MasterGU.noted = ชื่อบทจากเว็บนอก -> The Result of Your Choice/ผลลัพธ์ที่คุณเลือก (7)
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ฉันอธิบายเอง…”
ซาวอลเซอึมเล่าอย่างสั้นกระชับ
เขาและฮันอีมาถึงห้องเรียนแต่เช้าเพื่อช่วยเม็งเฮียวทงติวหนังสือ
ทั้งสองบังเอิญเห็นใครบางคนกำลังเจาะระบบประตูอัตโนมัติของห้อง 1/0 เข้าพอดี
เมื่อมั่นใจว่าเป็นโจร พวกเขาเริ่มใช้กำลังจับกุมอีกฝ่าย จนผลงานเลียนแบบ ‘อีมูกีสู่สวรรค์’ ที่ฉีกขาดหลุดจากมือ
‘ถ้าเป็นพวกครูก็ต้องเข้าห้องเรียนได้สิ…’
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชายคนนี้มีสิทธิ์ผ่านแค่บาเรียโรงเรียน แต่ไม่ใหญ่พอที่จะเข้าห้องเรียน
“หืม… ฉันรู้จักเขา”
วังจีโฮเปิดประเด็น
ด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เป็นหนึ่งในครู?”
“เปล่า… เป็นพนักงานทำความสะอาดสัญญาจ้างที่หมดสัญญาเมื่อวาน”
“ไม่ใช่ว่าโรงเรียนใช้เครื่องทำความสะอาดหรือไง”
“มีบางจุดที่เครื่องจักรเข้าไปไม่ได้ จึงต้องจ้างคนมาทำแทน”
“นายจำหน้าพนักงานทำความสะอาดสัญญาจ้างได้ทุกคน?”
“ไม่มีทางอยู่แล้ว”
แล้วรู้ได้ยังไง?
“หมอนี่เพิ่งถูกหมายเรียกของพนักงานสืบสวน”
“หา…?”
“อะไรนะ!”
“เขาเอาแต่ปฏิเสธหมายเรียก เจ้าหน้าที่จึงออกหมายเตือนตามกระบวนการ ส่งผลให้ตอนนี้ถูกขึ้นบัญชีเตือน”
…ปลาตัวใหญ่กว่าที่คิดแฮะ
ได้ฟังวังจีโฮเล่า เด็กสองคนที่รุมจับกุมอยู่เพิ่มแรงรัดบุคคลน่าสงสัยให้แน่นขึ้น
“นายไปรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
“เขาละเมิดสัญญาหลายครั้งระหว่างทำงานให้โรงเรียน ทางมูลนิธิวังมยองจึงแจ้งความไป และคอยร่วมมือกับเจ้าพนักงานอย่างเต็มที่”
ได้ยินแบบนั้น ฉันเริ่มปะติดปะต่อข้อมูลได้
คนร้ายที่พยายามบุกเข้าไปในห้อง 1/0
งานเลียนแบบ ‘อีมูกีสู่สวรรค์’ ในสภาพฉีกขาดที่หล่นจากมือ
บุคคลสำคัญที่วังจีโฮจดจำใบหน้าได้ และส่งเรื่องดำเนินคดีผ่านมูลนิธิวังมยอง
“ไอ้หมอนี่… คนที่เขียนคอมเมนต์แย่ๆ ถึงมินกือริน”
“ใช่… เขากว้านซื้อไอดีเว็บบอร์ดโรงเรียนมาจำนวนหนึ่ง แล้วเขียนคอมเมนต์เชิงลบโจมตีมินกือรินด้วยไอดีพวกนั้น อีกทั้งยังคอยแพร่ข่าวลือเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับเธอ ทางมูลนิธิจึงแจ้งความไปแล้วหลายกระทง”
“เป็นไอ้ระยำสินะ”
“…โชคดีที่จับตัวไว้ได้”
เด็กๆ เริ่มเดือดดาลเมื่อชื่อของมินกือรินผุดขึ้นมา
“หมายความว่าไอ้เวรนี่… มาที่ห้องเราเพื่อทำร้ายกือรินสินะ!”
“อ้อ… หลังจากคอมเมนต์ไม่ได้ ก็เลยคิดจะเล่นงานมินกือรินโดยตรงแทน?”
ฉันส่ายหน้าให้กับสมมติฐานของซาวอลเซอึมและวังจีโฮ
หมอนี่คงไม่ได้คิดจะทำร้ายมินกือรินโดยตรง
คำนึงจากวีรกรรมในอดีต ขอเดาว่าคนแบบนี้คงเลือกทำร้ายจิตใจเหยื่อทางอ้อมด้วยความอำมหิตมากกว่า
“เขาคิดจะเข้าไปทำลายผลงาน ‘ดอกคาร์เนชั่น’ ของมินกือริน เหมือนที่ทำกับภาพเลียนแบบอีมูกีสู่สวรรค์”
ภาพดอกคาร์เนชั่นที่มินกือรินวาดให้ครูฮัมกึนยอง
มันคือสัญลักษณ์การกลับมามีชีวิตในรั้วโรงเรียนของเธอ
ชายคนนี้จึงหวังทำลายภาพดังกล่าว เพื่อปลุกบาดแผลทางใจสมัยถูกกลั่นแกล้งให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
“ไอ้สาระยำ…!”
ทันใดนั้น คลื่นพลังวิเศษกระเพื่อมออกจากร่างจิตรฮงคยุงบ๊ก
ตัวเขาที่สืบมาในระดับหนึ่ง ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับมินกือรินในระยะหลัง คงอ่านเจตนาของคนร้ายออกในทันที
“อ…อาจารย์!”
และไม่ผิดจากที่คิด คนร้ายคืออดีตลูกศิษย์ของฮงคยุงบ๊ก
หลังจากเหลือบไปเห็นจิตรกรฮงคยุงบ๊ก เขาเปิดปากเป็นครั้งแรกด้วยใบหน้าหวาดผวา
เมื่อได้ยินคำว่า ‘อาจารย์’ ใบหน้าฮงคยุงบ๊กยิ่งบูดบึ้ง
“กล้าดียังไงมาเรียกฉันว่าอาจารย์!”
ซ่า—!
คลื่นพลังวิเศษของฮงคยุงบ๊ก ผู้อัดแน่นไปด้วยความเจ็บแค้น ปะทุออกมาด้านหน้าอย่างเกรี้ยวกราด
บรรยากาศดูน่าเกรงขามเสียจนสองเผ่าแท้อย่างยงเจกอนกับวังจีโฮ ก็ยังต้องยืนชื่นชม
จิตรกรฮงคยุงบ๊กก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดกับฮันอีและเม็งเฮียวทงที่กำลังจับตัวคนร้ายไว้
“ส่งเขามาให้ฉัน พวกเธอปล่อยมือแล้วรีบถอยออกไป ไม่อย่างนั้นจะบาดเจ็บเอาได้”
“ท่านจิตรกรคิดจะทำอะไรกับเขา!”
ผู้บำเพ็ญทัก ซึ่งยืนมองเหตุการณ์มาสักพัก รีบโพล่งขึ้นจากด้านข้าง
“เป็นเพราะฉันไร้ความสามารถ มิอาจสั่งสอนเดนมนุษย์รายนี้ให้เป็นผู้เป็นคน กือรินจึงต้องเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก ในฐานะอาจารย์ ฉันมีหน้าที่ต้องจัดการเขาด้วยตัวเอง”
“จัดการอะไร! ฉันยอมรับว่าสิ่งมีชีวิตที่น่าสะอิดสะเอียนนี่สมควรได้รับโทษ… แต่ที่นี่มีพยานและอุปกรณ์บันทึกอยู่เต็มไปหมด!”
“ฉันเตรียมใจรับผลของการกระทำไว้แล้ว”
แม้ผู้บำเพ็ญทักจะพยายามโน้มน้าว แต่คลื่นพลังวิเศษของจิตรกรฮงคยุงบ๊กก็ยังไม่คลายออก
“คงไม่คิดจะนองเลือดต่อหน้าเด็กๆ หรอกใช่ไหม…”
“…ฉันไม่ได้จะฆ่าเขา แค่ตัดมือที่เขียนคอมเมนต์ว่าร้ายกือรินทิ้ง… จะตัดให้เนียนกริบจนไม่มีเลือดสักหยดเลย”
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่มีเลือดหรือไม่
ได้ยินประโยคล่าสุด คนร้ายร้องโหวกเหวกและพยายามดิ้นทุรนทุราย แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะหลุดจากพลังแขนของเม็งเฮียวทงกับฮันอี
“…พวกเธอออกไปเดินเล่นสักพักแล้วค่อยกลับมาได้ไหม”
เม็งเฮียวทงและฮันอี ผู้กำลังกอดรัดคนร้ายไว้แน่น เริ่มลังเลว่าตนควรทำอย่างไร
คำนึงจากนิสัยพวกเขา ตอนนี้คงไตร่ตรองอยู่ว่า ‘ถ้าไอ้หมอนี่กลั่นแกล้งกือรินจริง ก็สมควรถูกตัดมือแล้วไม่ใช่หรือ’
และเผ่าแท้ทั้งสองก็ดูไม่คิดจะสอดมือเข้ามายุ่ง
“คุณทำแบบนี้ไม่ได้”
ท้ายที่สุด เป็นฉันที่ก้าวออกมา
ฉันหยุดยืนหน้าจิตรกรฮงคยุงบ๊กแล้วกล่าว
“ผมเองก็เห็นด้วยและคิดว่าเขาสมควรถูกตัดมือ… แต่คงปล่อยให้คุณทำแบบนั้นไม่ได้”
แม้ในใจอยากจะตัดมือของไอ้ระยำที่เปลี่ยนให้มินกือริน—ตัวละครของฉัน กลายเป็นเด็กปฏิเสธโรงเรียนและมีแผลใจรุนแรง แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องห้ามไว้
“ท่านจิตรกร มินกือรินอยากเจอคุณมาตลอด… ถ้าคุณได้เป็นครูจริงๆ เธอต้องดีใจมากแน่”
“…ใช่แล้ว! กือรินเอาแต่พูดถึงท่านจิตรกร ถ้าคุณต้องติดคุกล่ะก็ กือรินต้องเสียใจมากแน่… และอาจไม่มาโรงเรียนอีกเลยเพราะต้องไปเยี่ยมคุณ”
ซาวอลเซอึมที่ลอยอยู่กลางอากาศโดยมิอาจมีส่วนร่วม ช่วยเสริมน้ำหนักคำพูดฉัน
เม็งเฮียวทงและฮันอี ซึ่งตั้งใจฟังคำพูดของพวกเรา มองหน้ากันสักพักก่อนจะพูดกับฮงคยุงบ๊ก
“ขอโทษครับ แต่เราคงหลีกทางให้ไม่ได้”
“…แสร้งทำเป็นอุบัติเหตุแล้วหักนิ้วมันสักข้างไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้ครับ ถ้าจะทำก็ต้องแอบทำหลังจากนี้”
เมื่อถูกคัดค้านจากนักเรียนทุกคน ออร่ารอบตัวจิตรกรฮงคยุงบ๊กเริ่มซาลงเล็กน้อย
“ฉันเองก็คิดเหมือนกับเพื่อนทุกคน… ตอนนี้ติดต่อมูลนิธิวังมยองไปแล้ว พวกเขาจะส่งเจ้าหน้าที่มารับช่วงต่อ เพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป”
คนร้ายยังได้รับแค่หมายเตือนจากตำรวจก็จริง แต่ในเมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขาว่าพยายามเจาะระบบประตูห้องเรียน ตำรวจก็พร้อมดำเนินคดีทันที
ถัดจากวังจีโฮ ยงเจกอนช่วยเสริม
“ในฐานะผู้ดูแลห้อง1/0 ข้าคงต้องยึดตามเจตนารมณ์ของนักเรียนเป็นหลัก ท่านจิตรกรช่วยถอยออกห่างด้วย”
เมื่อสองเผ่าแท้เข้ามาแทรกแซง สถานการณ์จึงเริ่มสงบลง
“ท่านจิตรกร! ได้โปรดเห็นแก่หน้าเด็กๆ แล้วถอยออกมาด้วย! ฉันจะช่วยเป็นพยานในชั้นสืบสวนให้เอง และจะช่วยกำชับรุ่นน้องมหาลัยฯ ให้ลงโทษไอ้หมอนี่สถานหนัก!”
“…ก็ได้”
เมื่อผู้บำเพ็ญทักช่วยโน้มน้าวอีกครั้ง จิตรกรฮงคยุงบ๊กสลายคลื่นพลังวิเศษแล้วถอยกลับไป
แม้จะไม่หลงเหลือออร่า แต่สายตาของเขาที่จ้องคนร้ายยังคงเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
ดูเหมือนความต้องการที่จะตัดมืออดีตลูกศิษย์จะยังไม่หายไปไหน
ตุ้บ!
“เฮ้ย… มันหมดสติไปแล้ว”
เมื่อความตึงเครียดบรรเทาลง คนร้ายหมดสติพร้อมกับทิ้งตัว
น้ำหนักตัวของมันกลายเป็นภาระแก่นักเรียนสองคนที่คอยจับไว้ จนพวกเขาเริ่มเกร็งใบหน้า
คนร้ายถูกเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิวังมยองพาตัวไปก่อนที่นักเรียนคนอื่นๆ จะทยอยมาถึง
ถัดมา กลุ่มคนที่พัวพันกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ชักชวนกันเดินเข้าไปในห้อง 1/0
“ว่าแต่… วังจีโฮรู้จักตัวจริงของคนร้ายได้ยังไง”
ซาวอลเซอึม ผู้พยายามประกอบภาพเลียนแบบของอีมูกีสู่สวรรค์ด้วยเทปกาว หันมาถาม
“เพราะฉันเป็นประธาน…”
“เขาเป็นญาติของท่านประธานน่ะ”
ฉันรีบตัดบทก่อนที่วังจีโฮจะพูดจาเหลวไหล
“อ้อ… จริงด้วย”
“เขาเป็นญาติของท่านประธาน?”
“ได้ยินว่าค่อนข้างสนิทกับท่านประธานวังมยองโฮเลยนะ”
โล่งอกไปที ดูเหมือนพวกเด็กๆ จะปล่อยผ่านไปโดยไม่คิดมาก
“…ฉันไม่คิดจะเปิดเผยตัวจริงอยู่แล้ว”
วังจีโฮหัวเราะในลำคอขณะหรี่เสียงกระซิบ пᴏveʟɢᴜ.cᴏᴍ
ในทางกลับกัน เม็งเฮียวทง ผู้เริ่มถอดใจที่จะประกอบภาพเลียนแบบอีมูกีสู่สวรรค์ หันไปทางผู้บำเพ็ญทัก
“ท่านผู้บำเพ็ญมาทำอะไรที่นี่…”
“ผู้บำเพ็ญ? เรียกฉันว่าอาจารย์สิ! และนับจากวันนี้ไป ฉันคือครูของโรงเรียนแสงเงิน”
“อ้อ…”
เมื่อคิดว่าจะต้องถูกผู้บำเพ็ญทรมานอีกครั้ง ใบหน้าของเม็งเฮียวทงหมองลงทันที แสงแวววาวเลือนหายไปจากดวงตา
ในเวลาเดียวกัน ประตูห้องเรียนเปิดออก
ครืด—!
“ทุกคน! อัตราการเข้าเรียนเพิ่มขึ้นแล้ว! หลังจากวันนี้ไป แดซอกก็จะมาโรงเรียนด้วย… ห…หือ? สวัสดีค่ะ!”
ด้านหลังคิมยูรียังมีนักเรียนอีกสามคน
ควอนเลนา ผู้อยู่ติวหนังสือและค้างที่บ้านคิมยูรีตลอดสุดสัปดาห์
ซงแดซอกที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบเนียนกริบ
และมินกือรินที่ยืนอยู่ข้างๆ ซงแดซอก
“…อาจารย์?”
เมื่อเหลือบเห็นฮงคยุงบ๊ก มินกือรินเผยสีหน้าตกตะลึง
“อา… กือรินมาแล้วสินะ”
“ทำไมอาจารย์ถึง…”
“นับตั้งแต่วันนี้ ฉันจะมาเป็นครูที่โรงเรียนแสงเงินน่ะ เห็นว่ามีตำแหน่งว่างอยู่พอดี”
ใบหน้าตกตะลึงของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นความโล่งอกและดีใจ
เป็นสีหน้าของคนที่มีความสุขจนทำตัวไม่ถูก
มินกือรินรีบหันไปพูดกับซงแดซอก
“แดซอก… อาจารย์มาเป็นครูที่โรงเรียนเราด้วย! อ…เอ๋… นายรู้อยู่ก่อนแล้ว?”
เมื่อเห็นอากัปกิริยาอันจืดชืดของซงแดซอก เธอตั้งคำถาม และอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบ
“ใช่… ที่ไม่ได้บอกเพราะอยากเซอไพรส์เธอ ขอโทษนะ”
“ไม่… เอ่อ…”
ขณะหญิงสาวอ้ำอึ้ง ซงแดซอกลูบผมมินกือรินอย่างอ่อนโยน
เธอเพียงอมยิ้มโดยไม่มีร่องรอยความขุ่นเคืองใจ
เด็กๆ ที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันกระซิบกระซาบ
“ว้าว…”
“…ดูสนิทกันจัง”
“เป็นแบบนี้มาตลอดทางเลยล่ะ! พวกเขากำลังคบกันอยู่ใช่ไหม”
“ถ้าคู่นี้ไม่ได้คบกัน ก็คงไม่มีคู่ไหนในโลกคบกันแล้ว”
กลุ่มเด็กที่ซุบซิบเริ่มชวนสมาชิกใหม่ทั้งสองคุย โดยถามนั่นนี่เรื่อยเปื่อย
เมื่อเห็นมินกือรินกับซงแดซอกกลมกลืนไปกับเพื่อนร่วมชั้น จิตรกรฮงคยุงบ๊กเผยสีหน้าซึ่งจะยากบอกว่าหัวเราะหรือร้องไห้
ด้านหลังฉัน วังจีโฮ ผู้แต่เอามองดูอย่างเงียบงัน เริ่มกระซิบกระซาบอีกครั้ง
“โชอึยชิน นายเองก็อยากให้ไอ้เวรนั่นโดนตัดมือเหมือนกันใช่ไหม”
ปลายสายตาของวังจีโฮคือเด็กสามคน ซึ่งเปรียบได้กับหลานแท้ๆ ของตน
…เขาเอ็นดูเด็กห้องนี้มาก คงอยากลงโทษคนร้ายที่พยายามผลักมินกือรินกลับลงไปในบ่อโคลน
“ใช่ แต่ฉันไม่เสียใจหรอกนะที่ห้ามท่านจิตรกรไว้ ราคาที่เขาต้องจ่ายเพื่อทำแบบนั้นมันสูงเกินไป”
“อย่างนี้นี่เอง…”
ดวงตาวังจีโฮกำลังเปล่งประกายด้วยบรรยากาศแปลกๆ
“เข้าใจแล้ว”
ฉันพอจะเดาเจตนาของเขาได้ และไม่คิดจะห้ามด้วย
* * *
เมื่อนานมาแล้ว หลังจากถูกจิตรกรฮงคยุงบ๊กผลักไสจนสูญเสียจุดยืนในวงการศิลปะ
เขาต้องกลายมาเป็นพนักงานทำความสะอาด
จนกระทั่งมีใครบางคนจ้างเขาทำงานพิเศษ
— ฉันเห็นคอมเมนต์ของนายบนโลกออนไลน์แล้วนะ! ไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครคอมเมนต์ปลุกปั่นได้ชำนาญและเป็นธรรมชาติขนาดนี้ สนใจจะใช้พรสวรรค์ให้ถูกที่ถูกเวลาไหม?
ข้อเสนอของลูกค้ามีแค่การชักนำความคิดคนหมู่มากบนเว็บบอร์ดของโรงเรียนแสงเงิน
ก่อนหน้านี้เขาเคยทิ้งคอมเมนต์มากมายไว้ตามเว็บไซต์ชื่อดัง เพื่อชักจูงความเห็นคนส่วนใหญ่ให้โจมตีคนมีชื่อเสียงที่ตัวเองไม่ชอบ
นี่จึงเป็นงานง่ายๆ
อย่างไรก็ดี ภารกิจคอมเมนต์ปลุกปั่นบนเว็บบอร์ดโรงเรียนอันทรงเกียรติของเกาหลีไม่ราบรื่นอย่างที่คิด
สมาชิกชมรมหนังสือพิมพ์คอยโต้แย้งด้วยหลักฐาน อีกทั้งนักเรียนหัวกะทิของโรงเรียนอันดับหนึ่งก็ฉลาดพอที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อการปลุกปั่น
— หืม… ดูท่าการชักนำความคิดในโรงเรียนแสงเงินจะไม่ใช่เรื่องง่ายสินะ… เข้าใจแล้ว งั้นพอแค่นี้แหละ!
ลูกค้ายุติภารกิจ
แต่เขายังมีไอดีเว็บบอร์ดในมือจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็อยากทำลายชีวิตของนักเรียนคนหนึ่ง
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ไอดีทั้งหมดถูกระงับ บีบบังคับให้เขาต้องลงมือเอง
‘เด็กอัจฉริยะ? นังบ้านนอกนั่นน่ะหรือเด็กอัจฉริยะ?’
อวดดีเหลือเกินที่บังอาจข้ามหน้าข้ามตารุ่นพี่ผู้เปรียบดังท้องฟ้า แล้วเฉิดฉายอย่างโดดเด่นตามลำพัง
นั่นคือเหตุผลที่เธอถูกรุมกลั่นแกล้งในโรงเรียน เขามีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นมินกือรินนั่งร้องไห้อยู่ตรงมุมสตูดิโอวาดรูป
‘ตอนนั้นเราน่าจะลงมือด้วยตัวเอง!’
เขาได้ชักนำให้เด็กประถมกลุ่มหนึ่งลากตัวมินกือรินมาที่โรงงานร้างเพื่อหักแขนเธอ แต่จิตรกรวัยเยาว์ดันปลุกพลังวิเศษจนหนีรอดไปได้
โชคดีที่กลุ่มเด็กประถมพวกนั้นจำหน้าเขาไม่ได้ จึงรอดพ้นจากการถูกดำเนินคดี
‘พวกตำรวจอยากเล่นงานเราแทบแย่… แต่ทางมูลนิธิวังมยองคงไม่อยากให้เรื่องเอิกเกริกสินะ’
ในตอนที่จิตรกรฮงคยุงบ๊กโผล่ออกมาแล้วข่มขู่ว่าจะตัดมือ เขากลัวจนแทบบ้า แต่สุดท้ายก็รอดมาได้โดยยังเหลือมือครบ
เขาเชื่อสนิทใจว่าเทพธิดาแห่งโชคอยู่ข้างตน
ขณะคิดเช่นนั้นพลางวางแผนฉลองด้วยโซจูในช่วงบ่าย
‘หือ…?’
บนโต๊ะทำงาน ซึ่งบางเวลาก็ถูกใช้เป็นโต๊ะอาหาร
เขาเห็นเครื่องตัดกระดาษแบบสับซึ่งมีใบมีดคมกริบ
ถือเป็นของหายากในโลกยุคใหม่ที่นิยมใช้เครื่องตัดกระดาษแบบทริมเมอร์ (Trimmer – เครื่องตัดกระดาษแบบรูด)
และด้านหลังเครื่องตัดกระดาษโบราณนั่น…
“แกเป็นใคร!”
มีใครบางคนยืนอยู่
ชายหนุ่มในช่วงวัยยี่สิบ กำลังเอนหลังพิงกำแพงในท่ากอดอก
แสงที่ทะลุผ่านผ้าม่านไม่สว่างพอที่จะเห็นใบหน้าอีกฝ่าย แต่ประกายในดวงตาดูน่าหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก
“บางครั้งมนุษย์ก็ไม่ต้องรับผลกรรมในสิ่งที่ตัวเองเลือก… แต่ข้ากลับต้องลิ้มรสผลของการทำตัวเฉื่อยชาในอดีต… ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
กำลังพล่ามอะไรอยู่?
เขาควรตะโกนไล่เด็กหนุ่มคนนั้นออกไป แต่กลับถูกออร่าลึกลับข่มขวัญจนขยับปากไม่ได้
“เฉกเช่นผู้มีพระคุณ ข้าเองก็อยากตัดมือเจ้าทิ้งเหมือนกัน ดังนั้น…”
นัยน์ตาและเรือนผมของเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นสีทอง
ไม่กี่อึดใจถัดมา
มือขวาของเขาหายไป
เมื่อก้อนเนื้อแยกออกจากร่างแล้วทิ้งดิ่งลงพื้น เลือดสาดกระจายทันที ความเจ็บปวดพลันเอ่อล้นประสาทสัมผัส
“อ๊ากก! อ๊ากกกก!!”
เขาแหกปากตะโกนสุดปอดด้วยความกลัวและเจ็บปวด
พยายามร้องขอชีวิตก็แล้ว แต่ก็ไม่มีการตอบสนองจากด้านหลังกำแพงแผ่นบางๆ
มันน่าแปลกมาก เพราะตามปกติ แค่เดินเสียงดังหน่อยก็มีคนมาเคาะประตูห้องแล้วแท้ๆ
เมื่อเลือดสีแดงเจิ่งนองเต็มพื้น การมองเห็นของเขาค่อยๆ พร่ามัว
ไม่นานสติก็ดับลง
เมื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายสลบไป ชายวัยยี่สิบหันหลังกลับแล้วพูด
“ไอ้สวะนี่ ‘ทำพลาด’ จนมือตัวเองขาดขณะกำลังใช้งานเครื่องตัดกระดาษ ‘รุ่นเก่า’ ที่ไม่คุ้นเคย… จัดการเปลี่ยนความทรงจำซะ ถอนบาเรียออกและเก็บกวาดที่เกิดเหตุให้เรียบร้อย”
“ขอรับ ท่านเสือเหลือง”
“ตรวจสอบแหล่งเงินทุนของมันหรือยัง”
“ยังครับ ขออภัยเป็นอย่างสูง”
“อา…”
เสือเหลืองทำหน้าครุ่นคิด พลางชำเลืองไปทางเดนมนุษย์ที่ยังไม่ตาย
“ท่านคิดจะลงมือด้วยตัวเองหรือขอรับ”
“…”
โดยไม่ตอบ วังจีโฮอันตรธานหายไปจากตำแหน่ง
อย่างไรก็ดี ลูกน้องของเขาเข้าใจเจตนาและเริ่มก้มหน้าเก็บกวาดด้วยรอยยิ้มร่าเริง
ทุกคนที่นี่ล้วนเป็นยอดฝีมือ มีพลังวิเศษหายากและถูกนับหน้าถือตาในหมู่เผ่าเสือ แต่กลับกำลังทำงานต่ำต้อยอย่างมีความสุข
ผู้นำของตนกลับมากระตือรือร้นอีกครั้งหลังจากเฉื่อยชามาหลายพันปี อีกทั้งความกระตือรือร้นนั่นก็มิใช่เรื่องประเดี๋ยวประด๋าว
เป็นธรรมดาที่ลูกน้องจะยินดีปรีดา