
‘ควอนเลนาเตรียมตัวเร็วกว่าเพื่อนก็จริง แต่เธอคงเหนื่อยเพราะต้องเรียนไวโอลินควบคู่ไปด้วย’
เม็งเฮียวทง ควอนเลนา และวังจีโฮอยู่ในกลุ่มที่มีคะแนนต่ำ
เม็งเฮียวทงกับควอนเลนาดูจะมีความเห็นอกเห็นใจระหว่างกันอยู่ แต่ไม่ใช่กับวังจีโฮ
“นายสอบได้สี่สิบคะแนนตลอด… ถ้าพลาดนิดเดียวก็สอบตกเลยนะ ทำไมถึงดูไม่กังวลเลย?”
“ฮะฮะฮะฮะ! ก็ฉันไม่มีทางทำพลาดอยู่แล้ว”
“ไม่มีทางทำพลาด… คือมั่นใจว่ายังไงก็ได้สี่สิบคะแนนพอดี? ฉันควรอิจฉาดีไหมเนี่ย”
ก็อย่างที่วังจีโฮบอก คำว่า ‘ไม่มีทางพลาด’ ของเขาคือการทำได้สี่สิบคะแนนคาบเส้น
เม็งเฮียวทงที่คะแนนเฉียดไปเฉียดมาระหว่างเส้นสี่สิบ ดูจะสับสนกับคำพูดอีกฝ่าย
“ถึงจะไม่สอบตก แต่ถ้าตั้งใจให้มากกว่านี้ คะแนนเฉลี่ยของห้องก็จะดีขึ้นตามไปด้วยนะ!”
ซาวอลเซอึมช่วยเสริม
“คะแนนเฉลี่ยของห้อง… ยิ่งสูงสิ่งดีหรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ! ถ้าคะแนนเฉลี่ยห้องเพิ่มขึ้น ครูฮัมกึนยองต้องดีใจมากแน่!”
“ขอคิดดูก่อนนะ”
…ถ้าหมอนั่นอยากให้คะแนนเฉลี่ยห้องเพิ่มขึ้น ไม่แน่ว่าสอบปลายภาควังจีโฮอาจได้คะแนนเต็ม
และถ้าผลออกมาเป็นแบบนั้น วังจีโฮก็จะกลายเป็นท็อปรุ่นร่วมกับจูซูย็อกและอันดาอิน
ไม่อยากเห็นเลยแฮะ
“ทำเหมือนเดิมดีแล้ว”
“ฮะฮะฮะฮะ!”
วังจีโฮหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินฉันยืนกรานว่า ให้ทำสี่สิบคะแนนคาบเส้นตามเดิม
“จริงสิ ของว่างรอบดึกยังไม่ได้เตรียมเลย… วันนี้เป็นเวรของจีโฮกับฉัน”
“นั่นสิ เริ่มกันเลยดีกว่า”
เด็กๆ ในห้องมองวังจีโฮกับคิมยูรีเดินเข้าครัวด้วยสายตาคาดหวังเจือกังวล
กังวลว่าหมอนั่นอาจเล่นพิเรนทร์อีก แต่ก็คาดหวังในฝีมือทำอาหาร
‘ไล่อ่านข้อความดีกว่า’
ระหว่างรออาหารมื้อดึก ฉันเปิดดีไวซ์แล้วเห็นข้อความใหม่จำนวนหนึ่ง
[กึมชานซอล] ดีใจไหมคุณจอมพิรุธ?
[วังชานซอล] วันนี้ก็ทำตัวมีพิรุธนะ! มีพิรุธสุดๆ ไปเลย!
…คงหัวเสียที่ยอนการัมแพ้ฉันสินะ
คู่หูนรกส่งข้อความกวนๆ มาหาโดยไม่มีบริบท
[ฉัน] ขอบคุณที่มาดูแข่งนะครับ ไว้คราวหน้ามาอีกนะ
[วังชานซอล] แล้วถ้าไม่ล่ะ?
[กึมชานซอล] ฉันไม่ได้ไปดูนายแข่ง! ไปดูการัมต่างหาก!
…แต่ถ้าเราแข่งกับยอมการัม พวกเขาก็ต้องมาดูอยู่ดีไม่ใช่หรือไง
พอตอบว่า ‘ได้ครับ ไว้เจอกันใหม่นะ’ ทั้งสองรีบสแปมสติกเกอร์รูประเบิดใส่ทันที แต่ฉันไม่ได้สนใจ
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายข้อความ แต่ที่สะดุดตาเป็นพิเศษคือข้อความจากอีกหนึ่งรุ่นพี่ห้องศูนย์
[อูกีฮวัน] เป็นฝีมือนายหรือ?
…อะไรอีกล่ะนั่น
ครุ่นคิดสักพัก ฉันเริ่มพบคำตอบ
‘หลังจากเกิดเรื่องกับวิญญาณภูเขาและต้นอารามสวรรค์ วังจีโฮบอกว่าจะเก็บกวาดร่องรอยของนักเรียนห้อง 3/0 ให้หมด… หรือว่าอูกีฮวันกำลังหาตัวการที่ทำลายกับดักใกล้ต้นอารามสวรรค์?’
ถ้าฉันตอบว่าไม่ใช่ เขาคงถามกลับมาว่า ‘รู้ด้วยหรือว่าฉันหมายถึงคืออะไร’ และเรียกร้องให้อธิบาย
จึงตัดสินใจแสร้งทำไก๋
[ฉัน] ครับ?
ข้อความสั้นๆ ถูกอ่านทันที แต่ยังไม่มีคำตอบกลับมา
ดูเหมือนจะเป็นการสุ่มถามหยั่งเชิงจริงๆ
คำตอบถูกส่งกลับมาในอีกหลายสิบวินาที
[อูกีฮวัน] เราจับคนร้ายได้แล้ว ไม่ใช่ใครนอกจากครูประจำชั้นสุดแกร่งของห้องฉันเอง!
[ฉัน] ครับ?
อะไรอีกเนี่ย
[อูกีฮวัน] ข้อความที่ฉันหว่านส่งไปเมื่อครู่ เธอตอบกลับมาว่า ‘ใช่ ฉันทำเอง’ … หนอย… ต้องแก้แค้นให้ได้!
…ครูอิมยอนวาคงแค่อยากหยอกล้อลูกศิษย์ตัวเองเล่นด้วยความเอ็นดู
ฉันพิมพ์ส่งกำลังใจไปให้รุ่นพี่แล้วปิดห้องแชตทิ้ง
ถัดมา หลังจากไล่อ่านข้อความอีกสักพัก ฉันเห็นชื่อ ‘ย็อมจุนยอล’ ปรากฏอย่างโดดเด่น
‘ไม่ได้ส่งหาอาจารย์ แต่เป็นรุ่นน้องโชอึยชิน’
ข้อความเริ่มด้วยคำขอโทษอย่างสุภาพ
[ย็อมจุนยอล] สอบปลายภาคเสร็จแล้วมาแข่งกันใหม่ได้ไหม
เป็นคำขอร้องจากลูกศิษย์ทั้งที ยังไงฉันก็ต้องตามใจ
จึงตอบกลับไปด้วยความยินดี
[ฉัน] ได้ครับ ไว้แข่งกันใหม่นะ
[ย็อมจุนยอล] งั้นเจอกันหลังสอบปลายภาคนะ
ดูเหมือนย็อมจุนยอลจะอยู่หน้าจอพอดี จึงตอบกลับมาทันควัน
‘ว่าแต่… ทำไมไม่ส่งข้อความหาอาจารย์เลยล่ะ’
คำนึงจากคำพูดยงเจกอน ย็อมจุนยอลลังเลอยู่นานแล้ว ว่าจะส่งข้อความมาทักทายดีไหม
เห็นทีฉันคงต้องเป็นฝ่ายส่งไปก่อน จึงพิมพ์คำทักทายสั้นๆ แล้วกดส่งไป
[ฉัน] สวัสดี
[ย็อมจุนยอล] ท่านอาจารย์
ข้อความถูกส่งสวนกันภายในเสี้ยววินาที
ข้อความของฉันส่งสำเร็จก่อน แต่ความต่างด้านเวลาแทบไม่ถึงหนึ่งในร้อยวินาที
[ย็อมจุนยอล] เชิญอาจารย์พูดก่อนเลยครับ!
ศิษย์แสนดีของฉันเป็นฝ่ายเสียสละ
[ฉัน] ลองส่งดูน่ะ ถือโอกาสถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไปด้วย อ่านหนังสือสอบเหนื่อยไหม?
[ย็อมจุนยอล] ไม่เหนื่อยครับ ขอบคุณอาจารย์ที่เป็นห่วง! ผมจะทำเกรดดีๆ เพื่อให้อาจารย์ภาคภูมิใจ!
ถึงจะเกรดไม่ดี แต่ย็อมจุนยอลก็เป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของฉันเสมอ
เมื่อได้อ่านตัวหนังสือที่เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น ฉันจินตนาการใบหน้าย็อมจุนยอลกำลังยิ้มจนคิ้วเปลี่ยนเป็นเส้นตรง
[ฉัน] แล้วเธอมีอะไรจะพูดหรือ
[ย็อมจุนยอล] แค่อยากทักทายอาจารย์เท่านั้นครับ!
ใช้เวลาพิมพ์คำทักทายนานขนาดนั้นเชียว?
คำพูดย็อมจุนยอลยังดำเนินต่อ
[ย็อมจุนยอล] อันที่จริง ผมอยากส่งมาทักทายตั้งแต่วันที่ได้รับรหัสแล้ว แต่นึกขึ้นได้ ผมเคยสัญญาว่าจะไม่รบกวนท่านอาจารย์
[ย็อมจุนยอล] …ถึงจะไม่มีเรื่องสำคัญ แต่ผมส่งมาทักทายได้ใช่ไหมครับ
ระยะห่างระหว่างข้อความค่อนข้างนาน
ฉันสัมผัสถึงความกังวลของลูกศิษย์ จึงตัดสินใจอนุญาตทันที
[ฉัน] ได้สิ นั่นไม่ถือว่าเป็นการรบกวน
[ย็อมจุนยอล] งั้นผมขอติดต่อไปหาบ่อยๆ ได้ไหมครับ
[ฉัน] ไม่มีปัญหา
[ย็อมจุนยอล] ขอบคุณครับ!
ถึงจะรู้สึกไม่ดีกับคำว่า ‘บ่อยๆ’ แต่ถ้าย็อมจุนยอลมีความสุข ฉันก็คงต้องยอม
“ได้เวลากินมื้อค่ำแล้ว!”
ดูเหมือนของว่างจะถูกเตรียมเสร็จแล้ว บนโต๊ะเริ่มมีการนำตะเกียบมาเรียง
เมนูวันนี้คือเกี๊ยวซ่า โดยเฉพาะเกี๊ยวซ่าอุนทันที่บางเฉียบเป็นพิเศษจนเห็นไส้
“เหมือนกลืนก้อนเมฆเลย!”
“รสปลาหมึก กุ้ง… อร่อยทุกอย่างเลย!”
“แน่นอนอยู่แล้ว ฝีมือฉันคนนี้ทั้งที ฮะฮะฮะ!”
“…น่าเจ็บใจชะมัด”
ขณะพวกเราพูดคุยในบรรยากาศเป็นกันเอง มินกือรินที่รับโทรศัพท์แล้วเดินไปยังมุมหนึ่งของห้อง เดินกลับมาที่โต๊ะโดยยังไม่วางสายโน!วลกูดoทคอม
“ค่ะ อาจารย์… ตอนนี้ฉันอยู่กับเพื่อนร่วมชั้นแล้ว สักครู่นะคะ”
“ท่านจิตรกรโทรมา?”
“ใช่ ท่านบอกให้นั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนแล้วเปิดลำโพงไว้ ถ้านั่งข้างแดซอกได้ยิ่งดี”
เมื่อเธอพูดจบ ซงแดซอกชี้ไปยังเบาะฝั่งขวามือตัวเองแล้วรีบวางจานกับตะเกียบ
“กือริน นั่งนี่สิ!”
ซงแดซอกที่ไม่ได้นั่งข้างมินกือรินมานาน ฉีกยิ้มกว้างขณะกล่าวกับหญิงสาวสวมฮู้ดคลุมหัว ใบหน้ามิอาจเก็บซ่อนความสุข
“ยังกับมีน้ำผึ้งไหลออกจากตา”
“เดี๋ยวฉันเปลี่ยนที่นั่งให้… ไม่อยากเป็นก้างขวางคอ”
หลังจากเด็กๆ ช่วยกันจัดระเบียบเบาะนั่ง มินกือรินเปลี่ยนโหมดการโทรเป็นลำโพง
เสียงของฮงคยุงบ๊กดังมาจากโฮโลแกรมที่มีอักษรเขียนว่า ‘ท่านอาจารย์’
[กือริน ใจเย็นๆ แล้วตั้งใจฟังให้ดีนะ]
“ค่ะ…”
ขณะบทสนทนาเริ่มขึ้น เด็กบางคนแอบใช้ตะเกียบคีบเกี๊ยวซ่าอุนทันใส่ปากแล้วเคี้ยวแบบกลบเสียง
[‘อีมูกีสู่สวรรค์’ ถูกขโมยไป ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าหายไปเมื่อไร และคนร้ายทำได้ยังไง]
ตุ้บ!
เมื่อฮงคยุงบ๊กพูดจบ มินกือรินช็อกจนหงายหลัง
“กือริน!”
ซงแดซอกข้างๆ รีบยื่นมือขวาออกไปโอบไหล่
…คงเพราะคาดเดาสถานการณ์แบบนี้เอาไว้ ถึงบอกให้นั่งข้างซงแดซอก
มินกือรินค่อยๆ จับแขนซงแดซอกแล้วตั้งใจฟัง
[หลังจากได้ทราบข่าว ทางตำรวจเตรียมดำเนินการสืบสวนอย่างเปิดเผย เพื่อไม่ให้มีการแอบซื้อขายภาพกันลับหลัง พรุ่งนี้ฉันจะออกข่าวป่าวประกาศไปทั่วประเทศ และจะคอยขัดขวางไม่ให้มีใครมาสัมภาษณ์เธอได้ ไม่ต้องกังวล]
“ค่ะ…”
[ฉันสัญญาว่าจะตามหาให้เจอ…]
จิตรกรฮงคยุงบ๊กจบสายด้วยการปลอบประโลมมินกือริน
จากเท่าที่ฟัง รอบตัวเขาคงเป็นกลุ่มตำรวจที่กำลังสืบสวน
“ภาพแรกที่ฉันวาดกับอาจารย์…”
มินกือรินพึมพำอย่างอ่อนแรง เพื่อนร่วมชั้นต่างพยายามปลอบ
“ถ้าอยากได้อะไรก็บอกนะ ฉันจะช่วยเต็มที่เลย!”
“ใช่ เรียกฉันได้ทุกเมื่อ!”
“อื้อ! ติดต่อพวกเราได้ตลอดเลยนะ!”
“ขอบคุณนะ…”
ยิ่งได้คุยกับเพื่อนร่วมชั้น สีหน้ามินกือรินยิ่งผ่อนคลาย
ซงแดซอกที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดขณะคอยกอดมินกือรินไว้ เผยสีหน้าสับสนเล็กๆ
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมินกือรินถึงเอาชนะอาการตกใจได้เร็วขนาดนี้ หลังจากรู้ว่าผลงานชิ้นแรกของตนถูกขโมยไป
เมื่อเห็นเธอกลับมามีสติอีกครั้ง ฉันครุ่นคิดอย่างใจเย็น
‘หายไปเมื่อไร และได้ยังไง…’
สิ่งแรกที่นึกถึงคือจอมบงการ แต่ไม่นานก็ส่ายหน้า
จอมบงการมิได้ตื้นเขินแบบนี้
คำนึงจากพฤติกรรมของจอมบงการในเกม หากมันรู้ว่าภาพนี้คือเบาะแสที่อดีตประธานสมาคมเพลเยอร์สาขาเกาหลีเหลือทิ้งไว้ อีมูกีสู่สวรรค์คงไม่จบลงแค่การถูกขโมย
‘ถ้าเป็นจอมบงการที่เรารู้จัก หลังจากนำของปลอมมาสับเปลี่ยน มันต้องลอบฆ่าฮงคยุงบ๊กกับมินกือรินเพื่อไม่ให้มีใครในโลกรู้ว่าเป็นของปลอม และเพื่อไม่ให้ภาพนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่ได้อีก’
หรือสรุปก็คือ ใครบางคนขโมยภาพนี้ไปเพราะคิดว่ามันมีมูลค่าสูงเฉยๆ
ท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัว ฉันหันไปพูดกับวังจีโฮ
“ฉันจะหาภาพนั้นให้เจอ”
“ไม่ใช่ ‘ช่วยหา’ แต่ ‘จะหาให้เจอ’ ? ต้องทำเพื่อเพื่อนร่วมชั้นขนาดนี้เลยหรือ”
“ใช่”
“…นี่คือเหตุผลที่อยู่ๆ ก็ถ่อไปถึงฮงชอนสินะ”
ขณะยืนส่งมินกือรินกับซงแดซอกกลับไป วังจีโฮหันมามองหน้าฉัน
ระหว่างกำลังไตร่ตรองว่าควรอธิบาย ‘อีมูกีสู่สวรรค์’ ถึงขั้นไหนดี
“ตกลง ฉันก็จะช่วยหาอีกแรง”
วังจีโฮพูดพลางผงกศีรษะโดยไม่ถามอะไรต่อ
* * *
วันจันทร์
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวคราวการถูกขโมย ‘อีมูกีสู่สวรรค์’ เป็นที่ฮือฮาไปทั่วเกาหลี แต่นักเรียนโรงเรียนแสงเงินกำลังตกตะลึงกับข่าวที่ใหญ่กว่านั้น
ควอนเจอิน ‘บลูไวโอลินิสต์’ รับตำแหน่งครูที่โรงเรียนแสงเงิน
เป็นคนดังในวงการรายที่สามถัดจากจิตรกรฮงคยุงบ๊ก และปรมาจารย์ทักกอซัน
“มนุษย์เพียงไม่กี่คนที่สามารถต่อกรกับเผ่าแท้ได้ กำลังมารวมตัวในโรงเรียนแสงเงิน!”
“ด้วยความสัตย์จริง ฉันไม่ค่อยตื่นเต้นกับท่านจิตรกรและปรมาจารย์ทักสักเท่าไร เพราะพวกเราอยู่ต่างยุคกัน แต่กับรุ่นพี่ควอนเจอิน…”
ระหว่างทางไปโรงเรียนมีแต่หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับควอนเจอิน
แม้จะสอนแค่ไม่กี่วิชา แต่การที่มาสอนก็นับว่าน่าทึ่งมากแล้ว
แถมยังมีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นสืบเนื่องจากข้อเท็จจริงดังกล่าว
หนึ่งในนั้นคือฉากที่ครูคนหนึ่งในชุดพละ กำลังคลานเข่าพลางร้องห่มร้องไห้
“สู้เค้านะครู! เหลืออีกแค่ห้ากิโลเมตรเท่านั้น!”
“ทำไมฉันถึงเขียนอะไรแบบนั้นลงไป…”
“เอาน้ำตาเทียมมาอีก!”
ดูเหมือนคนที่พิมพ์ข้อความในบอร์ดว่า ‘ถ้ารุ่นพี่ควอนเจอินมาเป็นครู ฉันจะร้องไห้คลานเข่าจากประตูหน้าไปถึงตึกชมรมเลย’ จะทำตามที่เคยลั่นวาจาไว้
‘ครูที่ปรึกษาชมรมเครื่องสายนี่เอง…’
บนเว็บบอร์ดมีแค่การอธิบายว่าเขา ‘อยู่ชมรมเครื่องสาย’ แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นนักเรียน
ครูที่ปรึกษาชมรมเครื่องสายยังคงก้มหน้าคลานต่อไป โดยมีนักเรียนคอยหยดน้ำตาเทียมให้เรื่อยๆ
เมื่อควอนเจอินได้ยินว่ามีไอ้บ้าคนหนึ่งรับผิดชอบกับคำพูดเพี้ยนๆ ของตัวเอง เธอออกมายืนรออยู่หน้าตึกชมรมเพื่อบรรเลงเพลงให้กำลังใจ
ครูที่ปรึกษาได้เห็นฉากนั้นจึงร้องไห้ออกมาโดยไม่ต้องพึ่งน้ำตาเทียม
“เมื่อวันเสาร์ ฉันไปที่ตึกทีมทะเลสาบนิรันดร์มา… มันยอดเยี่ยมมากๆ …”
ในขณะเดียวกัน ควอนเลนาผู้แวะไปเรียนไวโอลินในช่วงสุดสัปดาห์ พึมพำด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม
“พอได้สติ ฉันรู้สึกว่าตัวเองกลับเป็นปกติแล้ว… หรือควรต้องพูดว่า พอตัวเองกลับเป็นปกติ ฉันถึงได้สติ?”
“เธอกำลังสวดอะไรอยู่น่ะ”
“คงกำลังประทับใจที่รุ่นพี่ควอนเจอินมาเป็นครูมั้ง”
“…ไม่น่าจะใช่แค่ประทับใจนะ”
จากเท่าที่ฟัง ดูเหมือนพิธีขจัดคำสาปคำสาบานให้เงียบของควอนเลนาจะผ่านไปได้ด้วยดี
แม้จะเป็นพิธีที่เล่นใหญ่เกินพอดีไปมาก แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาคุ้มค่า
‘หนึ่งในปัญหาของควอนเลนาถูกแก้ไขแล้ว หวังว่าปัญหาอื่นๆ จะถูกแก้ไขตามมา’
อย่างไรก็ดี แม้จิตรกรฮงคยุงบ๊ก ส.ส. ซองกุกอุน และเผ่าเสือออกหน้าสืบสวนอย่างแข็งขัน แต่เวลากลับล่วงเลยไปโดยไม่มีความคืบหน้า
ไม่นานก็เข้าสู่เดือนกรกฎาคม ตลอดช่วงที่ผ่านมา ฉันจับกลุ่มติวกับเพื่อนแทบทุกวัน แข่งหมากรุกเป็นครั้งคราว และหมั่นสู้กับแบคโฮกุนที่แข็งแกร่งกว่ามากแม้จะใช้แค่มือเดียว
ลงเอยด้วย เทศกาลสอบกลางภาคเริ่มขึ้นโดยยังไม่มีความคืบหน้าของภาพอีมูกีสู่สวรรค์