เช้าวันศุกร์
ขณะออกจากหอพักเร็วกว่าปกติ ฉันเห็นข้อความจากซองกุกอุน
[ซองกุกอุน] (ลิงก์บทความ)
ส่งบทความอะไรมาตั้งแต่เช้าเลย?
ฉันนึกสงสัย จึงกดเข้าไปดู
[“ภาษีเลือดรั่วไหล” โรงเรียนมัธยมต้นของรัฐบาลกว่าห้าสิบแห่งในจังหวัดคยองกี ถูกตรวจพบว่าตกแต่งบัญชีเพื่อยักยอกเงินสนับสนุนจากรัฐ]
[สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดคยองกี “ทางเราจะดำเนินการตรวจสอบโรงเรียนมัธยมต้นของรัฐบาลทั้งหมดในจังหวัด”]
จังหวัดคยองกี, โรงเรียนรัฐบาล, ตกแต่งบัญชีเพื่อยักยอกเงิน
ทันทีที่ได้ยินกลุ่มคำดังกล่าว ฉันนึกถึงโรงเรียนเก่าของเม็งเฮียวทง—โรงเรียนมัธยมต้นทันแร
คราวก่อนที่เจอกัน ฉันฝากฝังเรื่องนี้ไว้กับซองกุกอุนเพราะคำร้องของฉันถูกปัดตก
ดูเหมือนเขาจะช่วยจัดการอย่างเอาจริงเอาจัง
…แถมโรงเรียนอื่นก็ยังโดนหางเลขไปด้วย ตัวละครของฉันไม่ธรรมดาจริงๆ
[ฉัน] ขอบคุณครับ
[ซองกุกอุน] ฉันทำสิ่งที่ควรทำในฐานะตัวแทนประชาชน ทางนี้ต่างหากที่ต้องขอบคุณ
[ซองกุกอุน] ถ้ามีอะไรก็ติดต่อมาได้นะ
ฉันกดออกจากห้องแชต เพื่อตรวจสอบรายชื่อโรงเรียนแห่งอื่นๆ ที่โดนหางเลขไปด้วย
จากโรงเรียนมัธยมต้นกว่าหกร้อยแห่งในจังหวัดคยองกี เป็นโรงเรียนรัฐบาลถึงห้าร้อยแห่ง
ในจำนวนนั้น ห้าสิบแห่งถูกตรวจพบว่ามีการทุจริต
ระหว่างกำลังไล่ดูชื่อทั้งห้าสิบโรงเรียน ฉันเริ่มพบความไม่ชอบมาพากล
‘เกือบทุกโรงเรียนอยู่ใกล้กับโรงเรียนทันแร… คำนึงจากลักษณะนิสัยของซองกุกอุน อย่างเขาไม่น่าจะตรวจสอบแค่ละแวกเดียว แต่เป็นทั้งจังหวัด’
ฉันเปิดแผนที่ด้วยโฮโลแกรมเพื่อยืนยันตำแหน่ง และนั่นช่วยให้มั่นใจ
โรงเรียนทั้งหมดในรายชื่อ ตั้งอยู่ใกล้โรงเรียนม.ต้นทันแรจริงๆ
‘…แค่บังเอิญ?’
ฉันพยายามเชื่อมโยงข้อมูลในเกมกับข้อมูลในปัจจุบัน แต่ก็ยากที่จะด่วนสรุปเพราะมีเบาะแสน้อยเกินไป
“อึยชิน? ฉันนึกว่านายเป็นเด็กหอเสียอีก”
“สวัสดี!”
ปัจจุบันยังเช้าอยู่ ประตูทางเข้าหลักจึงค่อนข้างเงียบ
กรรมการรักษาระเบียบสองคนที่เข้าเวรคุมประตูหลัก—มาจินซึงและโอเยจี กล่าวทักทายฉัน
“สวัสดีครับ”
ได้ยินฉันทักทายตอบ โอเยจีหัวเราะในลำคอ
“ซูย็อกเล่าเรื่องซีฮูให้ฟังแล้ว”
บนเรือคีโมโพลียา โอเยจีเคยประจันหน้ากับแขกที่นินทาโดซีฮูเสียๆ หายๆ
แม้ในเกมจะไม่ได้เปิดเผย แต่ดูทั้งสองจะสนิทกันพอสมควร
“ถ้าอึยชินไม่ได้ติดต่อมา ได้ยินว่าซีฮูเกือบทำตัวงี่เง่าจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ขอบคุณมากนะ”
“…ผมไม่ได้ทำอะไรเลย คนที่เจอโดซีฮูคือครูฮัมกึนยองต่างหาก ส่วนคนที่พากลับไปคือจางนัมอุก”
“ถ้าตอนนั้นหัวหน้าฝ่ายกิจการนักเรียนต้องแก้ไขปัญหาตามลำพัง เขาคงเลือกติดต่อไปหาครอบครัวหรือไม่ก็โรงเรียนเตรียมทหาร และเรื่องราวก็จะลุกลามบานปลาย… ถ้าไม่ใช่เพราะอึยชินกับนัมอุกช่วยกัน ซีฮูคงเดือดร้อนมากแน่… เขาติดหนี้พวกนายแล้ว”
โอเยจีขอบคุณฉันอีกครั้งด้วยสายตาที่ซาบซึ้งใจ
ฉันทำตัวไม่ถูก จึงมองต่ำแก้เขินจนสังเกตเห็นนาฬิกา
ตัวเรือนและหน้าปัดเป็นสีโรสโกลด์ (Rose Gold) เชื่อมติดกับสายหนัง
เข็มสั้น เข็มยาว และเข็มวินาทีทำจากทองคำขาว และตัวเลขประดับตกแต่งด้วยเพชรแท้
‘ก็เข้าใจได้อยู่หรอกที่คนอย่างโอเยจี เพลเยอร์ซึ่งประสบความสำเร็จพอสมควร แถมยังเป็นทายาทตระกูลแชโบลจะมีนาฬิกาหรูๆ ใส่ แต่ว่า… ทำไมสายหนังกับเม็ดมะยมถึงเป็นสีแซนด์พิงก์ล่ะ?’
เพิ่งเผาเสื้อผ้าสีแซนด์พิงก์ไปพร้อมกับจูซูย็อกไม่ใช่หรือไง?
แล้วทำไมถึงสวมนาฬิกาข้อมือที่มีสีนั้น?
“หือ? มีอะไรหรือ”
“นาฬิกาข้อมือของรุ่นพี่สวยมากเลยครับ แบรนด์ไหนเอ่ย”
ฉันอยากขุดคุ้ยแหล่งที่มา แต่ถ้าถามตรงๆ คงจะกระโตกกระตากไปหน่อย จึงลองตะล่อมอ้อมๆ ไปก่อน
“อ้อ ไอ้นี่น่ะหรือ…”
ทันใดนั้น โอเยจีตอบด้วยใบหน้าอมชมพู
“เห็นว่าสั่งทำจาก ‘นือรู’ นะ… เป็นเรือนเดียวในโลก”
ไม่ใช่แบรนด์ไหน แต่สั่งทำพิเศษจากนือรู?
ค่านาฬิกาที่ฉันคำนวณไว้เล่นๆ อาจต้องเพิ่มศูนย์อีกสองตัว
‘เธอไม่มีทางสั่งนาฬิกาสีแซนด์พิงก์มาเองแน่ คงได้เป็นของขวัญ’
…โอเยจีไม่ใช่คนติดหรู อาการเขินที่เราเห็นคงมาจากตัวผู้ให้ของขวัญ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทนสวมนาฬิกาสีแซนด์พิงก์ที่เกลียดนักหนา
‘ไม่ใช่ว่าถูกผู้ชายแปลกๆ หลอกอยู่นะ…’
แม้แต่พระเอกของเกมอย่างจูซูย็อก ก็ยังไม่เคยอยู่ในสายตาโอเยจี
อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่?
ขณะฉันคิดไม่ตกว่าควรตามสืบเรื่องนี้ต่อดีไหม
“โอ้! นั่นมันเด็กห้อง 1/0 นี่นา!”
มาจินซึงตะโกนเสียงดัง
จากอีกฟากของประตูหลัก ฉันเห็นซงแดซอกเดินเข้ามาด้วยใบหน้าหดหู่ ดูไม่เข้ากับรูปร่างที่ดูสง่าผ่าเผย
‘ช่วงนี้มินกือรินต้องมาชมรมศิลปะแต่เช้าทุกวัน แถมพักนี้ก็ไม่ได้มาโรงเรียนด้วยกัน เขาคงหดหู่เพราะแทบไม่ได้เจอกันเลยในช่วงเช้า’
จิตรกรมินกือรินกำลังเห่ออุปกรณ์ใหม่ๆ ที่ชมรมศิลปะสั่งเข้ามา
และสัปดาห์หน้าเป็นต้นไปจะเข้าสู่เทศกาลเตรียมตัวสอบ ใครยังค้างคาอะไรในชมรมก็ต้องรีบสะสางให้จบ
ที่ซงแดซอกหดหู่ก็เพราะเขารู้สถานการณ์เป็นอย่างดี จึงไม่กล้าออกปากคัดค้าน
“เฮ้! เด็กห้อง 1/0 ที่ใส่ชุดลำลองเมื่อวันก่อนน่ะ!”
เสียงตะโกนของมาจินซึงทำหูฉันแทบอื้อ
ซงแดซอกหันมาจ้องมาจินซึงโดยไม่เก็บซ่อนความหงุดหงิด
“ทำไม มีอะไร?”
“วันนี้นายจะเข้าเรียน?”
ซงแดซอกดูไม่เหมือนแต่งชุดนักเรียน เนื่องจากสวมเสื้อเชิ้ตที่ขายตามท้องตลาดเป็นครึ่งท่อนบน
เขาจ้องหน้ามาจินซึงที่กำลังยืนขวางทาง แล้วพูดอย่างฉุนเฉียว
“วันนี้ใส่กางเกงนักเรียนมา ผมไม่ได้ทำผิดกฎโรงเรียน อย่ามาเกะกะน่า…”
“ในที่สุดนายก็มาโรงเรียนแล้วสินะ!”
มาจินซึงยังคงตะโกนขณะมองหน้าซงแดซอก
“ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียน! ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกกรรมการรักษาระเบียบได้ทุกเมื่อ! พวกเรามีประโยชน์กว่าสภานักเรียนมากโข!”
มาจินซึงกล่าวอย่างเป็นมิตร ราวกับลืมไปแล้วว่าคราวก่อนเคยถูกซงแดซอกที่ใส่ชุดลำลองตอกหน้าหงายไป
เมื่อเห็นทัศนคติของอีกฝ่าย ซงแดซอกรีบปิดปากสนิท
ฉันได้ยินโอเยจีแอบพึมพำเบาๆ ว่า ‘จินซึงก็ยังสมองทึบเหมือนเคย’
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เป้าหมายที่ฉันยืนคอยอยู่—ซงแดซอก มาถึงโรงเรียนแล้ว
ฉันกล่าวคำอำลากับรุ่นพี่ทั้งสองแล้วลากตัวซงแดซอกไป
เขาตอบสนองมาจินซึงไม่ถูก จึงยอมตามฉันมาแต่โดยดี
“เดี๋ยวนะ… นายเป็นเด็กหอนี่ ทำไมมายืนอยู่ที่ประตูหน้า”
“พอดีมีอะไรจะให้นาย”
ฉันมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้กำลังยิ้มมีพิรุธ แต่ซงแดซอกกลับขมวดคิ้วเหมือนไม่เชื่อ คงเพราะสภาพแวดล้อมชวนให้คิดแบบนั้นโนlวลกูดอทคoม
“ได้ยินว่าคราวก่อนนายอธิบายเรื่องดาวเทียมให้เพื่อนๆ ฟังอย่างละเอียดเลยนี่ สนใจด้านนั้นใช่ไหมล่ะ”
“แล้วมันยังไง”
“ถ้าส่งข้อความไปหา นายคงไม่ได้เปิดอ่าน ก็เลยมารอนายด้วยตัวเอง”
ฉันเปิดหน้าประกาศรับสมัครเด็กฝึกงานบนเว็บไซต์สมาคมเพลเยอร์ให้เขาดู
ซงแดซอกขมวดคิ้วมองโฮโลแกรม จากนั้นก็ทำตาลุกวาว
“ห้องควบคุมเพลเยอร์ SAT-K ในตึกสมาคม… ลองสมัครดูสิ นายจะได้เห็นของจริง”
ซงแดซอกที่เดินข้างๆ ฉัน ชะงักฝีเท้าทันที
ราวกับว่าอยู่ดีๆ ก็ก้าวขาไม่ออก
“ลองเก็บไปคิดดูนะ”
พูดจบ ฉันส่งลิงก์ประกาศรับสมัครให้ซงแดซอก
จากนั้นก็รีบย่ำเท้าจนมาถึงห้อง 1/0 โดยทิ้งเขาที่กำลังยืนทำหน้าซื่อบื้อไว้ตามลำพัง
* * *
ก่อนจะหมดพักกลางวัน
ระหว่างกำลังอ่านข่าวจากดีไวซ์บนทางเดินที่ไม่ค่อยมีใครใช้ เสียงหนึ่งดังขึ้น
“นักเรียนอึยชิน วันนี้มาโรงเรียนสินะ”
ครูกงชองวอนปรากฏตัวราวกับภูตผี
น้ำเสียงของเขาทั้งสุขุมและทุ้มลึก
โดดไปจองตั๋วสนามเบสบอลจัมชิลเอย โดดไปโรงเรียนม.ต้นทันแรในวันครูเอย รวมถึงการนอนหมดสติด้วยฝีมือจักรวาลเหนือรูปหน้าต้นอารามสวรรค์
แม้ทั้งหมดจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ฉันขาดเรียนคาบ ‘แนะนำเอนามี’ ค่อนข้างบ่อย
เขาคงคาใจ เพราะประวัติการโดดเรียนของฉันมีแค่วิชาของเขา
‘ว่าแต่… หาเราเจอได้ยังไง’
วันนี้ฉันเปลี่ยนสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เพราะตำแหน่งเดิมถูกวังจีโฮหาพบแล้ว
ครูกงชองวอนที่เพิ่งเป็นครูประจำ ไม่มีอำนาจในการแกะรอยนักเรียนจากดีไวซ์
“ไปกันเถอะ”
“…ครับ”
คาบเรียนในเทอมแรกเหลือไม่มากแล้ว ฉันจึงตามเขาไป พลางให้คำมั่นสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่
ฮันอีกับเพื่อนร่วมวิชาอาจไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ฉันรู้สึกผิดที่ขาดเรียนบ่อยกว่าใคร
* * *
หลังเลิกเรียน
บ้านของคิมยูรี, หลังจากเอาชนะเอซของชมรมละคร—ยอนการัม ซึ่งมีเพื่อนๆ ห้อง 2/0 ยกโขยงตามมาให้กำลังใจ
“ถ้าอึยชินไม่ได้ห้ามไว้ ฉันคงเรียกทุกคนไปเชียร์ด้วยแล้ว!”
“ใช่!”
“ไม่ต้องมานั่นแหละดีแล้ว”
แม้ฉันจะชนะ แต่ซาวอลเซอึมดูจะไม่พอใจที่ห้องเราพ่ายแพ้ด้านปริมาณกองเชียร์
ทั้งที่เรียนคนละชั้นปี แต่พวกเขากลับเกิดความรู้สึกลึกๆ ว่า ‘ไม่อยากแพ้’
คงเพราะเป็นห้องศูนย์เหมือนกัน
“ในห้องแข่งที่มีนั่งน้อย ถ้าไปกันหมดอาจจะไม่พอ”
“ถ้าไม่มีที่นั่ง ฉันบินเอาก็ได้!”
“ถึงจะบินไม่ได้ แต่ฉันยืนได้”
ถัดจากคำพูดซาวอลเซอึมกับเม็งเฮียวทง วังจีโฮช่วยเสริม
“ถ้ามันแคบนัก เราเช่าโรงยิมแข่งก็ได้นี่”
มันต้องขออนุญาตก่อนไม่ใช่หรือไงฟะ
…แต่ถ้าเจ้าของโรงเรียนเช่าเองก็คงอีกเรื่องสินะ
“จีโฮพูดถูก ฉันเองก็อยากเห็นการแปรอักษรเรืองแสงของรุ่นพี่ห้องศูนย์เหมือนกัน”
“ถึงฉันจะไปไม่ได้ แต่ช่วยวาดรูปให้กำลังใจได้นะ…”
“…เข้าใจแล้ว ไว้คราวหน้าจะชวนนะ”
พอได้ยินคิมยูรีกับมินกือรินพูดแบบนั้น ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด
ในเมื่อเพื่อนร่วมชั้นยืนกรานว่าต้องไปดูให้ได้ ฉันก็ต้องให้พวกเขามาดู
“แล้วจะแข่งอีกทีตอนไหน”
“คงไม่ใช่เร็วๆ นี้…”
“แต่ยังไงก็ควรวางแผนล่วงหน้านะ”
“เห็นด้วย!”
“นี่… พวกนายไม่ได้มาติวกันหรือไง”
ซงแดซอกถามขึ้น แต่ไม่มีใครสนใจ
ลงเอยด้วย พวกเราระดมสมองกันเพื่อคิดแผนเชียร์ที่เหนือกว่าห้อง 2/0
* * *
พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติ
ขณะใกล้ปิดทำการ
“ท่านจิตรกร… มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“โฮ่… นึกว่าใคร ที่แท้ก็ตัวแทนประชาชนนี่เอง”
ส.ส. ซองกุกอุนและจิตรกรฮงคยุงบ๊ก
พวกเขาบังเอิญเจอกันที่หน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์
“ไม่ยักรู้ว่าท่านก็อยู่ที่โซลด้วย ไม่อย่างนั้นคงแวะไปหาด้วยตัวเองแล้วครับ”
“คนหนุ่มงานยุ่งแบบเธอจะมาหาฉันทำไมเล่า เฮะเฮะเฮะ!”
ฮงคยุงบ๊กยิ้มให้ซองกุกอุน ด้วยสายตาที่เหมือนมองหลานชายในไส้
“ชอบศิลปะกับเขาด้วยหรือ”
“ครับ ผมอยากมาเห็นผลงานของท่านด้วยตาตัวเอง”
“ถ้าอย่างนั้น ให้ฉันนำทางเถอะ”
“ฮะฮะ! ไม่อยากเชื่อว่าระดับศิลปินแห่งชาติจะลดตัวมาเป็นภัณฑารักษ์ให้ผม”
“เร็วเข้าเถอะ ฉันอยากให้เธอให้เห็น ‘อีมูกีสู่สวรรค์’ ที่วาดโดยฉันกับศิษย์… พักนี้มีนักเรียนเพิ่มขึ้น ทำเอานึกถึงวันเก่าๆ เลยล่ะ…”
ซองกุกอุนพยายามเล่นมุก แต่ฮงคยุงบ๊กแสร้งทำหูทวนลมแล้วเดินนำไป
แต่ละก้าวของศิลปินแห่งชาติดูเริงร่าและมีความสุข
จนกระทั่งฮงคยุงบ๊กหยุดยืนตรงใจกลางพิพิธภัณฑ์
ตรงข้ามกับจุดที่เขายืน คือกระจกนิรภัยที่ด้านในมีกรอบรูป
‘นี่น่ะหรือ อีมูกีสู่สวรรค์…’
แม้จะเป็นผลงานร่วมระหว่างอาจารย์กับศิษย์เอก แต่ดูแล้วก็ไม่ได้น่าประทับใจอะไร
ซองกุกอุนเก็บงำความรู้สึก พลางรวบรวมคลื่นพลังวิเศษไว้ที่ดวงตาซึ่งได้รับพรคุ้มครองจากเบื้องบน
ซ่า…
หลังจากมองรูปวาดอยู่สองสามวินาที ซองกุกอุนตัดสินใจเก็บคลื่นพลังวิเศษ
เพราะแม้จะมองด้วยเนตรดังกล่าว แต่มันก็ยังเป็นแค่รูปวาดธรรมดา
‘หรือว่าประเด็นไม่ได้อยู่ที่การมอง… เห็นทีคงต้องฟังเรื่องราวจากปากท่านจิตรกรโดยตรง’
ขณะซองกุกอุนคิดเช่นนั้นแล้วหันไปมองฮงคยุงบ๊ก
อีกฝ่ายกำลังทำหน้าเหมือนสมัยที่เพิ่งสูญเสียศิษย์ไปหมาดๆ
“ท่านจิตรกร?”
เขาไม่ตอบสนองคำเรียกของซองกุกอุน
แต่หันไปพูดกับบุคคลที่ห้อยป้ายพนักงานพิพิธภัณฑ์ด้วยสีหน้าดำมืด
“เรียกผู้ดูแลมา… เรียกตำรวจด้วย”
“เกิดอะไรขึ้นครับ ท่านจิตรกร?”
พอได้ยินว่าส.ส. ซองกุกอุนกับจิตรกรฮงคยุงบ๊กมาเยี่ยมพิพิธภัณฑ์ ผู้อำนวยการได้เตรียมตัวออกมาต้อนรับพอดี
แม้ผู้ดูแลจะก้มศีรษะอย่างพินอบพิเทา แต่ฮงคยุงบ๊กยังคงไม่ลดโทสะ
“เป็นผู้ดูแลของที่นี่ได้ยังไง!”
“ท่านจิตรกร… เกิดอะไรขึ้นหรือครับ… ผมทำอะไรพลาดไป”
“มีตาหามีแววไม่… ทำไมคนไม่เอาไหนถึงได้ทำงานดูแลพิพิธภัณฑ์ระดับประเทศ! ให้ตายสิ…”
ฮงคยุงบ๊กผู้เดือดดาล ชี้ไปยังอีมูกีสู่สวรรค์ด้านหลังกระจกนิรภัย
“นี่มันของปลอม! ผลงานขีดเขี่ยอันหยาบกร้านนี้มิใช่ ‘อีมูกีสู่สวรรค์’ ที่ฉันกับลูกศิษย์วาดขึ้นมา!”