MasterGU.noted = ชื่อบทจากเว็บนอก -> Ghost Stories, Pictures, and Clues/เรื่องผี รูปภาพ และเบาะแส (1)
ภูเขาการีซานมีขนาดใหญ่จนกินพื้นที่ครอบคลุมสองเขต ได้แก่อำเภอฮงชอนและเมืองชุนชอนซึ่งอยู่ในจังหวัดกังวอน
อีกทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำโซยังกับแม่น้ำฮงชอน
ลึกเข้าไปในภูเขา กระท่อมหลังหนึ่งซุ่มซ่อนอยู่ในร่มเงาต้นไม้จนยากจะมองเห็น
ใครบางคนมาเยือนดินแดนอันทุรกันดารแห่งนี้
ครูประจำชั้นห้อง 1/0 ของโรงเรียนเรียนแสงเงิน—ศรสวรรค์ฮัมกึนยอง
เขาเดินตรงไปยังกระท่อมแล้วเคาะประตู โดยไม่ต้องเสียเวลางมหาเส้นทางอันซับซ้อนของภูเขา
“ท่านครับ ผมเอง”
ผ่านสักพัก ประตูเปิดออกพร้อมกับเสียงเสียดสี
ขณะกลิ่นของหมึกลอยโชยออกมา ใครบางคนปรากฏตัวด้านหลังกรอบประตู
ชายคนนี้เคยอยู่ที่กรุงโซลกับลูกศิษย์จนถึงไม่กี่ปีก่อน
ไม่ใช่ใครนอกจากจิตรกรชื่อดัง—ฮงคยุงบ๊ก ผู้ออกจากวงการศิลปะด้วยเหตุผลบางอย่าง
“ดูซิใครมา… กึนยองไม่ใช่หรือนั่น ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่ต้องถ่อมาหาในที่แบบนี้… เฮะเฮะเฮะ!”
“พอดีทำธุระแถวนี้นาน เลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมน่ะครับ”
“เกี่ยวกับลานสกีนั่นใช่ไหม… กึนยองของเราขยันจริงๆ แถมยังอุตส่าห์ถ่อมาถึงหุบเขาแบบนี้อีก”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่สีหน้าของฮงคยุงบ๊กเปี่ยมด้วยความยินดี
เขาสละที่นั่งที่แดดส่องมากที่สุดให้ฮัมกึนยอง แล้วต้อนรับด้วยชาเห็ดป่า
ฮงคยุงบ๊กถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของอีกฝ่ายจนกระทั่งดื่มชาเสร็จ จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“…กือรินสบายดีไหม”
“ครับ ช่วงนี้มาโรงเรียนทุกวันเลย”
“งั้นหรือ… ดีจริงๆ … ดีจริงๆ!”
ฮงคยุงบ๊กหัวเราะอย่างร่าเริง
“เธอกินข้าวครบทุกมื้อไหม มีเพื่อนเยอะไหม”
“ครับ เพื่อนในห้องดูแลเธอดีมาก”
“อา…”
ฮัมกึนยองใช้ดีไวซ์อวดรูปหมู่ที่หัวหน้าห้องคิมยูรีส่งมาให้
ในวันครู มินกือรินยืนถือรูปวาดดอกคาร์เนชั่นอยู่ตรงกลางกลุ่มเพื่อน
รวมถึงรูปที่เธอกินขนมกับเพื่อนๆ ในคาบโฮมรูม
มินกือรินใส่แว่นที่ไม่เคยใส่
เธอยิ้มอย่างเคอะเขินในทุกรูป
“สีหน้าดูดีขึ้นมากเลย… มีเพื่อนเยอะเชียว…”
จิตรกรฮงคยุงบ๊กรื้นไปด้วยน้ำตาขณะนั่งมองรูปถ่าย
ฉากดังกล่าวชวนให้ฮัมกึนยองนึกถึงบรรดาลูกศิษย์และรุ่นน้องของตน
‘เหมือนกับเจน มินกือรินเป็นทั้งเพลเยอร์และศิลปินมากพรสวรรค์ตั้งแต่เด็ก… แต่ต่างกับเจนตรงที่เธอต้องเผชิญเรื่องเลวร้าย’
ไม่เหมือนกับควอนเจอินที่เติบโตจากตระกูลใหญ่ มินกือรินมีพื้นเพจากครอบครัวธรรมดา
อย่างไรก็ดี ถึงจะไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เข้าถึงเพลงได้ง่ายเหมือนควอนเจอิน แต่มินกือรินคืออัจฉริยะที่พรสวรรค์เบ่งบานหลังจากได้เห็นจิตรกรวาดภาพแค่ครั้งเดียว
เรื่องราวดุจดังเทพนิยายนั่น ทำให้เธอตกเป็นเป้าความริษยา
การเติบโตจากครอบครัวธรรมดามีส่วนอย่างมาก
ลงเอยด้วย มินกือรินถูกตามกลั่นแกล้งเป็นเวลานาน
‘…ถ้าพวกเรารู้ตัวเร็วกว่านี้ก็คงดี’
กว่าคนที่เป็นห่วงเธออย่างซงมันซอกและฮงคยุงบ๊กจะได้ทราบข่าว เรื่องราวก็เลยเถิดไปไกลแล้ว
หัวใจของเธอป่วยไข้จนมิอาจเยียวยา
ทั้งสองปรมาจารย์ผู้คร่ำหวอดในวงการศิลปะและวงการเพลเยอร์มานาน รีบดำเนินการกับคนที่กลั่นแกล้งมินกือรินจนอีกฝ่ายได้นับโทษสถานหนัก แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้อาการทางจิตของเธอกลับเป็นปกติ
“ผมจะคอยดูแลมินกือรินอย่างสุดความสามารถ แต่ท่านเองก็ต้องดูแลสุขภาพเช่นกัน เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น มินกือรินคงทำใจลำบาก”
ฮงคยุงบ๊กระเบิดเสียงหัวเราะหลังจากได้ยิน
“เฮ้ย! บอกไปกี่ครั้งแล้วว่าฉันจะตายทีหลังนาย หรือถ้าทำไม่ได้ก็ต้องมีอายุ 150 ปีเป็นอย่างน้อย ฉันสัญญากับพี่ซองไว้แล้วเฟ้ย!”
ฮงคยุงบ๊กกระฉับกระเฉงขึ้นทันทีที่ชวนคุยเรื่องอายุ
เขากลับมาดูมีชีวิตชีวาอีกครั้งตามที่ฮัมกึนยองตั้งใจ
ฮงคยุงบ๊กพึมพำพลางมองไปยังรูปคู่ที่แขวนบนผนังกระท่อม
“แต่พี่ซองที่รับปากกันไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ ดันชิงจากไปก่อนทันทีที่ ‘สิ้นสุดยุคมืด’ เสียได้… เฮ้อ…”
เป็นรูปคู่ระหว่างฮงคยุงบ๊กในวัยเด็ก กับอดีตประธานสมาคมเพลเยอร์สาขาเกาหลี
* * *
หลังจากมังกรปรากฏตัวในห้องเรียน 1/0 ที่เคยเงียบสงบ
เด็กๆ มีปฏิกิริยาต่างกันไป
“สวัสดีครับ ครูประจำชั้นชั่วคราวยงเจกอน!”
“สวัสดีค่ะ”
ซาวอลเซอึมกับฮันอีที่เข้าอบรมคลาสหมากรุกสำหรับมือใหม่ของสเทลเมต
ทั้งสองทักทายครูประจำชั้นชั่วคราวอย่างร่าเริงประหนึ่งสนิทสนมกัน
“หือ คนที่เคยเจอที่สนามเบสบอลนี่… ไม่สิ ไม่ใช่คน แต่เป็นเผ่าแท้… เผ่ามังกร”
“จริงสิ ครูยงทำผลงานเป็นอันดับหนึ่งในเหตุร้ายที่สนามเบสบอลจัมชิลนี่นา…!”
“ครูคนที่แสดงพิธีเปิดการแข่งหมากรุกใช่ไหม เพิ่งเคยเห็นใกล้ๆ แบบนี้”
เม็งเฮียวทง คิมยูรี และควอนเลนาแสดงความสนใจพอเป็นพิธี
“ทำไมเผ่าแท้ถึงมาเป็นครูอย่างสง่าผ่าเผยได้ล่ะ ทำไมทุกคนถึงยอมรับได้? …ฉันอยากกลับบ้าน”
มินกือรินแสดงความระแวงต่อมังกร
…ถ้าเธอรู้ว่ายังมีอีกหนึ่งเผ่าแท้สวมรอยเป็นเพื่อนร่วมชั้น คงได้เผ่นหนีกลับบ้านเป็นแน่แท้
“เจ้าเด็กนี่เป็นครูชั่วคราวสินะ… ก็ดีเหมือนกัน ถ้ามีอะไรจะได้เรียกใช้ง่ายหน่อย”
ในทางกลับกัน วังจีโฮมองความวุ่นวายในครั้งนี้เป็นแง่บวก
ส่วนฉันเอาแต่ปิดปากเงียบ เพราะตัดสินใจไม่ได้ว่าควรตอบสนองอย่างไร
“ระหว่างที่ครูฮัมกึนยองไม่อยู่ ข้าจะคอยดูแลทุกคนแทน ถ้ามีอะไรก็ติดต่อมาได้ทุกเมื่อ”
ยงเจกอนปิดคาบโฮมรูมด้วยการฉายดีไวซ์โค้ดของตัวเองลงบนกระดานอิเล็กทรอนิกส์
“เอาล่ะ คาบโฮมรูมจบแล้ว เปลี่ยนเป็นชุดพละแล้วไปรวมกันที่โรงยิมหมายเลขห้า”
วิชาแรกของวันคือ ‘ฝึกซ้อมการต่อสู้สำหรับเพลเยอร์ 1’
วิชาปฏิบัติที่นำสอนโดยยงเจกอน?
ฉันมีลางสังหรณ์ไม่ดีเอาเสียเลย
โรงยิมหมายเลขห้าจะมีเครื่องซิมูเลเตอร์สำหรับเด็กปีหนึ่ง
เป็นสถานที่แห่งความทรงจำ ซึ่งฉันเคยจับทีมกับเพื่อนร่วมห้องเพื่อเคลียร์รอยแยกเป็นครั้งแรก
‘ลางสังหรณ์แม่นจริงๆ’
หัวข้อในวันนี้คือพื้นฐานการจู่โจมวงกต
เป็นการฝึกให้เผชิญหน้ากับประเภทของรอยแยกที่มีระดับความยากสูงสุด
รอยแยกแบบ ‘วงกต’ กับ ‘เมซ’ (Maze) นั้นจะแบ่งตามลูกเล่นของรอยแยก โดยบางครั้ง ‘ทางเข้า’ จะถูกแบ่งออกเป็นหลายทาง
เมื่อเผชิญหน้ากับรอยแยกหลายทางเข้า กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือการมารวมกลุ่มกันโดยเร็ว
สิ่งที่พวกเราต้องฝึกกันในคาบนี้ก็คือ ‘วิธีรวมกลุ่มเมื่อต้องเจอกับรอยแยกหลายทางเข้า’
“ข้าส่งโครงสร้างของรอยแยกเข้าไปในดีไวซ์ทุกคนแล้ว เราจะแบ่งเป็นสี่กลุ่ม กลุ่มละสองคน จับกลุ่มกันแล้วปรึกษาให้เสร็จในสามสิบนาที”
ขณะกล่าว ยงเจกอนฉายโฮโลแกรมสองหน้าจอ
หน้าจอแรกคือนาฬิกานับถอยหลัง
หน้าจอที่สองคือโฮโลแกรมการแบ่งกลุ่ม
ฉันปวดหัวทันทีที่ได้อ่านรายชื่อกลุ่ม
‘เป็นการจับกลุ่มที่แฝงไว้ด้วยเจตนาไม่ซื่อของยงเจกอน’
[กลุ่ม A: โชอึยชิน, วังจีโฮ]
“ฮะฮะฮะฮะ! น่าสนุกดีนี่!”
วังจีโฮเริ่มตื่นเต้น
ดูเหมือนจะคาดหวังกับลูกเล่นตุกติกของยงเจกอน
“วังจีโฮหัวเราะชั่วร้ายอีกแล้ว”
“โล่งอกไปที ทีมเราอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา!”
ฮันอีกับควอนเลนาอยู่ในกลุ่ม B
ทุกคนเริ่มระแวงหลังจากเห็นวังจีโฮขำอร่อย
“เฮียวทง หลีกเลี่ยงเส้นทางที่กลุ่ม A จะผ่านกันเถอะ!”
“…หือ เอาแบบนั้นก็ได้”
กลุ่ม C: ซาวอลเซอึม, เม็งเฮียวทง
เม็งเฮียวทงผงกศีรษะพลางมองไปทางวังจีโฮที่กำลังวอร์มร่างกายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“กือริน พวกเราเลี่ยงเส้นทางของทีมอึยชินกับจีโฮกันเถอะ”
“ฉ…ฉันไม่ค่อยรู้เรื่อง ฝากยูรีจัดการด้วยนะ”
สุดท้ายกลุ่ม D: คิมยูรี, มินกือริน
ขณะหลบอยู่หลังคิมยูรีเพื่อหนีจากสายตาของยงเจกอน มินกือรินพยักหน้า
“หืม… ดูจากโครงสร้างของวงกต อุปสรรคของกลุ่ม A ยากกว่ากลุ่มอื่นชัดเจน… แต่ถ้าไม่ยากระดับนี้ ฉันก็คงไม่อยากออกแรงเท่าไร”
วังจีโฮกล่าวขณะดูโครงสร้างและข้อมูลของวงกต
กลุ่ม A มีระดับความยากสูงกว่ากลุ่มอื่นตามที่วังจีโฮกล่าว
เอนามีบนเส้นทางมีระดับสูงกว่าถึงสองขั้น แถมถนนก็ยาวกว่าใครเพื่อน
สามสิบนาทีผ่านไปอย่างรวดเร็วระหว่างที่ฉันปรึกษากับวังจีโฮ
— 3… 2… 1…
ยงเจกอนปรบมือหลังจากการนับถอยหลังสิ้นสุด
“ถึงจะมีเขียนในหลักสูตรอยู่แล้ว แต่ข้าขอย้ำเตือนอีกสักครั้ง ห้ามใช้ไอเท็มสิ้นเปลืองเด็ดขาด และต้องใช้อุปกรณ์สวมใส่ที่โรงเรียนจัดหาให้เท่านั้น ขอแค่ไม่ละเมิดกฎสองของนี้ ที่เหลืออยากทำอะไรก็เชิญ”
ยงเจกอนกล่าวกับพวกเราที่เตรียมความพร้อมเสร็จ
ในตอนที่พูดว่า ‘ที่เหลืออยากทำอะไรก็เชิญ’ ดูเหมือนเขาจะชำเลืองมาทางฉันกับวังจีโฮ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเลย!”
อูงงงง— nᴏveʟɢu.ᴄᴏᴍ
เมื่อยงเจกอนเปิดเครื่องซิมูเลเตอร์ โลหะต่างโลกสีดำที่คลุมโรงยิมหมายเลขห้าอยู่เริ่มส่องแสงหลากสีสัน
ผ่านไปสักพัก โฮโลแกรมฉายขึ้นตรงหน้าพวกเรา
[ระบบจำลองการจู่โจมรอยแยกเริ่มขึ้นแล้ว ท่านพร้อมหรือยัง (Y/N) ]
ฉันกดปุ่ม Y พลางทำใจยอมรับการกลั่นแกล้งจากยงเจกอน ด้วยการจับคู่กับวังจีโฮผู้กำลังร่าเริง
ถ้าจะให้เล่าโดยสรุป การฝึกจู่โจมรอยแยกวงกตของทีมฉัน จบลงอย่างรวดเร็วด้วยการอาละวาดของวังจีโฮ
“ฮะฮะฮะฮะ!”
“นี่… จะไม่เป็นอะไรรึไงถ้ามันถูกบันทึกไว้ในสถิติโรงเรียน”
“ฉันยังไม่ได้เอาจริงขนาดนั้น หรือถ้าจำเป็นก็แก้ไขสถิติได้ทุกเมื่อ”
วังจีโฮอวดศักยภาพด้วยการทำลายกับดักเกรด SR และแก๊สอัมพาตระดับ SR+++ ได้ด้วยไอเท็มเกรด R ‘กระบองเหล็กของมือกระบองฝึกหัด’
เอนามีและกับดักอันแยบยลของยงเจกอนปลิวหายไปอย่างรวดเร็ว
‘ไม่อยากเชื่อว่าจะสลายแก๊สได้ด้วยวิชากระบอง… ทำได้ยังไงเนี่ย’
นั่นคือความคิดของฉันขณะถืออาวุธเวทมนตร์ธาตุไฟเกรด R ‘ไม้เท้าจอมเวทเพลิงฝึกหัด’ ที่ไม่มีวี่แววจะได้ใช้
“ดูเหมือนนายจะเซียนวิชากระบองมากกว่ามวยพยัคฆ์อีกนะ”
“ฉันเรียนมวยพยัคฆ์แค่ผิวเผินเพราะถูก ‘เจ้านั่น’ ท้าทายว่า ‘อย่างเจ้าไม่มีทางเอาชนะข้าด้วยมวยพยัคฆ์ไปตลอดชีวิต’ … ฉันเป็นพวกไม่ชำนาญการโจมตีทางกายภาพอยู่แล้ว แต่ถ้าให้เลือกก็ถนัดวิชากระบองที่สุด”
เจ้านั่น?
‘คงหมายถึงเสือคราม’
ผู้คิดค้นมวยพยัคฆ์—เสือคราม
ดูเหมือนเสือครามจะยั่วยุให้วังจีโฮเรียนมวยพยัคฆ์
แต่คนที่ไม่ชำนาญการโจมตีทางกายภาพใช้กระบองได้เก่งขนาดนี้เชียว
ฉันอยากจะพูดขัดคอ แต่มีบางสิ่งที่กวนใจกว่านั้น
“แล้ว… นายเอาชนะเขาได้ไหม”
“ไม่”
วังจีโฮตอบคำถามฉันด้วยใบหน้าค่อนข้างประหลาด
เขาดูเสียศักดิ์ศรี แต่อีกใจหนึ่งก็หวนคะนึงถึงสหายเก่า
“…ทุกวันนี้ฉันก็หมั่นฝึกอยู่เรื่อยๆ เผื่อว่าสักวันจะได้แก้มือเจ้านั่น”
กลุ่ม A มาถึงจุดนัดพบภายในห้านาทีด้วยการอาละวาดของวังจีโฮ
ผ่านไปไม่นาน กลุ่มอื่นทยอยมาถึง
“อะไรเนี่ย พวกเราได้ที่สอง… เส้นทางของกลุ่มพวกนายมันยากมากเลยไม่ใช่รึไง”
“เก่งชะมัด! คราวหน้าฉันไม่ยอมแพ้แน่!”
อันดับสองคือกลุ่ม C เม็งเฮียวทงและซาวอลเซอึม
“…ฮันอี ฉันขอโทษที่เป็นตัวถ่วง”
“ผิดแล้ว ถ้าไม่มีเธอคอยสนับสนุน ป่านนี้ฉันคงยังติดอยู่ในวงกต”
อันดับสามคือกลุ่ม B ฮันอีและควอนเลนา
“ขอโทษ… เป็นเพราะฉันเผลอวิ่งหนีตอนที่ได้เห็นเอนามีตัวแรก… พาเธอได้ที่โหล่ไปด้วยเลย”
“ฮะฮะ แต่หลังจากนั้นกือรินก็จัดการเอนามีได้มากกว่าฉันซะอีก เธอได้คะแนนผลงานดีกว่าฉันนะ! สงสัยต้องกลับไปฝึกให้หนักกว่านี้”
อันดับบ๊วยคือกลุ่ม D มินกือรินและคิมยูรี
กรอบโฮโลแกรมฉายขึ้นตรงหน้าพวกเราทันทีที่สองคนสุดท้ายมาถึงจุดนัดพบ
[การจำลองเสร็จสิ้น! ระยะเวลาที่ใช้เคลียร์คือ 16 นาที 52 วินาที]
“ถ้าเคลียร์แล้วจะขึ้นหน้าจอแบบนี้สินะ…!”
“โฮ่ สถิติไม่เลว”
“ทุกคนทำได้ดีมาก!”
ไม่นานทิวทัศน์รอบตัวพวกเราก็เปลี่ยนไป เผยให้เห็นยงเจกอนที่ดูอารมณ์ดี
“ทุกคนเก่งมาก ข้าจะประเมินผลลัพธ์ให้คร่าวๆ ก็แล้วกัน”
แม้จะไม่ได้คะแนนในเกณฑ์ยอดเยี่ยมเหมือนคาบแรก แต่ก็ยังถือว่ายังกลางๆ ตามมาตรฐานของโรงเรียนแสงเงิน
ถึงทีม A ของฉันกับวังจีโฮจะได้คะแนนระดับท็อปก็เถอะ
ใจจริงก็ไม่อยากนับสักเท่าไร เพราะตัวละครสุดโกงอย่างวังจีโฮดันเอาจริงเกินไป
คาบเรียนเพื่อสนองความบันเทิงของเผ่ามังกรจบลงไปทั้งอย่างนั้น
* * *
หลังเลิกเรียน
เมื่อกลับมาถึงหอพักแล้วไล่อ่านข้อความ ฉันเห็นข้อความจากยงเจกอนอยู่ด้านบนสุด
[ยงเจกอน] ข้าอยากเห็นว่าเจ้าซ่อนฝีมือไว้มากแค่ไหนต่อหน้าเพื่อนร่วมห้อง จึงเล่นตุกติกกับการฝึกนิดหน่อย
[ยงเจกอน] และข้าก็อยากรู้ว่าท่านประธานเสือเหลืองจะเอาจริงแค่ไหน ในยามที่ไม่มีนักเรียนอื่นอยู่ด้วยนอกจากคนที่รู้จักตัวจริง
ทำไปเพื่อหาคำตอบเรื่องพวกนั้น?
ฉันอ่านแล้วก็เกิดคำถามทันที
[ฉัน] รู้ได้ยังไงว่าวังจีโฮเผยตัวจริงกับผมแล้ว
[ยงเจกอน] อย่างที่คิด ประธานเสือเหลืองเผยตัวจริงกับเจ้าสินะ
…เชี่ย
ฉันรู้ดีว่ายงเจกอนชอบใช้เทคนิคการสนทนาแบบนี้เพื่อรีดข้อมูลจากอีกฝ่าย แต่พอโดนเข้าเองกลับรู้สึกหน้าชาอย่างบอกไม่ถูก
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาคงเดาทั้งหมดได้อยู่ก่อนแล้ว
[ยงเจกอน] แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่ได้เปิดเผยแสงประทานกับท่านประธานเสือเหลืองสินะ ^^
อีโมติคอน ‘^^’ ชวนให้จินตนาการถึงใบหน้าอันซาบซ่านของมังกรวิปริตทันที
ฉันรีบปิดหน้าต่างข้อความ เพราะคงไม่เป็นผลดีกับตัวเองแน่ หากยังสนทนากับยงเจกอนต่อไป
ข้อความถัดไปมาจากซองซีวาน
[ซองซีวาน] พี่กุกอุนมอบหมายให้พวกเราสืบตำนานสยองขวัญสองเรื่องใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นฉันขอสืบเกี่ยวกับสมาคมลับนะ
[ซองซีวาน] ในสมาคมปีกธรณีมีรุ่นน้องที่ชอบเรื่องสยองขวัญอยู่ และทางนั้นสนใจเรื่องที่สภานักเรียนแอบจับมือกับกรรมการรักษาระเบียบเพื่อก่อตั้งสมาคมลับเป็นพิเศษ ㅎㅎ
ข้อความของซองซีวานยังไม่จบ
[ซองซีวาน] พักหลังมานี้ ปีสามกับปีสองห้องศูนย์แอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ บนเขาปีกสวรรค์ แต่เนื่องจากบางครั้งคลื่นวิทยุก็หายไปจากภูเขา ทีมตรวจสอบของสมาคมปีกธรณีจึงสื่อสารกันไม่ได้และต้องรีบกลับ
[ซองซีวาน] ฝากจัดการเรื่อง ‘ประตูปรภพบนเขาปีกสวรรค์’ ด้วยนะ!
พวกรุ่นพี่ห้องศูนย์แอบวางแผนอะไรกันอีกแล้ว
ไม่สิ ไม่ใช่แอบวางแผน แต่ลงมือทำไปแล้ว
สมาคมที่บริหารโดยนักเรียนต้องยึดถือความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง พวกเขาจึงเคลื่อนไหวมากไม่ได้
[ฉัน] ได้ครับ ผมก็อยากสืบเรื่องเขาปีกสวรรค์เหมือนกัน
ส่งคำตอบเสร็จ ฉันเปิดหน้าต่างไอเท็ม
‘เพราะมีไอเท็มที่เหมาะกับภารกิจอยู่’
— เลนส์ส่องประตูผี —
หนึ่งในไอเท็มที่ปล้นมาจากงานประมูลมายา
‘ถึงตอนนี้จะมีพระจันทร์ แต่ก็ต้องทดลองแบบไม่มีพระจันทร์เพื่อเปรียบเทียบ’
ฉันมุ่งหน้าไปยังภูเขาปีกสวรรค์ทันที
กลางดึกสงัด
ทางเดินขึ้นเขาปีกสวรรค์ค่อนข้างเปลี่ยว
แต่บนเส้นทางที่ไม่ควรมีใครสัญจรในเวลาแบบนี้
ฉันเห็นใครบางคน
‘นั่นมัน…’
ตอนแรกไม่มั่นใจเพราะอีกฝ่ายดูต่างจากที่เคยเห็น แต่ฉันจำได้ด้วยลางสังหรณ์
เพราะเขาเคยสร้างความประทับใจให้ฉันอย่างมาก
‘หัวหน้าห้อง 3/0!’
หลังจบวันครู หัวหน้าห้อง 3/0 ที่แต่งกายในชุดมอมแมม ประกาศความพ่ายแพ้ต่อหน้าหอนาฬิกาประตูหลัก
ชายคนนั้นกำลังอยู่บนเขาปีกสวรรค์
—
MasterGU.edited = ทุกคนได้->ทุกคนทำได้