ท่ามกลางพื้นและผนังที่เต็มไปด้วยวงแหวนเวท กึ่งกลางมีเตียงพยาบาลวางอยู่
บนเตียงคือคิมยูรีในชุดคนไข้
“ขอบคุณทุกคนที่มาเยี่ยมฉัน… ว่าแต่แดซอกหายไปไหนหรือ ถ้ากือรินมาด้วย ไม่มีทางที่แดซอกจะไม่ตามมานี่นา… หรือว่าเขาก็นอนโรงพยาบาลเหมือนกัน?”
คิมยูรีดูจะเข้าใจเพื่อนในห้องเป็นอย่างดี
“ใช่… หมอนั่นก็นอนอยู่ในโรงพยาบาลนี้”
“จริงหรือ… อาการหนักไหม แดซอกบาดเจ็บตรงไหนบ้าง”
“แดซอกใกล้จะหายดีแล้วล่ะ แถมยังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นด้วย… แต่ที่สำคัญกว่านั้น ยูรีเป็นยังไงบ้าง”
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว แค่ใช้พลังวิเศษเกินขีดจำกัดไปหน่อย ก็เลยมึนหัวจนสลบไป พอได้นอนพักแล้วตื่นมาเดินเล่นก็ดีขึ้นมาก… แล้วมีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับแดซอกหรือ”
“อ๋อ… แดซอกสร้างเว็บแอปฯ สำหรับวิเคราะห์ดัชนีที่ดาวเทียมเพลเยอร์ตรวจสอบได้…”
แม้จะสนทนากันผ่านบาเรียของวังจีโฮ แต่น้ำเสียงของคิมยูรีช่วยทำให้บรรยากาศอบอุ่น
เป็นเรื่องดีที่ได้เห็นเด็กๆ พูดคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“จริงสิ…”
คิมยูรีเจ้าของสีหน้ามีความสุข ฉายโฮโลแกรมออกมา
ฉากหลังเป็นทะเลยามค่ำคืน
“ดูนี่สิ… ฉันเจอวิดีโอการบรรเลงไวโอลินของรุ่นพี่ควอนเจอินกับเลนาด้วย!”
“วิดีโอ?”
“ใครเป็นคนถ่ายเนี่ย”
“หืม…”
เมื่อคิมยูรีกดปุ่มเล่นวิดีโอ ฉากเมื่อวันเกิดเหตุย้อนกลับมาฉายใหม่บนหน้าจอ
หลังจากการแสดงของควอนเลนากับควอนเจอินจบลง เด็กๆ ที่กลั้นหายใจดูต่างพากันส่งเสียงอุทาน
“สุดยอดเลย…!”
“นี่คือเลนาใช่ไหม ถึงจะอยู่ไกล แต่เป็นเลนาไม่ผิดแน่!”
“อยากอยู่ในเหตุการณ์จังเลย… ฉันอยากวาดรูปตอนเธอสีไวโอลิน…”
ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน มีแค่คนเดียวที่จิตแข็งพอจะจับภาพการบรรเลงดนตรีได้อย่างเลือดเย็นกว่าใคร
‘ต้องเป็นมุนแซรอนแน่!’
แต่ในเมื่อวังจีโฮเห็นแล้ว เขาจะยอมปล่อยไปหรือ
มองไปทางวังจีโฮ ราวกับเข้าใจความคิดฉัน เขาพูดหรี่เสียง
“วิดีโอนี้กำลังจะกลายเป็นข่าวใหญ่ มันเป็นเรื่องราวที่ดี… ควอนเจอินเดินทางมายังค่ายยุวชนในฐานะครูกิตติมศักดิ์ และบังเอิญช่วยยับยั้งความเกรี้ยวกราดของท้องทะเลด้วยบทเพลง แถมยังมีเด็กปีหนึ่งที่เป็นแฟนคลับคอยบรรเลงเพลงสอดรับกัน มันต้องกลายเป็นข่าวดังอย่างไม่ต้องสงสัย”
วังจีโฮทำหน้าพึงพอใจ
ดูจากท่าที เขาคงไม่คิดจะไล่ลบคลิปหลังจากมันถูกอัปโหลด
ฉันพอจะเข้าใจเจตนาของวังจีโฮอยู่
‘เขาอยากปกปิดหลายประเด็นในคดีนี้ จึงต้องมีอะไรมาเบี่ยงเบนความสนใจ’
พอมีควอนเจอินมาช่วยรับหน้าแทน เรื่องราวก็ถือว่าจบได้สวย
แต่ปัญหาคือควอนเลนา
ถ้าเธอไม่อยากตกเป็นเป้าสนใจของสาธารณชน ฉันจะเสนอให้ลบคลิปทันที
ไม่แน่ใจว่าเป็นความเอาใจใส่ของมุนแซรอนหรือไม่ แต่ใบหน้าควอนเลนาไม่ปรากฏบนจอภาพแม้แต่หนเดียว
อย่างไรก็ตาม มันคงดีกว่าถ้าจะขจัดเมล็ดพันธุ์แห่งความวุ่นวายทิ้งเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
‘ตอนนี้คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าเด็กปีหนึ่งคนนั้นคือควอนเลนา… ถ้าชิงลบวิดีโอทิ้งตอนนี้ ความสนใจจะมุ่งไปหาควอนเจอินแค่คนเดียว’
ห้วงความคิดของฉันหยุดลงเพราะคำพูดควอนเลนา
“คนโพสต์เป็นใครกันนะ…”
ควอนเลนาที่ปิดปากเงียบมานาน เริ่มเกริ่นคำถาม
เสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อย
“หือ… เลนาไม่รู้เรื่อง? วิดีโอถูกโพสต์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเธอก่อน? ขอโทษนะ ฉันไม่รู้เรื่องนี้…”
คิมยูรีรีบดับโฮโลแกรมพร้อมกับขอโทษขอโพย แต่ควอนเลนาพูดขัดจังหวะ
“…ฉันอยากดูวิดีโอต้นฉบับ! มุมกล้องเปลี่ยนไปกลางคันแบบนี้ ต้องถ่ายจากกล้องมากกว่าหนึ่งตัวแน่นอน อยากเห็นจากมุมอื่นบ้างจัง!”
“อ…เอ๋?”
ควอนเลนาที่กำลังยิ้มแย้มแจ่มใส เปิดดีไวซ์ของเธอเพื่อค้นหาวิดีโอที่คิมยูรีเพิ่งเอาให้ดู
ใบหน้าของเธอขณะเล่นวิดีโอซ้ำ เต็มไปด้วยความสุข
“ตอนนั้นฉันคิดไม่ทันเพราะกำลังสติหลุด! ถ้าเป็นปกติต้องกดปุ่มอัดในดีไวซ์เอาไว้แล้ว… รุ่นพี่ควอนเจอินน่ะมักจะด้นสดในตอนที่เปิดใช้แสงประทาน ตอนนั้นฉันเองก็ด้นสดเหมือนกัน นึกว่าจะไม่มีโอกาสได้ฟังอีกแล้ว… โชคดีจังเลยที่มีคนถ่ายเก็บไว้! ถ้าทิ้งคอมเมนต์ใต้คลิป เจ้าของวิดีโอจะส่งตัวเต็มมาให้ไหมนะ”
“คนถ่ายน่าจะเป็นมุนแซรอน ลองไปถามเธอดู”
“จะติดต่อหาแซรอนเดี๋ยวนี้แหละ!”
ได้ยินคำตอบของวังจีโฮ ควอนเลนาเบิกตากว้างด้วยรอยยิ้มสดใส
ดูท่าจะไม่คิดมากกับเรื่องที่ตนปรากฏตัวอยู่ในวิดีโอมาแรง
สิ่งเดียวที่ควอนเลนาสนใจคือการแสดงของควอนเจอิน
“…วิดีโอนี้มียอดวิวสูงมาก แปลว่ามีคนเห็นเยอะ เธอยอมรับได้ใช่ไหม”
มินกือรินถามในสิ่งที่ฉันอยากรู้พอดี
ควอนเลนาที่กำลังบันทึกวิดีโอ ตอบด้วยท่าทีเขินอาย
“ถ้ารุ่นพี่ควอนเจอินไม่ถือ ฉันก็ไม่ถือ… แต่ก็รู้สึกอายฝีมือตัวเองอยู่นิดๆ นะ”
ถึงจะน่ากังวลเรื่องที่ความเป็นหลานอาจถูกเปิดโปง แต่ควอนเลนาเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของควอนเจอิน และยังเป็นเพลเยอร์ของโรงเรียนแสงเงิน สักวันก็ต้องเผยตัวสู่สาธารณะอยู่ดี
ก็แค่ช่วงเวลานั้นเลื่อนเข้ามาหาเร็วขึ้น
…แต่ถ้าลบวิดีโอนี้ทิ้งโดยไม่มีเหตุผลรองรับ ผู้คนจะยิ่งสงสัยและขุดคุ้ยหนักกว่าเก่า
“…ว่าแต่ คลื่นยักษ์มันเกิดขึ้นได้ยังไง หรือจะเป็นปรากฏการณ์ทางสภาพอากาศตามที่ข่าวรายงาน?”
“ฉันก็อยากรู้เรื่องนั้นเหมือนกัน!”
“อ๋อ… คือว่า”
ได้ยินคำถามของฮันอีกับซาวอลเซอึม เม็งเฮียวทงพยายามเบี่ยงประเด็น
แต่ด้วยสมองของเขา นั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ตรงกันข้าม ท่าทีอึกอักของเม็งเฮียวทงยิ่งทำให้เด็กคนอื่นสงสัย
ขณะฉันเตรียมจะแก้สถานการณ์
“แสงประทานของฉันเองแหละ”
คิมยูรีชี้ไปยังกำแพงสมุทรบนโฮโลแกรมที่ควอนเลนากำลังเปิด
“แสงประสานของฉันเชื่อมต่อกับเบื้องบนจำนวนมาก ฉันผืนยับยั้งมันมาตลอด แต่ดันคลุ้มคลั่งในช่วงเวลาสำคัญเสียได้… คนจำนวนมากต้องตกอยู่ในอันตรายเพราะฉัน ขอโทษนะ”
“ยูรี…”
เมื่อเห็นคิมยูรีเล่าความจริงเสร็จแล้วก้มศีรษะลง ฮันอีเริ่มทำหน้าเครียด
ทุกคนเงียบเป็นเวลานาน
ภายในเกม ระหว่างการเข้าค่ายยุวชน นาบีรยองใช้แสงประทานของคิมยูรีสร้างคลื่นยักษ์จนเกาะถูกทำลายไปกว่าครึ่ง
เอนามีถูกกวาดล้างไปหมดก็จริง แต่ก็แลกมาด้วยความเสียหายทางทรัพย์สินและชีวิตคนพอสมควร
ทางโรงเรียนและสมาคมช่วยรับผิดแทน และพยายามปกป้องคิมยูรีอย่างสุดความสามารถ แต่เจ้าตัวรู้สึกสำนึกผิดอย่างรุนแรงจนปฏิเสธการมาโรงเรียน
แต่กับโลกนี้แล้วไม่ใช่
“แสงประธานของเธอไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร”
ได้ยินคำพูดฉัน คิมยูรีค่อยๆ เงยหน้า
“กลับกัน ถ้าไม่มีแสงประทานของเธอ การปราบปรามเอนามีคงยากกว่านี้หลายเท่า”
“อึยชินพูดถูก!”
“ใช่! ผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่มาจากที่อื่น และไม่มีอาคารเสียหายเพราะยูรีแม้แต่หลังเดียว!”
คิมยูรีลังเลอยู่สักพักก่อนจะเปิดปาก
“พวกนาย… ไม่กลัวพลังของฉันหรือไง ถ้ามันคลุ้มคลั่งอีกล่ะ…”
เด็กๆ เรียงคิวกันตอบคำถามคิมยูรี
“ไม่เลยสักนิด พลังในระดับเดียวกันจะไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน เว้นเสียแต่เธอตั้งใจปลดปล่อย”
วังจีโฮเปิดหัวด้วยข้อเท็จจริง
“โลกนี้น่ากลัวกว่าแสงประทานของเธอตั้งเยอะ”
“ใช่! แล้วก็พลังของยูรีจะใช้งานไม่ได้ถ้าไม่มีน้ำ เมื่อเทียบกันแล้ว พลังช้างสารผิดมนุษย์มนาของครูประจำชั้นห้อง 3/0 ยังน่ากลัวกว่าตั้งเยอะ!”
ฮันอีกับควอนเลนาช่วยเสริมพลางพยักหน้า
“ทำไมฉันต้องกลัวยูรีด้วยล่ะ…”
มินกือรินพูดด้วยสีหน้าดูสับสน
“ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ฉันบินหนีได้สบายมาก! แล้วก็… เดี๋ยวอึยชินก็คงหาวิธีรับมือได้เอง”
“ฉันจะแข็งแกร่งขึ้นจนไม่ต้องกลัวพลังนั้น”
ซาวอลเซอึมที่เกือบหลุดพูด ‘คำนั้น’ และเม็งเฮียวทง กับก็ช่วยกันเสริมอย่างหนักแน่น
คิมยูรีกวาดสายตามองผองเพื่อนเป็นเวลานานโดยไม่พูดไม่จา
“นี่… ถ้าเกิดว่า”
คิมยูรีพยายามงับคำอยู่หลายครั้ง
“ถ้าเกิดว่าฉันควบคุมพลังนี้ได้เมื่อไร… พวกเราออกไปเที่ยวกันเถอะ”
ได้ยินแบบนั้น ฉันมั่นใจทันที
อนาคตที่คิมยูรีจะเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน ไม่มีอยู่อีกแล้ว
ฉันตอบแทนเด็กในห้องทุกคน
“ถึงจะยังควบคุมไม่ได้ แต่ก็ไปเที่ยวกันได้… เริ่มจากที่ไหนดีล่ะ”
“…ใช่!”
หลังจากนั้น พวกเราวางแผนเที่ยวในช่วงปิดภาคเรียน
ไม่รู้ว่าคิมยูรีจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไร แต่แค่ได้วางแผนหาที่เที่ยวก็สนุกมากแล้วโuเวลกูดoทฺคoม
ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา
เด็กๆ เกือบทุกคนทยอยออกจากโรงพยาบาล ยกเว้นวังจีโฮที่ต้องเสริมพลังบาเรียให้คิมยูรีใหม่ และมินกือรินที่อาสาอยู่ดูแลซงแดซอก
ฮันอีกลับไปทำงานที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ส่วนควอนเลนามีนัดกับควอนเจอินที่เพิ่งกลับโซล
ขณะฉันเตรียมแวะคฤหาสน์วังมยองโฮเพื่อเก็บข้าวของ เม็งเฮียวทงคว้าแขนฉันไว้
“เฮ้ย รองหัวหน้าห้อง”
“ว่าไง”
เม็งเฮียวทงมองฉันด้วยสายตากังขา
“นายรู้อยู่แล้วว่าวันนั้นจะเกิดอะไรขึ้น?”
ในวันเกิดเหตุ ฉันฝากคำพูดผ่านเม็งเฮียวทงไปถึงคิมยูรี
ด้วยคำขอร้องแบบนั้น เป็นธรรมดาที่จะถูกสงสัย
แต่ฉันไม่ตอบ
เห็นฉันเอาแต่เงียบ เม็งเฮียวทงชกแขนมาหนึ่งที
“คราวหน้าต้องเล่าให้ละเอียดเลยนะ… ไอ้เวร!”
พูดจบ เม็งเฮียวทงหันหลังแล้ววิ่งเข้าไปในโรงเรียนคนเดียว
แม้เขาจะสมองหิน แต่การได้เห็นตัวละครพยายามทำความเข้าใจ หัวใจของฉันรู้สึกเหมือนถูกเติมเต็ม
“อึยชิน… ฉันมีบางเรื่องอยากปรึกษา…”
เมื่อเห็นว่าเม็งเฮียวทงพ้นระยะสายตาไปแล้ว ซาวอลเซอึมเดินเข้ามาใกล้
“ที่จริง… อาเซมินดูออกว่าฉันใช้แสงประทานน่ะ…”
ซาวอลเซมินดูออก?
ฉันไม่รู้ว่าพลังวิเศษของเขาเป็นแบบไหน แต่ขอเดาว่าเป็นสายวิสัยทัศน์เชิงลึก
“เขายังรู้ด้วยว่าเป้าหมายของแสงประทานคือจอมโจรผาแดง… ก็เลยอยากเชิญจอมโจรผาแดงมากินข้าวที่คฤหาสน์สักมื้อ ถ้านายไม่ขัดข้อง…”
“เอาสิ”
ฉันรับปากทันทีเพื่อให้หมอนี่หยุดพูด ‘คำนั้น’
* * *
ในความมืดมิด กลุ่มผีเสื้อที่เคลือบด้วยพลังวิเศษกำลังโบยบินในอากาศ
กลุ่มผีเสื้อเหล่านี้คอยโปรยปรายละอองแสงเป็นทางยาว
“ข้าพามาแล้ว”
เมื่อเสียงนาบีรยองดังขึ้น กลุ่มผีเสื้อหยุดกระพือปีกแล้วทยอยดิ่งลงพื้น จากนั้นก็ระเบิดเป็นแสงจ้า
ท่ามกลางความมืด บุคคลที่เดินออกจากแสงคือนาบีรยองกับเผ่าแท้กลุ่มหนึ่ง
“หยุดอยู่ตรงนั้น”
เมื่อเสียงอันเฉื่อยชาดังก้องกังวาน ทุกคนรีบชะงักฝีเท้า
เจ้าของเสียงที่สวมหน้ากากลุกจากที่นั่ง
“เห็นว่ามือขวาของผู้นำจะไม่กลับมา?”
นิ้วเรียวยาวของมันชี้ไปทางเผ่าหมีที่ยืนอยู่ด้านหลังนาบีรยอง
เผ่าหมีที่ถูกชี้หน้ารีบตอบคำถาม
“เราต้องรีบตั้งทีมช่วยเหลือขอรับ! ท่านมือขวาคงถูกจับไปขังไว้เพื่อทรมาน ไม่มีทางที่พวกมันจะฆ่าทิ้งแน่!”
ปลายนิ้วเรียวยาวชี้ไปหาเผ่าหมีคนต่อไป
“หมีจอมว้าวุ่นกับคนสนิททั้งสองกลับมาอย่างไร้รอยขีดข่วนขอรับ! นอกจากท่านมือขวาของผู้นำ เผ่าหมีทุกคนที่เข้าร่วมภารกิจล้วนถูกกวาดล้าง… ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด! ถึงพวกมันจะไม่ยอมปริปาก แต่เห็นได้ชัดว่าเผ่าหมีที่ตายไปล้วนถูกใช้เป็นเหยื่อล่อ! หมีจอมว้าวุ่นจำเป็นต้องได้รับโทษ!”
ทุกครั้งที่ปลายนิ้วชี้ไปหา เผ่าหมีทยอยพูดเรียงคน
สิ่งที่พวกมันพูดไม่แตกต่างจากสองคนแรกมากนัก
เมื่อชี้หน้าเผ่าหมีครบทุกคน น้ำเสียงแฝงความเบื่อหน่ายดังขึ้นอีกครา
“ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรวบรวมเอนามีให้ได้จำนวนมาก”
“…ขอรับ—!”
เผ่าหมีคนหนึ่งที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้พูด เผลอเปิดปากไวตามความเคยชิน
เมื่อตระหนักถึงความผิดพลาด มันรีบปิดปากสนิท
บรรดาเผ่าหมีที่กำลังหวั่นวิตก ยืนฟังชายในหน้ากากพูดต่อไป
“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดึงดูดเอนามีจำนวนมากให้มาเป็นบริวารของเผ่าแท้แค่คนเดียว… เป้าหมายของข้ามีเพียงการนำเครื่องเซ่นกลับมาให้ได้ ลงทุนช่วยขนาดนี้แล้ว ก็ควรได้รับผลตอบแทนกลับมาบ้างไม่ใช่หรือ”
บรรดาเผ่าหมีพยายามทำความเข้าใจประเด็นที่อีกฝ่ายจะสื่อ แต่ก็ไม่ง่ายเลย
มีเพียงนาบีรยองที่ก้มศีรษะลงเล็กน้อยพลางอมยิ้มในความมืด
“ความสำเร็จของผู้นำตกทอดมาถึงผู้น้อยฉันใด ความผิดพลาดก็ฉันนั้น”
ตุบตุบตุบตุบ—!
ทันทีที่ปลายนิ้วเรียวยาววาดไปในอากาศ เผ่าหมีทยอยล้มลงทีละคนสองคน
“อ…อะไรกัน…!”
“ห…หายใจไม่ออก!”
นิ้วของมันขยับอย่างชดช้อยเพื่อวาดข่ายมนตราบางอย่าง
ในทุกการขยับนิ้ว แรงดันพลังวิเศษไม่เพียงจะช่วงชิงลมหายใจเผ่าหมี แต่ยังรวมถึงพลังวิเศษด้วย
“ข้าสั่งให้นำเครื่องเซ่นกลับมาก่อนถึงวันชิลซ็อก* แต่พวกเจ้ากลับสนใจมือขวาผู้นำมากกว่าคำสั่งของข้า”
(วันชิลซ็อก – วันที่ดาวแพะกับดาวพิณมาบรรจบกัน)
เผ่าหมีพยายามอ้าปากเพื่อแก้ต่าง แต่เสียงเดียวที่เล็ดลอดออกมา คือเสียงโหยหาอากาศหายใจ
“ตัวหมากที่ไม่ทำตามคำสั่งเจ้านายย่อมไม่มีประโยชน์ ในเมื่อพวกเจ้าพาเครื่องเซ่นที่ข้าหมายตากลับมาไม่ได้ ก็จงกลายเป็น ‘เสาเอก’ ให้ข้าเสียเถิด”
เมื่อข่ายมนตราเสร็จสมบูรณ์ เผ่าหมีทั้งหมดถูกกลืนหายในพริบตา
นาบีรยองรีบคุกเข่าคำนับด้วยท่าทีนอบน้อมสุดขีด
“อภัยให้ข้าด้วย… ข้าโง่เขลาจนดูไม่ออกว่า เจ้าพวกไร้ประโยชน์นั่นอ่อนหัดเกินกว่าจะทำงานให้ท่าน”
“เงยหน้าขึ้นเถอะ”
นาบีรยองจ้องหน้าชายสวมหน้ากากอย่างสำนึกผิด
เป็นใบหน้าที่ยากจะจินตนาการได้ว่า เธอคิดจะยืมพลังของ ‘ร่างอวตารแมกโนเลีย’ เพื่อทำลายแผนการของอีกฝ่าย
“ถ้าเจ้ามองว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของตัวเองจริง ข้าจะมอบโอกาสให้แก้ตัว”
“เชิญรับสั่งมาได้ทุกเรื่อง”
ชายสวมหน้ากากยกนิ้วขึ้นมาวาดอากาศแล้วพูด
“…เกี่ยวกับนางทรงน่ะ”