📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 186

บทที่ 186 - ความรู้สึกที่ไม่อาจพูด
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

เมื่อฉิวเฟิงไปแล้ว อิ๋นชิงและหูเฟิงภายในลานของเรือนสันติถึงค่อยโล่งใจ

จี้หยวนอยู่ข้างนอกเรือนยังไม่กลับมา อิ๋นชิงหันไปมอง ชี้แนะหูอวิ๋นด้วยน้ำเสียงของอาจารย์

“เจ้าดูตนเองสิ จิ้งจอกตัวหนึ่งส่งเสียงดังทั้งวัน อีกทั้งอยู่กับท่านจี้ที่นี่ หากเป็นที่อื่น คนอื่นเห็นจิ้งจอกตัวหนึ่งมักจะใช้เพียงสองเท้าวิ่งและกระโดด แม้กระทั่งพูดได้อีกต่างหาก อันดับแรกต้องตกใจเกือบตายเป็นแน่ จากนั้นตั้งสติได้แล้วคงจะไปหาเครื่องมือประเภทจอบหรือคราดเหล็ก รวมกลุ่มชาวบ้านมาตีเจ้าจนตาย!”

“เจ้าพูดมั่ว! อีกอย่างมีหรือข้าจะกลัวพวกเขา กรงเล็บและฟันข้าร้ายกาจมากนะ!”

หูอวิ๋นคำรามพลางโบกกรงเล็กที่ตนเองถือว่าแหลมคม ปะทะฝีปากกับอิ๋นชิง

“นี่ ร้ายกาจถึงเพียงนั้นเลยหรือ เช่นนั้นเหตุใดพวกเราวิ่งผ่านตรอกซอกซอย พอเห็นหมาเข้าเจ้าก็ขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่ข้างหลังข้าเล่า”

อิ๋นชิงเหน็บแนม ใช้สายตาเหยียดหยามอย่างยิ่งยวดมองจิ้งจอกแดงตัวนี้ ทำให้ฝ่ายหลังพองขนราวกับแมวตัวหนึ่ง อ้าปากเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมเปี๊ยบ ท่าทางเหมือนจะเอาชีวิต

“จิ๊ๆๆ…”

อิ๋นชิงถกแขนเสื้อขึ้นเช่นกัน เผยให้เห็นแขนแกร่ง

“มาๆๆ ดูสิว่าใครจะตีใคร!”

หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกคุมเชิงกันอยู่นาน แต่กลับไม่มีใครก้าวไปข้างหน้าจริงๆ ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วเกร็งจนทนไม่ไหวอยู่บ้าง อิ๋นชิงมองจี้หยวนที่เดินผ่านพวกตนกลับไปนั่งหน้ากระดานหมากอีกครั้ง ราวกับท่านจี้ไม่คิดจะเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างคนและจิ้งจอกเลยสักนิด

“ช่างเถอะๆ ข้าจะทะเลาะกับจิ้งจอกตัวเหม็นที่เพิ่งหัดพูดได้ไปทำไม ข้าเป็นถึงนักเรียนเชียว!”

อิ๋นชิงหัวเราะเสียงเย็น สะบัดชายแขนเสื้อให้กลับสู่ตำแหน่งเดิม

“ช่างเถอะๆ ข้าก็เป็นนักเรียนเช่นกัน อายุมากกว่าเจ้าเสียด้วย แล้วจะทะเลาะกับเด็กตัวขนอย่างเจ้าไปทำไมกัน!”

หูอวิ๋นก็มีท่าทีชนิดที่ว่าจะไม่ขอเหมือนกับอิ๋นชิง

จี้หยวนหันไปมองทั้งสอง ส่ายหน้าและวางหมากต่อ

การเข้าใจทางหมากของยอดฝีมืออาวุโส สำหรับผู้อื่นอาจเป็นเพียงวิธีหนึ่งในการพัฒนาทักษะหมากล้อมของตนเอง แต่สำหรับจี้หยวนกลับเป็นการฝึกปราณอย่างหนึ่ง

อิ๋นชิงและหูอวิ๋นสบตากัน หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกเดินไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะเงียบๆ

“ท่านจี้ ท่านผู้นั้นเมื่อครู่เป็นใครหรือ หูอวิ๋นไม่รู้ว่าเขาอยู่ข้างใน หากเป็นคนธรรมดาเห็นจิ้งจอกตัวหนึ่งพูดภาษาคนได้วิ่งเข้ามา น่าจะตกใจแทบแย่แล้วกระมัง!”

“อือๆ!”

หูอวิ๋นพยักหน้าอยู่ข้างๆ

จี้หยวนถอนใจ

“รู้ก็ดีแล้ว ดังนั้นต่อไปสำรวมหน่อย โดยเฉพาะเจ้า”

จี้หยวนหันไปมองจิ้งจอกแดง

ครั้นสบเข้ากับดวงตาสีเทาไร้แววคู่นี้ จิ้งจอกแดงพลันอึ้งงัน

“กับข้าไม่เป็นไร แต่ไม่ได้หมายความว่าอยู่ข้างนอกนั่นแล้วจะเป็นเช่นเดียวกัน ปีศาจใจงามบนโลกนี้มีน้อยมาก เผ่าปีศาจที่พิสูจน์ว่าตนเองมีเมตตาได้ยิ่งน้อยกว่า ความจริงที่อิ๋นชิงกล่าวล้วนถูกต้อง อย่าประมาทเกินไปจนกว่าเจ้าจะมีพลังหรือวิชาอะไรดีกว่า”

เห็นจิ้งจอกตัวนี้ไม่กล้าพูดจา จี้หยวนก็ไม่พูดอะไรมากอีก

“เอ่อ คือว่าท่านจี้ พวกข้าไปทำอาหารก่อนดีกว่า อีกเดี๋ยวจะนำมากินด้วยกันที่นี่ ขอตัวไปก่อนนะ!”

อิ๋นชิงรู้สึกว่าวันนี้จี้หยวนอาจจะอารมณ์ไม่ค่อยดีจึงขยิบตาให้หูอวิ๋น ก่อนจะจากไปอย่างเร็วรี่พร้อมกับฝ่ายหลัง

จี้หยวนวางหมากในมือลง เพียงชำเลืองมองเงาหลังของหนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกจากไป ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เนิ่นนานหลังจากนั้นค่อยส่ายหน้า

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยามกว่า ฉิวเฟิงเพิ่งคุมวาโยกลับถึงเขาล้อมหยก ทันทีที่กลับมาก็ไม่สนใจไปดูศิษย์ของตนเอง เรียกอาจารย์หยางหมิงมาก่อน และไปตามหาอาจารย์อาเริ่นที่หอเมฆาสงบด้วยกัน

หอเมฆาสงบเป็นอาคารพิเศษในเขาล้อมหยก ภายในนั้นลงอาคมไว้มากมาย ช่วยให้ผู้ฝึกเซียนจิตใจสงบ เป็นสถานที่ให้เหล่าศิษย์เข้าฌานกักตัว

ขณะเดียวกันทุกยี่สิบปีจะมีเซียนอาวุโสสองท่านประจำการอยู่ที่หอเมฆาสงบ คอยดูแลอาคมในอาคารเพื่อไม่ให้ผู้ฝึกเซียนเข้าฌานซึ่งจิตใจสงบนิ่งเข้าสู่ทางมาร ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือจัดการธุระจำนวนหนึ่งของเขาล้อมหยกในยี่สิบปีนี้

ความจริงแล้วสำนักจวนเซียนบนโลกนี้ไม่นับว่าตรงตามตำรา โดยคร่าวแบ่งออกเป็นสองประเภท หนึ่งคือสำนักทางศาสนา เบื้องบนมีคนสอนสั่งคอยดูแลธุระในจวนเซียน เขาล้อมหยกเป็นประเภทที่สอง ไม่มีผู้รับผิดชอบสอนสั่ง เมื่อมรรควิถีถึงขั้นที่แน่นอนแล้ว ทุกคนจะผลัดเปลี่ยนกันดูแลแดนอริยะเขาล้อมหยก

ช่วงยี่สิบปีนี้ถึงคราวอาจารย์และอาจารย์อาของฉิวเฟิงรวมถึงหยางหมิงพอดี ระหว่างนี้ไม่อาจเข้าฌานกักตัว ไม่อาจออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกตามใจชอบ หากเจอเรื่องอะไรแล้วผู้ที่จะเข้ามาจัดการก่อนอันดับแรกคือพวกเขาสองคน ทั่วไปแล้วไปรบกวนผู้สูงส่งรุ่นอาวุโสไม่ได้

และ ‘เซียนอาวุโส’ ไม่ได้สอดคล้องกับการฝึกปราณและพลังอ่อนแรงเข้มแข็งโดยสิ้นเชิง พลังย่อมเป็นหนึ่งในมาตรฐาน แต่ที่มากยิ่งกว่านั้นคือจะได้รับความหมายแท้จริงของความลึกลับในการฝึกปราณหรือมรรควิถีหรือไม่ ความหมายของคำว่า ‘แท้’ สำคัญมาก คำว่าเซียนไม่ใช่การแบ่งจุดแข็งและจุดอ่อนง่ายๆ แต่ให้ความสำคัญกับความหมายที่แท้จริงของการฝึกปราณมากกว่า

นั่นก็คือผู้สูงส่งที่วัยวุฒิสูงมาก ส่วนใหญ่ทำเป็นเรียกได้ว่า ‘เซียนอาวุโส’ เท่านั้น

แน่นอนว่า ‘เซียนอาวุโส’ ที่ว่าเป็นเพียงคำเรียกกันเองในเขาล้อมหยก ส่วนโลกฝึกเซียนดั้งเดิมส่วนใหญ่มีการเรียกผู้ฝึกปราณสำเร็จว่า ‘เซียน’ เช่นกัน

เซียนอาวุโสสองท่านในตอนนี้ไม่ได้ว่างเหมือนเมื่อก่อน อันดับแรกมีข่าวลือหอขอบฟ้าแพร่มายากแยกแยะจริงเท็จ หากบอกว่านั่นยังต้องรอเซียนระดับสูงกลับมาค่อยว่ากล่าว เช่นนั้นวันนี้ฉิวเฟิงเยี่ยมเยียนจี้หยวนกลับมาแล้วเล่าเรื่อง นั่นไม่มีทางเป็นเรื่องเล็กแน่นอน

เหนือหอเมฆาสงบ อาจารย์อาเริ่นในเสื้อสีเขียวฟังฉิวเฟิงเล่าเรื่องในวันนี้อย่างเรียบง่ายจนจบ ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นไม่ได้คลายออก ฝ่ายฉิวเฟิงและหยางหมิงนั่งคอยท่าอยู่ด้านล่าง

“เรื่องในวันนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าเองก็ตัดสินใจไม่ได้ ต้องปรึกษาร่วมกับสหายและอาจารย์จากยอดเขาหลอมหยกก่อนถึงจะได้!”

ชายเสื้อเขียวลุกขึ้นยืน

“พวกเจ้าก็มาด้วยกันเถอะ”

ทั้งสามคนออกจากหอเมฆาสงบด้วยกัน ลอยไปยังเมฆเรืองรองทางตะวันออกของเขาล้อมหยก หนึ่งในพื้นที่หวงห้ามของเขาล้อมหยก

ลอยท่ามกลางอาคมแสงเมฆาลวงตาอยู่นานมาก ภายในนั้นยิ่งมีสถานที่ซึ่งคล้ายกับลมแรงพัดกรรโชกตลอดเวลา ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วถึงผ่านแสงทอประกายที่คล้ายกับยิ่งมายิ่งรุนแรงในที่สุด สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับเป็นยอดเขาขนาดมหึมาที่ด้านบนมีแต่เมฆขาว ด้านล่างมีสีเขียวขจี ซึ่งก็คือยอดเขาหลอมหยกของเขาล้อมหยก

ยอดเขาหลอมหยกตั้งไว้ด้วยเรือนหยกหลายหลัง กระจายอยู่ทั่วทั้งยอดเขา บนยอดสุดมีตำหนักอยู่หลังหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วไม่มีคนอยู่ที่นั่น ทว่าตอนนี้เริ่นปู้ถงกลับพาศิษย์หลานสองคนมุ่งหน้าไปยังตำหนักหลักบนยอดเขาหลังนั้นโuเวลกูดoทคoมฺ

รอบข้างตำหนักใหญ่ที่มีสีขาวหยกทั้งหลังมีเสาสีขาวราวกับหิมะล้อมรอบอยู่หลายต้น ส่วนยอดสุดเป็นระฆังทองขนาดยักษ์ลูกหนึ่ง

เริ่นปู้ถงท่องอาคม สะบัดแขนเสื้อตั้งนิ้วดุจกระบี่ โค้งตัวสัมผัสระฆังทองติดต่อกัน ก่อนที่พวกมันจะพากันทอแสงธรรมออกมาหลายสาย

แก๊ง…แก๊ง…แก๊ง…

เสียงระฆังดังขึ้น แสงสลัวเหมือนหมอกและตาข่ายแผ่ออกมา ตามด้วยเสียงระฆังดังไปทั่วทั้งยอดเขาหลอมหยก

ฉิวเฟิงและหยางหมิงสบตากันอยู่ข้างหลัง ถึงแม้ระดับการฝึกปราณของพวกเขาจะเป็นอาจารย์ของคนอื่นได้แล้ว แต่ก็ยังคงเห็นความตระหนกจากในดวงตาของอีกฝ่ายอยู่บ้าง

เสียงระฆังดังทั้งหมดหกครั้ง บ่งบอกว่าขอเพียงไม่ใช่ผู้เข้าฌานกักตน ย่อมต้องมุ่งหน้าสู่ตำหนักเมฆาหยกเพื่อตัดสินใจเรื่องสำคัญ หากดังติดต่อกันเก้าครั้งก็หมายความว่าเป็นเรื่องใหญ่ถึงตายต่อแดนอริยะเขาล้อมหยกแล้ว

เมื่อรออยู่สักครู่หนึ่ง รอบตำหนักใหญ่มีแสงลอยออกมา โดยรอบปรากฏชายหญิงหลายคนหรือใบหน้าทั้งหนุ่มและชรา ฝ่ายเริ่นปู้ถงนำศิษย์หลานสองคนประสานมือคารวะพวกเขาทีละคน

ผู้ที่มาได้มีทั้งหมดสิบเอ็ดคน ผู้มากวัยวุฒิที่สุดคือชายชราที่บรรพจารย์เริ่นปู้ถงเรียกว่า ‘จูหยวนจื่อ’ บัดนี้อายุแปดร้อยกว่าปีแล้ว มรรควิถีฝึกปราณสูงที่สุดในเขาล้อมหยกเช่นกัน ความแข็งแกร่งของพลังยิ่งยากจะหยั่งคาด มองโดยรวมแล้วนับว่าเป็นผู้มีหวังที่จะกลายเป็นเซียนจริงๆ มากที่สุดในเขาล้อมหยก ทว่าขาดอีกกี่ส่วนคงมีเพียงเจ้าตัวที่รู้

ผู้สูงส่งยิ่งกว่านี้ไม่มีแล้ว ต่อให้เป็นเซียนในสายตาของมนุษย์ กระนั้นยังคงหลีกเลี่ยงเกิดแก่เจ็บตายไปไม่ได้

“สหายเริ่นเจอเรื่องยากจะเลือกอะไรหรือ”

“หรือว่าเจอศัตรูตัวฉกาจ”

“สหายเริ่นมาคนเดียวหรือ แล้วสหายเผยเล่า”

ผู้มาเยือนนั่งลงกลางตำหนัก พากันสอบถามอยู่หลายคำ

“พักนี้เกิดเรื่องใหญ่หลายเรื่อง เกี่ยวข้องกับเขาล้อมหยกของพวกเราส่วนหนึ่ง จำต้องรบกวนทุกท่านแล้ว…”

เริ่นปู้ถงพูดออกมาอย่างช้าๆ เริ่มจากข่าวลือหอขอบฟ้า จนถึงมารแท้ซึ่งปรากฏตัวที่รัฐข้างเคียง ร่วมด้วยเรื่องฉิวเฟิงไปอำเภอหนิงอันในวันนี้ อีกทั้งรวมเรื่องที่จี้หยวนขอดูยันต์บัญชาเขาสักครั้ง โดยมีอยู่หลายจุดที่ให้ฉิวเฟิงเป็นฝ่ายอธิบาย

จำนวนข่าวสารไม่น้อย เมื่อพูดทุกเรื่องจบสิ้นแล้ว ทุกคนภายในตำหนักต่างก็อดกลั้นไม่ไหวแล้ว

“ประมุขมังกรนั่นปล่อยผ่านเรื่องในปีนั้นแล้วหรือ”

“ท่านจี้ผู้นี้เป็นอริยเทพองค์ใด ภายในต้าเจินของพวกเราซ่อนเซียนไว้ท่านหนึ่งหรือนี่”

“แซ่จี้นามหยวน เหตุใดไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือว่าจะเป็นชื่อแปลง”

“ข้าว่าไม่เหมือน!”

“หากเป็นจริงเช่นท่านเซียนว่า ประมุขมังกรนั่นอาจจะปล่อยวางแล้วจริงๆ”

“ท่านเซียนพูดจริงหรือไม่”

“เอ่อ…”

“เรื่องหอขอบฟ้านั่นเล่า อีกทั้งมีมารจู่โจมผู้ฝึกเซียนเขาล้อมหยกของพวกเราอีก!”

“เรื่องนี้จริงหรือเท็จยากแยกแยะ สำคัญอยู่ที่ยันต์บัญชาเขา สุดท้ายแล้วจะให้ท่านเซียนชมหรือไม่”

“ของสำคัญของสำนักเรา จะเที่ยวให้คนดูง่ายๆ ได้อย่างไร”

“ถูกต้อง ต่อให้เป็นเซียนอัศจรรย์ก็จะให้ดูง่ายๆ ไม่ได้!”

“คำพูดนี้ไม่ถูกต้อง ท่านจี้ผู้นั้นในเมื่อบอกสหายฉิวว่าเชี่ยวชาญในวิชาบัญชา เขาอาจะเข้าใจวิธีการใช้ยันต์ก็เป็นได้ หากเขาสอนวิชานี้ให้เขาล้อมหยกของพวกเราได้…”

“เหลวไหล วิชาไม่อาจเผยแพร่โดยง่าย ต่อให้เขาใช้วิชาเป็นจริง พวกเราจะบอกเขาด้วยสาเหตุใด”

การสนทนานี้ดำเนินต่อไป ไม่ขาดแม้กระทั่งการถกเถียง ฉิวเฟิงและหยางหมิงนั่งเงียบๆ อยู่ข้างอาจารย์อา ไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น

“สหายฉิวเฟิง ในความเห็นของเจ้า เซียนผู้นั้นอยู่ในระดับใด นอกจากความธรรมดาสามัญแล้ว เขายังมีความพิเศษอื่นอีกหรือไม่”

จูหยวนจื่อที่นิ่งเงียบตลอดพลันเอ่ยปากถามฉิวเฟิง น้ำเสียงที่แก่ชราเป็นพิเศษทำให้การหารือในที่นี่หยุดลงชั่วคราว

ฉิวเฟิงลังเลอยู่บ้าง ความจริงเขาไม่ค่อยอยากพูดเรื่องที่จี้หยวน ‘รู้สึกโศกเศร้า’ ก่อนหน้านี้เป็นสถานการณ์หนึ่ง ทว่าในเมื่อตอนนี้บรรพจารย์อย่างจูหยวนจื่อถามแล้ว สิ่งที่หวังจะรู้ย่อมไม่ใช่เมื่อครู่นี้

“เรียนท่านจูหยวนจื่อ ความจริงวันนี้ข้าคนแซ่ฉิวประสบเรื่องหนึ่งจริงๆ…”

ฉิวเฟิงกัดฟัน จากนั้นเล่าเรื่องที่ตนเองผ่านความลำบากนานหลายปีในการฝึกเซียน และโยนอิฐเพื่อล่อหยกคิดถามจี้หยวนให้คล้อยตาม ครั้นเอ่ยว่าจี้หยวนรู้สึกเศร้าที่ทุกเรื่องราวไม่แน่นอน เขาตระหนกอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด

“ตอนนั้นเพียงรู้สึกว่าเรือนเล็กเดินทางสู่นอกโลกและเคลื่อนผ่านจักรวาล ทุกสรรพสิ่งบนฟ้าดินเหมือนกับอยู่ใกล้แค่คืบ มหามรรคเปลี่ยนผันชนิดที่เหมือนกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ที่ไกลออกไปกว่านั้น…ข้าไม่กล้ามอง มัน…”

ระหว่างที่ฉิวเฟิงพูดนั้น เขาเหงื่อแตกเต็มตัว ยิ่งมีเค้าลางว่าพลังปราณไม่มั่นคง พลังวิชาปั่นป่วนด้วย

หึ่ง…หึ่ง…

ระฆังทองเหนือตำหนักเมฆาหยกสั่นไหวอยู่รางๆ ส่งเสียงสั่นสะท้านหลายสาย

“แย่แล้ว พอแค่นี้ สงบจิตใจ!”

“คุ้มครองจิตวิญญาณให้ได้ สหายฉิวสงบใจเร็วเข้า!”

เริ่นปู้ถงที่อยู่ข้างๆ และผู้ฝึกปราณหลายคนพากันลงมือสำแดงวิชา ยิ่งมีคนตัดขาดพลังปราณข้างนอกซึ่งเชื่อมโยงกับตำหนักเมฆาหยกด้วย

เมื่อมีมรรควิถีในระดับเดียวกับฉิวเฟิง เค้าลางเมื่อครู่นี้ผิดปกติอย่างแน่นอน ผู้อื่นประหวั่นพรั่นพรึงเช่นกัน ด้วยยากนักที่จะจินตนาการได้ว่าตอนนั้นฉิวเฟิงรู้สึกอย่างไร

Facebook Twitter Telegram Pinterest
เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

ChronoGo, Lan Ke Qi Yuan, Lạn Kha Kỳ Duyên, Special Destiny Of Rotten Ke, The Board of Lanke, Kismet of the Lanke Piece, Lanke Chess Edge, The Board Of Lanke, 烂柯棋缘, 난가기연
Score 9.1
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ต้นฉบับ: 1021 Chapters (จบแล้ว)
จี้หยวน พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งไปร่วมกิจกรรมค่ายพักกลางแจ้ง ระหว่างเดินชมต้นไม้ไปเรื่อยๆ เขาพบกระดานหมากบนตอไม้กลางป่า พอจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปกลับปลดล็อกหน้าจอไม่ได้ คิดว่าแบตหมดแล้วจึงรีบกลับไปหาแบตสำรองที่ค่าย แต่พอกลับไปถึงที่ตั้งค่าย กลับไม่มีคนในบริษัทอยู่สักคน แม้แต่เต็นท์ก็หายไปหมด.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset