ตอนบ่าย
หลังจากยุ่งตลอดช่วงเช้า ฉีเหยียนก็จัดการทุกอย่างตามที่วางแผนไว้เสร็จเรียบร้อย
เธอเสนอจ้างงานเจ้าของร้านข้างทางฝีมือโดดเด่นให้มาเป็นที่ปรึกษาด้านอาหารของสาวหน้านิ่งอย่างเป็นทางการ จางหยาฮุยตอบตกลงทันที เจ้าของร้านคนอื่นๆ ยังลังเลกันอยู่ พวกเขาบอกว่าขอเวลาคิดดูสักสองสามวันแล้วจะให้คำตอบ
เห็นได้ชัดว่าหลายคนจะพาครอบครัวมาอยู่ด้วย พวกเขาต้องคุยกับครอบครัวก่อนตัดสินใจ
แต่ฉีเหยียนมั่นใจว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ได้ประโยชน์กับทั้งสาวหน้านิ่งและเจ้าของร้านข้างทาง
ที่ปรึกษาด้านอาหารเหล่านี้จะผ่านกระบวนการรับเข้าทำงานตามระบบ ฉีเหยียนตั้งใจว่าจะเรียนรู้จากโมหยูเดลิเวอรี่ เธออยากตั้งห้องวิจัยอาหารที่มีเชฟมืออาชีพ เจ้าของร้านข้างทางฝีมือโดดเด่น และนักโภชนาการดูแลเรื่องการทดสอบทางเคมีและความสมดุลทางโภชนาการคอยพัฒนาเมนูใหม่ไปด้วยกัน
โมหยูเดลิเวอรี่เป็นกิจการของบอสเผย บอสน่าจะยอมให้ทำแน่นอน
บอสเผยน่าจะประทับใจมากถ้าเธอตั้งห้องวิจัยอาหารแบบโมหยูเดลิเวอรี่ขึ้นมา
ถึงจะไม่เคยเจอบอสเผยมาก่อน แต่ฉีเหยียนก็พอจะเดาจุดประสงค์ของบอสได้คร่าวๆ จากความเข้าใจของเธอในตัวบอส
ห้องวิจัยอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับสตรีตฟู้ด
เมิ่งชั่งไม่ผิดที่เปรียบเทียบอาหารข้างทางกับอาหารฟาสต์ฟู้ดในจีน แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ต้องตระหนักว่ายังมีหนทางอีกยาวกว่าอาหารข้างทางจะกลายเป็นแบรนด์อาหารฟาสต์ฟู้ดจริงๆ ได้
แบรนด์ฟาสต์ฟู้ดนั้นดูเรียบง่ายมาก ไม่มีอะไรมากไปกว่าไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ แฮมเบอเกอร์ และอื่นๆ แต่ก็ไม่ควรประเมินห่วงโซ่อุปทาน การผลิต และความสามารถในการวิจัยเมนูใหม่ๆ ต่ำเกินไป พวกเขาสั่งสมประสบการณ์มาเป็นสิบๆ ปี ยังไงก็ไม่มีทางไล่ตามได้ทันภายในวันสองวัน
เมิ่งชั่งน่าจะรู้เรื่องนี้ดีและคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำได้ เพราะงั้นจึงเลือกการวาดภาพฝันและเร่งทำเงินให้ได้เร็วๆ
มีคำพูดที่ว่า โลกนี้มีทางเลือกอยู่สองทาง ทางที่ถูกกับทางที่ง่าย
เมิ่งชั่งเลือกทางที่ง่าย ส่วนบอสเผยเลือกทางที่ถูก
ฉีเหยียนคิดว่าในเมื่อบอสเผยพบทางพลิกสถานการณ์และมอบโอกาสให้สาวหน้านิ่งได้เริ่มต้นใหม่ พร้อมปูเส้นทางที่ชัดเจนให้แบรนด์ที่กำลังอยู่ในสภาพร่อแร่ เธอในฐานะผู้ดูแลกิจการก็มีหน้าที่ในการทำตามวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของบอสเผย
ถึงฉีเหยียนจะไม่รู้ว่าสาวหน้านิ่งจะเป็นยังไงต่อไปในอนาคต แต่เธอก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมขึ้นมา!
หลังจัดการงานเสร็จ เธอก็ลุกไปกดกาแฟดื่ม ขณะเดียวกันก็เช็กดูการทำงานของเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศไปด้วย
โดยรวมแล้วสถานการณ์มีความซับซ้อนมากขึ้น
นอกจากหน้าร้านแล้ว สาวหน้านิ่งมีโซนออฟฟิศด้วย พวกเขาเช่าพื้นที่สำนักงานในอาคารสำนักงานใกล้ๆ ร้าน เมิ่งชั่งพร้อมจ่ายให้กับโปรเจ็กต์นี้ทีเดียว ในออฟฟิศมีกาแฟ เครื่องดื่ม ชายามบ่าย ขนม ผลไม้ อื่นๆ ให้บริการ สภาพแวดล้อมการทำงานดีมากๆ
หลังเถิงต๋าเข้าซื้อกิจการ ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่มีสัญญาณว่าจะลดสวัสดิการลง ทุกคนพอใจกันมาก
แต่ทัศนคติการทำงานในปัจจุบันของทุกคนเปลี่ยนไป
บางคนพยายามอู้งานอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาดูสับสนและสมาธิหลุด บางคนเปี่ยมไปด้วยไฟในการทำงาน อยากหาอะไรทำ แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
หลังสาวหน้านิ่งเปลี่ยนเจ้าของ กิจกรรมส่งเสริมการตลาดเดิมถูกยกเลิกหมด คนที่รับผิดชอบจัดกิจกรรมทางการตลาดทุ่มกับการจัดงานแข่งขันสตรีตฟู้ดเต็มที่ แต่พองานจบแล้วก็ไม่มีอะไรทำ
พนักงานบางส่วนกังวลกับอนาคตของสาวหน้านิ่งมาก
พวกเขาน่าจะไม่ได้อ่านบทความและไม่รู้แผนที่บอสเผยเตรียมไว้ให้สาวหน้านิ่ง จึงคิดแค่ว่าจากสภาพในตอนนี้ที่ไม่มีอะไรทำเลย ไม่ช้าก็เร็วบริษัทต้องเจ๊งแน่นอน ตอนนี้แค่อยู่รอดไปวันๆ ทัศนคติของพวกเขาจึงเป็นไปในทางลบ
ฉีเหยียนรู้สึกว่าต้องคิดหาทางเพิ่มขวัญกำลังใจทุกคน
เธอได้แรงบันดาลใจหลังได้การแนะนำจากบอสเผย ตอนนี้เธอมีไอเดียบางอย่างในหัว แต่ไอเดียวเหล่านี้จำเป็นต้องได้ความร่วมมือและลงแรงจากคนอื่น ถ้าทุกคนยังคิดในแง่ลบกันอยู่อย่างนี้ ถึงฉีเหยียนจะมอบหมายงานให้ ก็ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น
ถ้าอยากเพิ่มขวัญกำลังใจ เธอก็ต้องหาโอกาสพูดโน้มน้าวใจทุกคน
แต่ถ้าพูดปลุกใจ ผลลัพธ์ก็คงไม่ดีนัก อาจจะส่งผลย้อนกลับได้
ฉีเหยียนครุ่นคิด บทความนั้นก็ค่อนข้างดี
ตอนนี้เพื่อนร่วมงานของเธอไม่มีไฟในการทำงานและรู้สึกขาดเป้าหมาย เหตุผลหลักมาจากการที่พวกเขาไม่รู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของสาวหน้านิ่งอย่างชัดเจน ถ้าได้อ่านบทความนั้น พวกเขาก็จะรู้เกี่ยวกับแผนที่บอสเผยวางไว้ให้สาวหน้านิ่ง สภาพการทำงานของทุกคนจะดีขึ้น!
เธอรีบค้นหาชื่อผู้เขียนในอินเทอร์เน็ต ก่อนจะตกใจเมื่อพบว่าเขามีบทความลงใหม่!
แถมชื่อบทความยังดุดันกว่าบทความที่แล้วอีก ‘สาวหน้านิ่ง: เมฆวิเศษของเมิ่งชั่งกับภูเขาห้านิ้วของบอสเผย!’
ฉีเหยียนผงะไป สาวหน้านิ่งอีกแล้วเหรอ
ลงสองบทความในเวลาไล่เลี่ยกันแบบนี้ นี่ตั้งใจจะหาเรื่องอะไรสาวหน้านิ่งรึเปล่า
ฉีเหยียนทั้งงุนงงและแปลกใจ
เพราะเธอรู้ดีว่าผู้เขียนคนนี้เขียนแต่สาระเน้นๆ ในบทความ เขาไม่จำเป็นต้องเขียนถึงสองสามบทความในประเด็นเดียวเพื่อขยี้ประเด็นดังสร้างกระแส
จากมุมมองนี้ ผู้เขียนคนนี้ดีกว่าพวกสื่อทางการตลาดมาก
ถ้าเป็นบทความใหม่เกี่ยวกับสาวหน้านิ่ง ผู้เขียนก็น่าจะไปเจอเนื้อหาหรือมุมมองใหม่มา
แต่บทความ ‘การพังและสร้างชื่อเสียงของสาวหน้านิ่งขึ้นมาใหม่ผ่านงานแข่งขันสตรีตฟู้ด’ ก็บอกความแตกต่างระหว่างแนวทางการบริหารงานของเมิ่งชั่งกับบอสเผยอย่างละเอียดแล้ว ประเด็นของสาวหน้านิ่งก็เขียนออกมาได้ชัดเจนสุดๆ
บทความใหม่นี้มีคำว่า ‘เมฆวิเศษ’ กับ ‘ภูเขาห้านิ้ว’ เขาต้องการจะสื่ออะไรกันแน่
จะแต่งนิยายเกี่ยวกับไซอิ๋วเหรอ
ฉีเหยียนเปิดบทความอ่านด้วยความงุนงง novelgu.com
…
ช่วงต้นของบทความ ผู้เขียนกล่าวถึงสองบทความที่แล้วคร่าวๆ ซึ่งก็คือ ‘ความคิดทางอินเทอร์เน็ตของสาวหน้านิ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าการเสแสร้ง’ กับ ‘การพังและสร้างชื่อเสียงของสาวหน้านิ่งขึ้นมาใหม่ผ่านงานแข่งขันสตรีตฟู้ด’ สองบทความนี้คาดการณ์การล้มละลายของสาวหน้านิ่งภายใต้การดูแลของเมิ่งชั่งและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังบอสเผยเข้าซื้อกิจการต่อ
ผู้เขียนใส่ลิงก์ของทั้งสองบทความให้ผู้อ่านกลับไปอ่านดูอีกรอบได้ และเป็นการบอกกับผู้อ่านเป็นนัยว่า ฉันไม่ได้พยายามเกาะกระแสและซ้ำเติมตอนคนล้ม ฉันตั้งข้อสงสัยนี้ขึ้นมาตั้งแต่สาวหน้านิ่งยังอยู่จุดสูงสุด บทความของฉันอัดแน่นไปด้วยเนื้อหาดีๆ แตกต่างจากพวกสื่อการตลาดที่ลงบทความคลิกเบตที่รวบรวมข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตมามั่วๆ!
จากนั้นก็เป็นช่วงเนื้อหาหลัก
แต่ก่อนจะเข้าเนื้อหา ผู้เขียนจงใจใส่ย่อหน้าสั้นๆ มาบอกใบ้ผู้อ่านว่าบทความนี้ต่างจากสองบทความที่แล้ว
“หลังพิจารณาเนื้อหาดูแล้ว ผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนสไตล์การเขียนของตัวเอง ผมทบทวนความสำเร็จและความล้มเหลวของสาวหน้านิ่งผ่านมุมมองของเมิ่งชั่ง อาจจะมีความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนและการใช้เทคนิคเล่าเรื่องเข้ามาเสริม แต่ผมการันตีได้เลยว่าโครงเรื่องสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดนั้นสอดคล้องกับความจริงแน่นอน หากขาดตกบกพร่องประการใด ทุกท่านสามารถติชมและบอกให้ผมแก้ไขได้”
ฉีเหยียนแปลกใจยิ่งกว่าเดิม
สองบทความที่แล้วเขียนโดยใช้มุมมองของคนนอก โดยเน้นไปที่การเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและการวิเคราะห์เป็นหลัก ถึงบทความจะมีการสอดแทรกอารมณ์ขันและการเสียดสี บวกด้วยการเปรียบเปรยอันชาญฉลาดเพื่อสร้างความบันเทิง แต่ในภาพรวมก็ยังยึดแนวทางแบบดั้งเดิม
แต่ครั้งนี้ผู้เขียนจะเล่าในมุมของเมิ่งชั่งงั้นเหรอ
ฉีเหยียนรู้สึกว่าบทความนี้ไม่ธรรมดา ก่อนจะอ่านต่อ
…
“วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2011 วันนี้ ชายหนุ่มชื่อเมิ่งชั่งเดินทางมาที่ตั้งบริษัทลงทุนหยวนเมิ่งในจิงโจว เขาอยากเริ่มต้นอาชีพที่นี่
“เขามาพร้อมแผนการใหญ่และสโลแกนติดหู แต่ไม่มีใครเดาได้ว่าจริงๆ แล้วเขาคิดอะไรอยู่
“เมิ่งชั่งดูเหมือนจะมีบุคลิกนักแสดง ทักษะการแสดงของเขาก็ไม่เลวเลย
“แต่สิ่งที่เขาไม่รู้เลยคือภายในใจของเขาจะเต็มไปด้วยความรู้เศร้าเสียดายในอีกสองเดือนให้หลัง ตอนที่เขามองย้อนกลับมาเช้าวันอังคารนี้อีก
“สาวหน้านิ่งเริ่มจากก่อตั้งแบรนด์และกลายเป็นกระแสไปทั่วอินเทอร์เน็ต ก่อนจะถูกสงสัยและพังไม่เป็นท่า เหมือนคำกล่าวสมัยโบราณที่ว่า ยิ่งเจริญรุ่งเรืองเร็วฉันใด การล่มสลายก็ตามมาไวฉันนั้น
“ชะตากรรมของสาวหน้านิ่งถูกตัดสินไว้แล้วตั้งแต่เช้าวันอังคารนี้
“เมิ่งชั่งเลือกบริษัทลงทุนหยวนเมิ่งเป็นเป้าหมายแรกด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ น่าจะขอเงินจากที่นี่ได้ง่ายที่สุด
“เมิ่งชั่งจะได้ฉายา ‘ผู้ประกอบการผู้สมบูรณ์แบบ’ ในอนาคตอันใกล้ แต่เขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอในตอนนี้ เรซูเม่ของเขาไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่มีอะไรอื่นอีกเลย แค่เรซูเม่กับวาทศิลป์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำฝันและเป้าหมายของเขาให้เป็นจริงได้ นักลงทุนคนอื่นยินดีให้เงินทุนกับเขา แต่เงินทุนก้อนนั้นมาพร้อมข้อตกลงความรับผิดชอบแบบไม่จำกัดหรือข้อตกลงการซื้อคืน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เมิ่งชั่งยอมรับไม่ได้
“อันที่จริงเมิ่งชั่งรับแค่ ‘เงินร้อน’ มาตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเป็นหนี้แค่ไม่กี่ล้าน เทียบไม่ได้เลยกับผู้ประกอบการที่มักจะเป็นหนี้หลายร้อยล้าน
“แต่ผู้ประกอบการที่ยอมเซ็นสัญญาคนอื่นอาจจะไม่ใช่เพราะความประมาทเลินเล่อ แต่เพราะเชื่อมั่นว่าธุรกิจของตัวเองจะประสบความสำเร็จ ส่วนที่เมิ่งชั่งไม่ยอมเซ็นเป็นเพราะความระแวง อาจจะเพราะรู้อยู่แล้วตั้งแต่ต้นว่าธุรกิจของตัวเองเป็นแค่การแสดง เขาจะรีบชิ่งไปในจังหวะที่กำลังรุ่งเรือง ก่อนหายนะและความล้มเหลวจะทันย่างกรายเข้ามา
“ขณะที่เถิงต๋าคอร์เปอเรชันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ บอสเผย ‘เทพเจ้าแห่งการลงทุน’ ผู้เก็บเกี่ยวผลกำไรจากการลงทุนได้ทุกอย่างตัดสินใจมุ่งความสนใจไปจุดอื่น บริษัทลงทุนหยวนเมิ่งจะดำเนินกิจการตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้และลงทุนกับธุรกิจสตาร์ตอัปไปทีละขั้น ซึ่งเมิ่งชั่งเห็นว่านี่คือโอกาส
“เมิ่งชั่งได้เงินมาตามที่ต้องการและใช้ ‘เงินลงทุนจากบอสเผย’ เป็นประเด็นในการสร้างกระแส เขาถึงขั้นจัดงานโชว์เคสพิเศษเพื่ออธิบายอนาคตอันสดใสของสาวหน้านิ่งให้กับนักลงทุนคนอื่นๆ ตรงนี้จะเห็นได้ว่าความกระตือรือร้นด้านการตลาดของเมิ่งชั่งฝังลึกอยู่ในกระดูก เขาไล่ล่าหาความนิยมอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่สนว่าจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้างในอนาคต”