MasterGU.noted = ชื่อบทจากเว็บนอก -> Tiger and Snow/เสือและหิมะ (5)
เมื่อราวสิบห้าปีก่อน ซองกุกอุนคือประธานนักเรียนของโรงเรียนแสงเงิน
เขาเปลี่ยนแปลงโรงเรียนพร้อมกับสร้างตำนานไว้มากมาย
วีรกรรมที่โด่งดังที่สุดคือการก่อตั้งสมาคมปีกธรณี—องค์กรจัดการดูแลหอพักที่ปกครองโดยนักเรียน
สมาคมปีกธรณีคอยปกป้องโรงเรียนในหลายด้าน
‘เช่นการแจกเควสต์ปราบหมูป่า หรือไม่ก็ออกไปจัดการด้วยตัวเอง จนแผนการตัดเส้นเลือดภูเขาของเผ่าหมูคลาดเคลื่อน’
มีตำนานสยองขวัญสองเรื่องที่ซองกุกอุนไหว้วานให้ตรวจสอบ
ตำนานเรื่องแรกคือสมาคมลับระหว่างสภานักเรียนและกรรมการรักษาระเบียบ
สมาคมลับคือเบาะแสที่อดีตประธานสมาคมเพลเยอร์สาขาเกาหลีทิ้งไว้ให้ ซึ่งเขาเคยทำพันธสัญญากับเผ่าแท้ที่สร้างรอยแยกแช่แข็งบนคาบสมุทรเกาหลี
ตำนานเรื่องที่สองคือประตูปรภพบนเขาปีกสวรรค์
ประตูปรภพเกี่ยวข้องโดยตรงกับเส้นเลือดภูเขาที่เผ่าหมูอยากทำลาย
‘จะใช่เรื่องบังเอิญแน่หรือ…’
ความเคลื่อนไหวของซองกุกอุนในเกม
ท่าทีแปลกๆ ของซองกุกอุนกับจอนมูยอง ในตอนที่พวกเขาไหว้วานให้สืบตำนานสยองขวัญ
แก่นของตำนานสยองขวัญ
ฉันไตร่ตรองทีละสิ่งในหัวจนได้ข้อสรุป
‘ค่อนข้างชัดเจนว่าซองกุกอุนล่วงรู้ความลับบางอย่าง’
แม้คืนนี้จะยังไม่เข้าเงื่อนไข ‘คืนไร้จันทร์’ แต่ฉันพอจะเข้าใจเจตนาของซองกุกอุน
‘คราวหน้าคงต้องสร้างคืนไร้จันทร์ขึ้นมาเอง… อาจรอให้เมฆหนาจนบดบังดวงจันทร์ หรือไม่ก็ใช้พลังวิเศษหรือไอเท็มสร้างเมฆขึ้นมา…’
ระหว่างการตรวจสอบตำแหน่งประตูปรภพบนแผนที่โฮโลแกรมด้วย ‘เลนส์ส่องประตูผี’ แสงบางจุดสว่างเป็นพิเศษจนแยงเข้ามาในดวงตาฉัน
‘จุดอื่นๆ สว่างแบบคงที่… มีแค่จุดนี้ที่แปลกกว่าใคร’
ปาซ!
ในเวลาเดียวกัน เลนส์ส่องประตูผีหมดอายุการใช้งาน ไอเท็มจึงสลายไปในอากาศ
ฉันจ้องแผนที่โฮโลแกรมท่ามกลางเอฟเฟกต์ไอเท็มหมดอายุสักพัก ก่อนจะตัดสินใจหนักแน่น
‘ไปดูให้เห็นกับตาดีกว่า’
ฉันกระโดดลงจากยอดหอชมวิวสูงสามชั้น แล้วเรียกใช้แสงประทานทันที
〈ท่านเรียกใช้แสงประทาน, เส้นทางเพลเยอร์〉
ปาซ!
ฉันใช้ตัวละครที่มีเลเวลค่าสถานะโดยรวมสูงกว่าตัวฉันในปัจจุบัน เพื่อให้ร่อนลงพื้นอย่างนุ่มนวล
เป็นคิมยูรีในร่างสุดท้าย
ด้วยร่างนี้ ฉันสามารถ ‘ตรวจจับอันตราย’ อัตโนมัติด้วยสกิล ช่วยให้รับมือกับเหตุฉุกเฉินบนภูเขาอันมืดมิดได้ทันท่วงที ขณะเดียวกันก็สามารถใช้ ‘สปรินเตอร์’ เพื่อเร่งความเร็วไปถึงจุดหมาย
‘แต่คงใช้แสงประทานของคิมยูรีกับที่นี่ไม่ได้’
ด้วยธรรมชาติของแสงประทานของเธอ มันไม่เหมาะกับการใช้งานบนภูเขา แถมยังเป็นแสงประทานที่แข็งแกร่งมากจนเผาผลาญระยะเวลาการใช้งาน ‘เส้นทางเพลเยอร์’ อย่างรวดเร็ว
〈ท่านใช้สกิล ‘สปรินเตอร์’ ของตัวละคร 〉
ฉันเปิดใช้สปรินเตอร์เพื่อส่งตัวเองไปยังปลายทางที่เห็นจากเลนส์
จนกระทั่ง…
〈สกิลของตัวละคร ‘ตรวจจับอันตราย’ ทำงาน〉
〈สกิลของตัวละคร ‘ตรวจจับอันตราย’ ทำงาน〉
…
…
…
ฮวิก! ควัง! พ่อก!
ก้อนหินเล็กๆ ที่ไม่ถึงกับทำให้ตาย กระหน่ำพุ่งเข้าหาฉันจากทุกทิศ
ปั๊มที่คอยพ่นแก๊สสลบและอัมพาต
หนามแหลมที่พุ่งเข้าใส่พร้อมกับการคำรามของเสียงสัญญาณเตือน
ปัจจัยข้างต้นทำให้เสียง ‘ข้อความแจ้งเตือนกับดัก’ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
‘ทำไมถึงมีกับดักเยอะขนาดนี้! คำนึงจากประเภทกับดัก… คงไม่ใช่ฝีมือของเผ่าเสือแน่’
ดังนั้น คนที่บ้าพอจะวางกับดักบนเขาปีกสวรรค์ทั้งที่ตัวเองไม่ใช่เผ่าเสือ…
กลุ่มเดียวที่ฉันนึกถึงคือนักเรียนห้อง 3/0—อูกีฮวันและผองเพื่อน
ดูเหมือนปลายทางของฉันจะเกี่ยวข้องกับพลังจักรวาลที่พวกเขาตามหา
‘การที่เด็กปีสามยังไม่ปรากฏตัว สื่อได้ว่าปัจจุบันพวกเขาไม่ได้อยู่แถวนี้’
ไม่ว่าจะมืดแค่ไหน แต่ถ้าพบว่ากับดักทำงาน ก็คงรีบแจ้นวิ่งขึ้นเขาปีกสวรรค์มาทันที
แปลว่าคืนนี้ออกไปเล่นซนกันนอกโรงเรียนสินะ
‘…ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นแถวนี้’
ฉันมาถึงด้านหน้า ‘ต้นอารามสวรรค์’
ต้นอารามสวรรค์ถูกบรรยายว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งเขาปีกสวรรค์ และเป็นต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาช้าที่สุดในเกม
‘ภายในเกม เรามองมันเป็นแค่หนึ่งในองค์ประกอบของเทพนิยายทันกุน’
แต่ในเมื่อที่นี่คือโลกความจริง ต้นอารามสวรรค์อาจมีความนัยบางอย่างแฝงอยู่
ขณะฉันเข้าใกล้ต้นอารามสวรรค์ ไม่มีเสียงแจ้งเตือนอันตรายดังขึ้น
รอบต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ปราศจากร่องรอยของมนุษย์ ดูเหมือนแม้แต่เด็กแสบห้อง 3/0 ก็ยังไม่กล้าแตะต้อง
เมื่อเข้าใกล้ต้นไม้ในระยะที่เอื้อมมือจับถึง
ฟาาา…
ต้นอารามสวรรค์เริ่มเปล่งแสงสีขาว
เกิดเป็นกลุ่มแสงสลัวลอยวนเวียนอยู่รอบต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีใบหนาแน่น
ไม่นานกลุ่มแสงก็รวมตัวเป็นร่างมนุษย์ แล้วลอยมาทางฉัน
‘ดูเหมือนมันอยากจะบอกอะไรกับเรา’
กลุ่มแสงพยายามโบกมือและใช้ภาษากาย แต่แน่นอนว่าฉันไม่เข้าใจ
กลุ่มแสงดูเหมือนหยุดครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะลอยเข้ามาใกล้ฉันแล้วชี้มือไปทางต้นอารามสวรรค์
‘บอกใบ้ให้ฉันใช้มือจับต้นไม้?’
ในเมื่อสกิลตรวจจับไม่ส่งเสียงเตือน ฉันจึงลองยื่นแขนไปจับ
ทันทีที่ฝ่ามือสัมผัสกับเปลือกไม้อารามสวรรค์ ฉันรับรู้ถึงความอบอุ่นจากผิวหนังในจุดที่สัมผัส
‘ปกติแล้วเปลือกไม้ไม่ควรร้อนแบบนี้!’
วาบ!
แม้จะเป็นปรากฏการณ์ที่แปลก แต่ก็เกิดขึ้นแค่ชั่วครู่
ต้นอารามสวรรค์ซึ่งมีกลุ่มแสงลอยวนเวียนอย่างอ่อนโยน เริ่มแผ่แสงจ้าราวกับใกล้จะระเบิด
‘เป็นคลื่นพลังวิเศษที่ยิ่งใหญ่มาก…!’
หลังจากเปล่งแสงจ้าพร้อมกับแผ่คลื่นพลังวิเศษอันท่วมท้นประหนึ่งส่งข้อความขึ้นไปยังฟากฟ้า ต้นอารามสวรรค์เริ่มมีท่าทีสงบลง
ท่ามกลางคลื่นพลังวิเศษอันเข้มข้น ฉันได้ยินเสียงข้อความระบบดัง
〈เลเวลของสกิล ‘สื่อสารกับจักรวาลเหนือรูป’ เพิ่มจาก 1 เป็น 2〉
ข้อความที่ไม่ได้ยินมานานแล้ว
‘…ตรงนี้คือจักรวาลเหนือรูป? หรือว่าพลังจักรวาลที่นักเรียนห้อง 3/0 ไล่ตามจะหมายถึง…’
ข้อความระบบยังไม่จบลง
〈สกิล ‘พลังโชคชะตา’ ทำงาน〉
วาบ!
สิ้นเสียงข้อความแจ้งเตือน หน้าต่างสกิลของฉันแสดงขึ้น
ก่อนหน้านี้พลังโชคชะตาเคยชี้นำให้ทำอะไรแปลกๆ มามากก็จริง แต่ก็ไม่เคยแสดงหน้าต่างสกิลมาก่อน
ฟาาา…
ในเวลาเดียวกัน กลุ่มแสงข้างๆ ต้นอารามสวรรค์ชี้มายังสกิลหนึ่งบนหน้าต่างสกิล
‘…เอายังไงดีล่ะ’
สกิลที่กลุ่มแสงชี้มาก็คือ ‘สื่อสารกับจักรวาลเหนือรูป’
ดูเหมือนพลังโชคชะตาจะอยากให้ฉันสื่อสารกับจักรวาลเหนือรูปตอนนี้เลย
‘ครั้งแรกที่สื่อสารกับเจ้านั่น เราสลบไปสามวันสามคืน’
ตอนนี้เลเวลค่าสถานะโดยรวมของฉันสูงขึ้นมากแล้ว อีกทั้งเลเวลของสกิลสื่อสารก็ยังเพิ่มขึ้น ดังนั้นน่าจะสลบไม่ถึงสามวัน
แต่การสลบบนภูเขาไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
จริงอยู่ ฉันสามารถเรียกให้ใครสักคนมารับด้วยการบอกว่า ‘เดี๋ยวฉันจะสลบนะ ช่วยมารับหน่อย’ แต่หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรให้ฟังขึ้น
ช่างเถอะ ถึงเราจะไม่ได้บอกใคร แต่คงมีใครสักคนแวะมาดูอยู่แล้ว
‘โดยเฉพาะนักเรียนห้อง 3/0… ในกรณีนี้เรายังพอรับได้’
ถ้าพวกเขาเห็นรุ่นน้องสลบอยู่ สิ่งแรกที่ทำคงเป็นการนำตัวไปส่งห้องพยาบาล
และเมื่อฉันได้สติ อย่างมากก็คงโดนตามก่อกวนอยู่พักหนึ่ง
ฉันตัดสินใจหนักแน่นพร้อมกับเรียกใช้งานสกิล
〈ท่านเรียกใช้สกิล ‘สื่อสารกับจักรวาลเหนือรูป’ 〉
อูงงง—
ราวกับสมองของฉันถูกโยนขึ้นไปในอากาศ
ภาวะคล้ายร่างกายพุ่งขึ้นอย่างฉับพลัน ทำเอาศีรษะของฉันวิงเวียนหนักหน่วงราวกับสมองแตกเป็นเสี่ยงๆ
…ครั้งแรกที่สื่อสารเจ้านั้น เราแก้ปัญหานี้ยังไง?
ใช่แล้ว
พั่ก!
ฉันซัดกำปั้นใส่แก้มตัวเอง
ประสาทสัมผัสเริ่มกลับคืนมาพร้อมกับอาการชาที่แก้มและมือ
“ถ้าจะให้ทำอะไรก็รีบบอกมาเร็วเข้า”
อูงงง—!
คลื่นพลังวิเศษในร่างกายฉันเริ่มสั่น ส่งผลให้สมองสั่นตามไปด้วย
เป็นความรู้สึกราวกับจักรวาลเหนือรูปกำลังแทรกซึมเข้ามาในตัว
คลื่นพลังวิเศษที่เคลื่อนไหวตามใจชอบ เริ่มหลั่งไหลไปรวมกันรอบดวงตา
…ยังกับที่ตอนใช้เปิดใช้งาน ‘เนตรส่อง’ !
“สกิลเนตรส่องมันทำไม?”
แม้จะหายใจได้ลำบาก แต่ในหัวฉันเต็มไปด้วยคำถาม
ตอนแรกเคยคิดว่าสกิลเนตรส่องแค่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นเล็กน้อย กับช่วยในการตรึงศัตรู แต่ดูเหมือนจะมีมากกว่านั้นโนiวลกูดอทคอม
เห็นทีต้องวิจัยการใช้งานให้มากขึ้น
“ไม่มีคำใบ้เพิ่มแล้วหรือ”
ฉันถามด้วยลมหายใจที่ใกล้ขาดห้วง
ทันใดนั้น ทัศนวิสัยซีกหนึ่งของฉันกลายเป็นสีฟ้าอมเขียว
ฝั่งท้องฟ้ากับโรงเรียนแสงเงินดูปกติ ฝั่งที่เป็นสีฟ้าอมเขียวคือแถบภูเขาปีกสวรรค์
“จะสื่อว่าฉันควรจับตาดูภูเขาปีกสวรรค์เอาไว้ใช่ไหม หมดหรือยัง?”
ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ข้อความจากจักรวาลเหนือรูปสิ้นสุดลงที่ตรงนี้
ฉันควรจะตัดการเชื่อมต่อทันที แต่พอดีว่ามีบางสิ่งอยากถามมานานแล้ว
〈คำเตือน: การสื่อสารกับจักรวาลเหนือรูปมากเกินไป อาจทำให้ร่างที่เหมาะสำหรับเปลี่ยนอนาคตมิติได้รับความเสียหาย〉
ฉันรีบถามโดยไม่สนใจคำเตือน
“รุ่นน้องของฉันจากโลกก่อนหน้า… ชอนซองฮอนน่ะ… เขายังสบายดีไหม”
จักรวาลเหนือรูปไม่ตอบ
ฉันเตรียมถามซ้ำ แต่ระบบส่งเสียงเตือนอีกครั้งก่อนจะได้ลงมือ
〈คำเตือน: ร่างที่เหมาะสำหรับเปลี่ยนอนาคตมิติถึงขีดจำกัดแล้ว〉
〈จำกัดการเข้าถึงร่างที่เหมาะสำหรับเปลี่ยนอนาคตมิติ〉
น่าจะถามให้เร็วกว่านี้หน่อย
ขณะฉันนึกเสียดาย ประสาทสัมผัสแปลกๆ ทั้งหมดในตัวพลันอันตรธานหาย พร้อมกับการมองเห็นที่กลายเป็นสีดำ
* * *
คฤหาสน์วังมยองโฮ
หลังจากไล่อ๊กโทยอนที่ยืนกรานว่าจะค้างคืนกลับไป
ลูกหลานเสือเงินแยกย้ายเข้านอนหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการต่อบล็อกรถไฟเหาะและชิงช้าสวรรค์
เผ่าเสือทั้งสามย้ายมาอยู่ในห้องนั่งเล่นพลางจิบน้ำชา
“สงบได้สักที”
“ถ้าซอโฮกับอีโฮไม่ห้ามไว้ ข้าคงตะเพิดนังกระต่ายจันทร์กลับไปนานแล้ว”
เสือเหลืองกล่าวขณะกินขนมต็อกกระต่ายจันทร์รสอบเชยและถั่วแดงน้ำผึ้งซึ่งเป็นสินค้าเฉพาะฤดูร้อน
แม้จะเกลียดอ๊กโทยอนเข้ากระดูก แต่เสือเหลืองมักกินขนมต็อกกระต่ายจันทร์ที่เธอนำมาให้จนเกลี้ยงเสมอ
“เจอท่านกี่ครั้งก็เห็นสวมเครื่องแบบนักเรียนตลอดเลย ไม่อึดอัดบ้างหรือ”
“ไม่เลย สบายจะตาย”
แม้เครื่องแบบโรงเรียนแสงเงินจะขึ้นชื่อว่าสวมใส่สบาย แต่ก็ไม่มีทางสบายขนาดนั้นแน่
เสือแดงกล่าวต่อไปโดยไม่โต้แย้งคำตอบเสือเหลือง
“ชีวิตในรั้วโรงเรียนดูน่าสนุกดีนะ”
“คอยจับตาดูเผ่าหมูเอาไว้ ถ้าตือหงอเหนงกลับมาเมื่อไรก็รีบถอนตัว”
“ตกลง”
ทันใดนั้น เสือขาวผู้กำลังอุ้มสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในอ้อมแขน พลางดื่มน้ำต้มขิงอบเชยอย่างไม่พูดไม่จา พลันลุกพรวดจากเก้าอี้
“เสือขาว… มีอะไร?”
ถัดจากเสือขาว เสือเหลืองเริ่มสัมผัสถึงความผิดปกติ
แม้จะเลือนราง แต่ก็รู้สึกถึงกระแสพลังประหลาดบนเขาปีกสวรรค์
บ๊อก! บ๊อกบ๊อก!
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในอ้อมแขนเสือขาวเริ่มเห่าไปทางเขาปีกสวรรค์
“พวกเราไปดูกันเถอะ เสือแดง เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่”
“ตกลง”
โดยไม่รีรอ เสือขาว เสือเหลือง และสัตว์ศักดิ์สิทธิ์รีบกระโจนไปทางเขาปีกสวรรค์ทันที
แม้พลังงานประหลาดจะหายไประหว่างทาง แต่เพื่อทำการตรวจสอบ ทั้งสามยังคงมุ่งหน้าไปยังจุดที่สัมผัสถึงความผิดปกติ
จนกระทั่งได้พบนักเรียนคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่หน้าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์—ต้นไม้อารามสวรรค์
* * *
เมื่อลืมตาขึ้นมา โลกของฉันก็มีแค่…
สิ่งมีชีวิตคล้ายก้อนสำลี กำลังนอนอยู่ระหว่างร่างกายฉันกับผ้าห่มสีขาว
เจ้าบ่วงนอนขดอยู่บนอกฉัน
แม้สมองจะยังเบลอๆ หลังจากเพิ่งได้สติ แต่ฉันมั่นใจมาก
“ที่นี่ต้องเป็นสวรรค์แน่นอน…!”
ขณะเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าบ่วงอย่างมีความสุข น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดของใครบางคนดังขึ้น
“…พอตื่นขึ้นมาก็โง่ลงทันทีเลยหรือ”
เป็นเสียงของวังจีโฮ
ขณะเริ่มสงสัยว่าทำไมหมอนี่ถึงอยู่บนสวรรค์กับเจ้าบ่วงได้ ฉันค่อยๆ ได้สติกลับมา
มองไปรอบตัว ที่นี่คงเป็นห้องผู้ป่วย ณ ตึกพยาบาลหมายเลขหนึ่งในเขตส่วนกลาง
มองไปยังนาฬิกาโฮโลแกรม ตอนนี้เป็นช่วงบ่ายวันศุกร์
ผ่านมาแล้วสิบห้าชั่วโมงหลังจากฉันใช้สกิลสื่อสาร
‘ป่านนี้คงจบคาบเรียนแล้วสินะ…’
คาบบ่ายวันนี้ดันตรงกับวิชา ‘แนะนำเอนามี’ ของครูกงชองวอนอีกแล้ว
กลายเป็นว่าฉันโดดเรียนโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ผลการตรวจระบุว่า นายประสบภาวะหมดสติชั่วคราว สันนิษฐานว่าเกิดจากการทำงานหนักเกินไป”
เสือเหลืองกล่าวพลางมองชาร์ตโฮโลแกรมด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ยังมีอีกหนึ่งข้อสันนิษฐาน”
“มันคือ?”
แทนการตอบ วังจีโฮชี้ไปด้านหลังฉัน
เมื่อหันไปมอง ฉันได้เจอกับแบคโฮกุน
อีกฝ่ายกำลังจับบางสิ่งสีขาวๆ ไว้ในมือ
‘คงเป็นตัวที่ฉันเห็นใกล้กับต้นอารามสวรรค์’
ถึงจะไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่ดูแล้วคงถูกลากตัวมาจากเขาปีกสวรรค์
“เจ้านี่คือ ‘วิญญาณภูเขา’ แห่งเขาปีกสวรรค์”
“วิญญาณภูเขา? หมายถึงเทพภูเขา?”
“ก็ใช่ แต่วิญญาณภูเขาน่ะ… ส่วนใหญ่ยังขาดบารมีที่จะเลื่อนไปเป็นเบื้องบนอย่างเทพภูเขา”
ในเทพนิยายสร้างชาติ ภูเขามักเป็นสถานที่สำหรับเสด็จเยือนของเทพสวรรค์ในวันฟ้าเปิด
หลายวัฒนธรรมบนคาบสมุทรเกาหลีก็กราบไหว้ภูเขา บางราชวงศ์ถึงกับยอมฟังคำสั่งจากวิญญาณภูเขา
…มีของแบบนั้นอยู่บนเขาปีกสวรรค์ด้วยสินะ
“ในเมื่อเทพสวรรค์ไปจากภูเขาปีกสวรรค์นานแล้ว เป็นธรรมดาที่บนเขาจะมีวิญญาณภูเขามาปักหลักแทน ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี… แต่เจ้ากล้าดียังไงมาทำร้ายผู้มีพระคุณของเรา”
คำพูดของวังจีโฮทำเอาสิ่งที่ขาวโพลนนั่นเริ่มสั่นไหว
…เราไม่ได้หมดสติเพราะวิญญาณภูเขาสักหน่อย
“นายพูดเรื่องอะไร ฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยถูกวิญญาณภูเขาทำร้าย”
“…นายคิดว่าตัวเองจดจำเหตุการณ์ทั้งหมดได้? วิญญาณภูเขาไม่ได้ดีไปเสียทุกตน จำเอาไว้ บางตนก็ชอบล่อลวงมนุษย์เพื่อช่วงชิงวิญญาณ เช่นเจ้านี่เป็นต้น”
ดูเหมือนวังจีโฮจะปักใจเชื่อไปแล้วว่าฉันถูกวิญญาณภูเขาล่อลวงกลางดึก