“ต้มยังไงล่ะเรา”
“หนูนึกถึงขั้นตอนของเถ้าแก่ไปด้วยเวลาต้มทุกครั้ง ไปๆ มาๆ บางครั้งก็โชคดีได้ออกมาแบบนี้ค่ะ”
นับเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับกยองฮา เขามีคนเข้ามาแทนที่ได้แล้วไม่ใช่หรือ
ส่วนมยองฮุนนั้นกำลังหัวอกหมกไหม้
‘ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป มีสิทธิ์แพ้ราบคาบแน่’
ในหัวเขามีแต่คำว่า ต้องพยายามให้หนักหน่วงกว่านี้ วนไปเวียนมาไม่รู้จบ
***
ไม่กี่วันถัดมา รถยนต์อภินันทนาการจากท่านประธานยูยุนเทก็มาถึง
คันนี้เป็นรถประเภท SUV หรือรถอเนกประสงค์ หรือจะเรียกออฟโร้ดก็แล้วแต่ หรูหราด้วยโลโก้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ จีคลาส เปิดตัวในราคาสูงกว่าสองร้อยล้านวอน แพง แต่อรรถประโยชน์มากมายไม่เบา เบาะนั่งและพื้นที่ด้านหลังกว้างขวางเหลือเฟือ เพียงพอให้กยองฮาขนบรรดาถังซอสได้หลายถังในคราวเดียว
“จากนี้ไป รถคันนั้นอยู่ในความรับผิดชอบเราแล้วนะซุนกุก เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องชื่อเจ้าของรถให้”
“ครับ…” ซุนกุกรู้เรื่องมาก่อน
ทว่า เอาเข้าจริง เมื่อเห็นว่ารถเปลี่ยนเจ้าของมาเป็นตนแน่แล้วก็ประทับใจเสียจนจุกอก นี่เขามีรถคันแรกในชีวิตแล้วนะ แถมสภาพยังดีอยู่เลยด้วย เพราะกยองฮาใช้รถอย่างถนอมเรื่อยมา
“ได้เป็นเจ้าของรถทั้งคันแบบนี้ ตื่นเต้นจังครับ”
“ตอนแรกพี่ก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน” กยองฮาหัวเราะอารมณ์ดี
เมื่อกยองฮาเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ แดเนียลกับเดอชอว์นคล้ายรอจังหวะอยู่นานแล้ว รีบเดินเข้ามาหาซุนกุก
“นี่ซุนกุก ไว้ขับพาพวกเราไปเที่ยวรอบโซลหน่อยนะ”
ซุนกุกทำท่าวางโต ยักไหล่แบบหล่อๆ
“ได้ ถ้าว่างนะ ว่าแต่จนถึงตอนนี้ยังเที่ยวโซลกันไม่ทั่วอีกเหรอ”
“อื้อ เที่ยวได้นิดเดียวเอง” แดเนียลเป็นตัวแทนให้คำตอบ
“อยากไปไหนบ้างล่ะ”
“โคเอ็กซ์ นัมเดมุน ตึกยุกซัม (63) บิลดิ้ง”
“หอนัมซัน กับหมู่บ้านโบราณ มินซกชน”
ครั้งนี้สองคนสลับกันตอบ ซุนกุกเอียงคอ
“ในโซลไม่น่ามีหมู่บ้านโบราณนะ เท่าที่รู้มา น่าจะต้องขึ้นไปทางกยองกีโดมากกว่า”
“จริงเหรอ ไกลมากไหม”
“ไม่ไกลขนาดนั้นหรอกมั้ง ไว้ได้วันหยุดแล้วไปกัน”
ระยะทางแค่นี้ เช้าไปเย็นกลับก็ยังทัน สองหน่อแดเนียล เดอชอว์นหัวใจพองโตด้วยความคาดหวัง ซุนกุกแอบยิ้ม
‘เจ้าพวกนี้มัวแต่เกรงใจล่ะสิท่า ไม่กล้าพูดเอาจนป่านนี้’
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะหากลองเอาตัวเองคิดแทนทั้งสองคนดูก็จะรู้ว่าทั้งคู่วางกยองฮาไว้ในตำแหน่งอาจารย์ เดิมทีก็เคารพนับถือพี่กยองฮามาตลอดนี่นา จะงอแงให้อาจารย์พาเที่ยวรอบโซลก็กระไรอยู่
ซุนกุกไม่รีบร้อนแต่อย่างใด พวกเขายังมีเวลาให้เที่ยวด้วยกันอีกมาก
***
ดึกสงัดคืนหนึ่ง
ใครบางคนกำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง หัวเราะอย่างประสงค์ร้ายอยู่กลางสุมทุมพุ่มไม้ในสวนสาธารณะ
“แฮ่กๆ~ มาโว้ย สกู๊ปพิเศษต้องมาโว้ย”
ในมือเขามีกล้องถ่ายรูป ตั้งท่าพร้อมยิงไปที่เหยื่อซึ่งเป็นคู่ชายหนุ่มหญิงสาวบนม้านั่ง
“สุดยอดเชฟกับสุดยอดไอดอล หึ…”
เป้าหมายคือกยองฮากับจีฮยอนนั่นเอง ขอเพียงลงข่าวได้ ยอดคนอ่านต้องพุ่งทะยานทะลุเพดานแน่นอนไม่ต้องสืบ ขณะยกกล้องขึ้นส่องด้วยความตื่นเต้นยากระงับ ฉับพลันก็มีมือยื่นสวบตรงมายังเขา ทิศที่หันกลับไปมอง มีร่างบึกบึนแข็งแกร่งของชายสองคนยืนอยู่ กำลังจ้องเขาเขม็ง
“มะ…มีเรื่องอะไรครับ”
“ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพครับ”
“พวกคุณเป็นใคร มีสิทธิ์อะไร”
“ไม่จำเป็นต้องรู้…”
ชายที่ตั้งใจแอบเก็บภาพใต้เตียงดาราถูกลากออกมาด้านนอกด้วยแรงมหาศาล เขาร้องประท้วง
“อะไรเนี่ย ทำแบบนี้ก็ได้เหรอ”
“มาทางไหนกรุณาไปทางนั้น เงียบๆ ด้วยครับ”
“เฮอะ ฉันเป็นนักข่าวนะโว้ย ทำแบบนี่อย่าคิดว่าจะอยู่รอดปลอด…”
เขาขู่ไม่จบประโยค ด้วยคำท้ายๆ เสียงชักเพิ่มระดับความดัง จึงถูกมืออุดปากไปเสียก่อน
จังหวะที่เรื่องวุ่นวายทางฝั่งพุ่มไม้เริ่มคลี่คลาย จีฮยอนทางฝั่งม้านั่งก็ถามกึ่งตระหนก
“พี่คะ เมื่อกี้ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ไหม”
กยองฮาได้แต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แหม่ คนกำลังพยายามสร้างบรรยากาศอยู่แท้ๆ
“มะ…เหมือนจะได้ยินนะ…”
หากบรรยากาศที่ปูไว้เสียหายสักหนหนึ่งแล้ว จะให้สร้างใหม่ง่ายๆ นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ แขนขวาของกยองฮาบนพนักม้านั่งที่กำลังเนียนไล่เขยิบเข้าหาไหล่จีฮยอนทีละคืบเล็กๆ กลายเป็นไร้ค่าทันที
“อ้อ พี่คะ” จีฮยอนมองกยองฮาตาใส
“หือ?”
“พวกหนูกำลังจะออกซิงเกิ้ลใหม่ล่ะ แอบโชว์ท่าเต้นให้ดูก่อนเอาไหมคะ”
กยองฮาอดถามกลับไม่ได้จริงๆ
“ตรงนี้น่ะเหรอ”
“ตรงนี้แหละค่ะ ไม่เห็นเป็นไร”
จีฮยอนวางตุ๊กตาสิงโตไร้แผงคอที่กยองฮาให้ลงบนม้านั่ง ลุกขึ้นมายืนตรงหน้ากยองฮาอย่างเป็นการเป็นงาน จากนั้นเริ่มฮัมเพลงประกอบท่าเต้น อา มีชีวิตชีวาเหลือเกิน ท่วงท่าเก๋ไก๋มีสไตล์ เสียงฮัมเพลงแสนหวาน ผสานกันจนพรากวิญญาณกยองฮาออกจากร่างไปได้แล้วครึ่งหนึ่ง ยิ่งเธอสวมชุดมีระบายบางเบาเช่นนี้ กยองฮายิ่งตาลาย คล้ายเห็นนางฟ้าลงมาล่อลวงมนุษย์โลกอย่างไรอย่างนั้น ผมยาวราวแพรไหมสยายพลิ้ว ฟุ้งกลิ่นหอมกระจายจนสติเบลอ ไม่รู้อะไรเป็นอะไรอีกต่อไป
เพลงและท่าเต้นจบแล้ว กยองฮาเหมือนไอ้มึน นั่งเหม่ออ้าปากค้าง
“ทำไมมีท่อนแรกท่อนเดียวล่ะ” เขาถามขุ่นๆ
“จบไปสองท่อนแล้วนะคะ”
“อะ…อ้าวเหรอ”
“เป็นไงคะ”
“ดูเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลย”
ผลการวิจารณ์ทำให้จีฮยอนเป็นปลื้ม ประหนึ่งได้ของขวัญล้ำค่า
“เหมือนข้าวผัดกิมจิที่พี่ทำให้หนูสินะคะ”
“วนไปทางนั้นได้ไงเนี่ย”
จีฮยอนกลับมานั่งข้างกยองฮา ทำเสียงกระเง้ากระงอด
“อยู่กับพี่ทีไร เวลาผ่านไปเร็วมากๆ ทุกที แป๊บเดียวก็สองชั่วโมงแล้ว”
กยองฮาเองก็เซ็ง
“สงสัยมีคนแอบเร่งระบบเวลาแน่เลย”
จีฮยอนทำท่างอนปากยื่นได้อย่างน่ารัก
“เฮ้อออ~” เธอถอนหายใจ
ภาพนั้นทำเอากยองฮาใจบางเสียจนอยากจับเธอมากัดสักทีให้หายหมั่นเขี้ยว
‘นับวันก็ยิ่งน่ารัก โดนตกไปเต็มๆ แล้วมั้งเรา’
ทั้งสวยทั้งน่ารัก บางครั้งก็ถึงกับกลัวที่จะเข้าหา
“นั่นไง มาโน่นแล้ว” จีฮยอนบ่นอุบอีกรอบ มองไปทางใครบางคนซึ่งตรงเข้ามาพร้อมทำสัญญาณมือเรียก
ผู้จัดการที่แสนจะรักษาเวลาได้ตรงเผงนั่นเอง
แต่จะไม่เอาใจเขามาใส่ใจเราสักนิดเลยคงไม่ได้ เพราะระหว่างที่สองคนกระหนุงกระหนิงกันหวานชื่น ผู้จัดการคือคนที่ต้องรอเฉยๆ อยู่ในรถ
‘เฮ้อ จะมีวันได้เจอกันแบบไม่ต้องขอเวลานอกไหมเนี่ย’
กยองฮาเห็นผู้จัดการเป็นมาร กขค. ไปแล้ว
***
กลางดึก เวลาล่วงเลยมาพอสมควร แต่ไฟห้องทำงานในทำเนียบประธานาธิบดียังคงสว่างไสว
ระยะนี้น้อยมากที่จะมีโอกาสได้เข้านอนตรงเวลาตามกิจวัตร ไหนจะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ที่ทั้งสงบทั้งตึง ไหนจะความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่ชักคลุมเครือขึ้นทุกที รายงานสถานการณ์มีแทบทุกระยะ ทุกอย่างมัดรวมกันเป็นเหตุให้มุนอินโฮงานเข้าตลอดเวลา
“สำนักข่าวไหนนะครับ” เขาถาม สีหน้าสุขุม
“ตรวจสอบแล้ว มาจากนิวส์แพทช์ครับท่าน”
คราวนี้เป็นรายงานสถานการณ์รอบตัวกยองฮา จากสายลับที่ลอบเข้าไปสืบข่าวยังฮันอุลสาขารอง เนื่องจากไม่มีใครการันตีได้ว่าจะไม่เกิดเหตุลักพาตัวขึ้น และเพราะคำนึงถึงความเป็นส่วนตัว รวมถึงเคารพความรู้สึกของเป้าหมาย การดำเนินการทุกขั้นตอนจึงเป็นไปอย่างลับๆ
สำหรับมุนอินโฮ เขาไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องใดๆ ขึ้นกับเชฟคนสำคัญระดับชาติได้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องป้องกันทุกวิถีทาง บอดี้การ์ดจึงเริ่มทำงานแล้วตั้งแต่ทริปอเมริกาของกยองฮาเมื่อไม่นานมานี้ เพียงแค่เจ้าตัวอาจไม่ทันสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวเท่านั้นเอง
“จากนี้ไปก็ทำเหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้แหละ ควบคุมการแทรกแซงของพวกนักข่าวไว้หน่อยก็จะดีมาก”
“ครับ เป็นเหตุผลด้านความปลอดภัยด้วยส่วนหนึ่ง แล้วพวกเขาก็คงอยากให้เป็นอย่างนั้นครับท่าน”
แววตามุนอินโฮหมองลง nᴏᴠᴇʟɢu.cᴏm
‘จะว่าไป ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะนี่ นึกถึงเขาปุ๊บท้องก็หิวขึ้นมาปั๊บ ไม่เลือกเวลาเล้ย’
***
วันต่อมา
ภายในรถที่จอดอยู่ ณ ลานจอดบริเวณใกล้เคียงร้านฮันอุลสาขารอง คิมมินจู นักเขียนตัวหลักกำลังกล่าวทักท้วง
“โปรดิวเซอร์ไม่จำเป็นต้องไปด้วยตัวเองก็ได้นี่คะ แค่เรื่องประสานงาน ให้ฉันรับหน้าที่…”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้เขาระดับไหนแล้วล่ะ หืม ต่อให้ฉันไม่ไปเอง ให้บอสไปแทน ยังไม่รู้จะคุยได้รึเปล่าเลย”
ผู้พูดคือโปรดิวเซอร์ นา ยองชิก เขาเริ่มเส้นทางอาชีพนี้จากช่องแพร่ภาพกระจายเสียงสาธารณะ จนข้ามมาโลดแล่นฝั่งเคเบิ้ลทีวีแล้ว ชื่อเสียงเขาก็ยังคงโด่งดังไม่คลายจากผลงานต่างๆ ไม่ว่าจะรายการสามวันสองคืน รักใสใสหัวใจคุณยาย ภัตตาคารยู หรือสุภาพบุรุษสุดมัธยัสถ์ เรียกว่า ออกอากาศครั้งใดเป็นฮิตฮอต เรตติ้งสูงทุกครั้งก็คงไม่เกินไป
และครั้งนี้ เป้าหมายที่เขาต้องการก็คือ กยองฮา
นายองชิกหมายมั่นปั้นมือกับการเข้าไปประสานงานมากยิ่งกว่าครั้งใด ความคิดอยากกัดไม่ปล่อยก็ดูจะหนักกว่าทุกครั้ง
‘ไม่ว่ายังไง ต้องได้ตัวมาเท่านั้น’
เหตุผลลึกๆ ไม่ใช่แค่หวังจะดึงเรตติ้งเพียงอย่างเดียว เขาปรารถนาจากใจอยากให้วาไรตี้นี้ได้ชื่อว่า บันเทิงอย่างมีคุณค่า
ครั้นนาฬิกาที่หมั่นยกขึ้นดูอย่างกระวนกระวายขานบอกเวลาบ่ายสามโมงยี่สิบนาที นายองชิกก็เปิดประตูรถโดยไม่รีรอ
“เดี๋ยวมา อยู่ในรถดีๆ ล่ะ”
“อ้าว ไม่ได้จะให้ฉันไปด้วยเหรอคะ มีคุณยองโฮประจำที่คนขับอยู่แล้ว ไม่น่ามีปัญหานี่คะ”
“นักเขียนคิมอยากไปด้วย?”
“ก็ต้องไปพร้อมกันสิคะ ฉันช่วยพูดได้อีกเสียง สองหัวดีกว่าหัวเดียวนะคะ”
นายองชิกไม่ท้วงอะไรอีก
“โอเค ก็ได้”
นายองชิกและคิมมินจูเดินมาด้วยกันถึงร้านฮันอุลสาขารอง
มองทะลุกระจกร้านบานใหญ่ ก็เห็นเหล่าพนักงานรับประทานอาหารกันใกล้เสร็จพอดีตามที่คาด นายองชิกจัดการเปิดประตูเข้าไป พร้อมส่งเสียงทักทายนุ่มๆ
“สวัสดีครับ”
ทักทายเรียบร้อยก็ต้องกลืนน้ำลายเอื๊อก ด้วยเห็นแต่ละคนตักข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนคิมมินจูซึ่งได้สูดกลิ่นหอมที่พุ่งเข้าปะทะใบหน้าเต็มๆ นั้นเริ่มสูญเสียการควบคุมทีละนิด อีกนิดเดียวก็จะ ‘หลุด’ แล้ว นายองชิกเห็นเข้า รีบเรียกเบาๆ ดึงสติเธอไว้
“นักเขียนคิม ตั้งสติหน่อย เราไม่ได้มากินข้าวนะ”
“…ค่ะ แต่ว่าทำยังไงกลิ่นถึงได้หอมน่ากินขนาดนี้ก็ไม่รู้นะคะ” แค่มองเฉยๆ ก็รู้สึกเหมือนกระเพาะขยายตัว
แม่ของด็อกโฮเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นนายองชิก
“อุ๊ยตาย นั่น… คนดังนี่คะ”
นายองชิกลูบท้ายทอยเขินๆ
“ฮะฮ่า ขอบคุณครับที่จำกันได้” เขากำลังคิดหาวิธีคลายบรรยากาศแหม่งๆ นี้อยู่ทีเดียว
กยองฮาเพิ่งได้ฤกษ์เอ่ยปากถาม
“มาทานข้าวหรือเปล่าครับ”
“เปล่าครับ ทานไม่ได้แน่เพราะผมไม่ได้จองไว้ พอดีมีเรื่องอยากปรึกษาพูดคุยกับเชฟโกกยองฮาน่ะครับ”
ประจวบเหมาะกับที่ทุกคนกำลังอิ่มและเริ่มเก็บโต๊ะ กยองฮาลุกขึ้น เดินเข้าไปหา
“นั่งก่อนสิครับ”
“นั่งได้ใช่ไหมครับ”
นายองชิกรู้สึกดีกับการต้อนรับขับสู้ รวงข้าวยามสุกงอมย่อมโน้มลงหาผืนดิน ชีวิตคนเราก็มีด้านหนึ่งที่เป็นเช่นนั้น พวกที่คิดว่าตนประสบความสำเร็จแล้วเอาแต่ชูคอสูงไม่เห็นหัวใครนั้นมีดาษดื่น ซึ่งก็ถูกสังคมชี้นิ้วประณามมานักต่อนัก
ซุนกุกกินข้าวเสร็จ เพิ่งวิ่งตามมาทีหลัง ออกปากถามสามคนที่นั่งประจันหน้ากัน
“จะรับกาแฟสักหน่อยไหมครับ”
“ผมดื่มกาแฟมากเกินไปแล้ว…” นายองชิกตอบ
คิมมินจูยกมือ กางห้านิ้วออกเพื่อประกอบคำบอกเล่า
“วันนี้วันเดียวก็ปาไปห้าแก้วแล้วค่ะ”
นายองชิกชักทำตัวเป็นกันเองกว่าเดิม
“นอกจากการแฟ ไม่มีอย่างอื่นเหรอครับ”
“ถ้าอย่างนั้นรับชาโซโลมอนแทนไหมครับ”
สองคนพยักหน้าพร้อมกันเหมือนตกลงทางโทรจิตแล้ว
“ดีครับ”
“รอสักครู่ครับผม”
ว่าแล้วซุนกุกก็ตั้งท่าจะออกไปนอกร้าน ทว่า ซองช่อลที่จัดการอะไรต่างๆ เรียบร้อย เดินมาขันอาสา
“ผมไปเอง พักอยู่ข้างล่างเถอะครับ”
นายองชิกกับคิมมินจูอึ้งทึ่งอย่างหนัก
‘แต่ละคนทำไมขยับตัวกันไวปรูดปราดขนาดนั้น’
ถ้วยจานชามต่างๆ ถูกเก็บ โต๊ะถูกกวาดเช็ด ทุกอย่างสะอาดเรี่ยมในพริบตา
ซองช่อลออกไปนอกประตูร้าน ขึ้นไปยังห้องรับรอง ซึ่งเมื่อก่อนเอาไว้สำหรับให้แขกที่มาต่อคิวนั่งรอ แต่ปัจจุบันปรับมาเป็นห้องรับรองลูกค้าระบบจองที่มาก่อนเวลา ซองช่อลรินชาโซโลมอนฝีมือกยองฮาลงในแก้วกระดาษ เอามาเสิร์ฟให้สองคน
“ขอบคุณครับ / ค่ะ”
ทันทีที่ชาโซโลมอนเข้าปาก แขกทั้งสองก็อุทานดังๆ ในใจ
‘ไอ้นี่เป็นชาที่อร่อยขนาดนี้เลยเหรอออ’
ไม่แปลกที่จะตกใจ ชาโซโลมอนเลื่อนระดับจากเมื่อก่อนขึ้นมาเป็นเลเวล 4 แล้วนั่นเอง
“อร่อยจังครับ”
“ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท ขอเพิ่มอีกแก้วจะเป็นอะไรไหมคะ” คิมมินจูกล่าว
กยองฮาหันไปบอกซองช่อล
“ขึ้นไปเอาลงมาทั้งขวดเลย”
“ครับ แหะๆ ผมน่าจะคิดได้ตั้งแต่แรก”
เหตุการณ์แบบนี้มีไม่บ่อยเท่าไหร่ เนื่องจากพวกลูกค้าที่สำรองที่นั่งจะดื่มเพียงน้ำเปล่าธรรมดา ไม่ใช่ชาโซโลมอน
ซองช่อลขึ้นไปชั้นสองอีกรอบโดยไม่บ่นแม้ครึ่งคำ ระหว่างนั้น กยองฮาก็ถามทั้งคู่
“มีเรื่องอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”
นายองชิกปั้นสีหน้าอย่างผู้ชนะ
“คือว่า…อยากทาบทามให้เชฟโกกยองฮาเข้าร่วมรายการวาไรตี้ของเราน่ะครับ ชื่อ ‘หนึ่งวันสามมื้อ’ ครับ”
“ขอบคุณที่ชวนนะครับ แต่ผมเพิ่งหยุดถ่ายรายการมาไม่นาน ช่วงนี้งานเยอะด้วย…”
ก่อนกยองฮาจะทันปฏิเสธจบสิ้นกระบวนความ นายองชิกรีบเอ่ยตัด ราวปืนกลสาดกระสุน
“ผมอยากเสริมไว้สักนิดครับ สถานที่ถ่ายทำของเราเป็นพื้นที่หมู่บ้านเกษตรกรรม เชฟคิดซะว่าไปพักผ่อนก็ได้ครับ เมื่อก่อนอาจจะมีกิจกรรมออกแรงให้ต้องทำบ้าง แต่หลังๆ นี้ไม่มีแล้วครับ สบายๆ ถ้าได้ดูรายการเราก็จะทราบว่า ตัวดำเนินรายการหลักๆ จะรับภารกิจแค่ทำอาหาร รับประทาน แล้วก็นอนครับ รับประกันว่ากลับมาแล้วเชฟจะสดชื่นเหมือนได้รับการเยียวยาเลยล่ะครับ”
กยองฮาทวนย้ำประโยคของนายองชิกในใจ
‘หมู่บ้านเกษตรกรรม?’