📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 308

บทที่ 308 - การสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดู
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

กระทั่งชื่อก็ไม่คิดบอก?

สาวน้อยน่ารักอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ก่อนจะกล่าว “หรือว่าคุณชายจะเป็นลูกหลานของตระกูลชั้นสูง มีชาติกำเนิดเหนือธรรมดา จึงเกรงว่าหากเอ่ยชื่อออกมาแล้วจะถูกพวกเราเกาะจับเช่นนั้นหรือ?”

ซูอี้กล่าว “ข้ากังวลว่าจะทำให้พวกเจ้าพลอยเดือดร้อน”

“เดือดร้อน?”

สาวน้อยน่ารักตะลึงไปชั่วครู่ จึงกล่าว “คงไม่ใช่เพราะเจ้าไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้กระมัง? ลองเล่ามาให้ฟังหน่อย บางทีพวกเราอาจมีวิธีช่วยเจ้าได้”

ซูอี้ยิ้ม ๆ พลางกล่าว “ไม่ถึงกับไปก่อเรื่องอะไรไว้ ข้าสามารถแก้ไขเองได้”

เห็นว่าสาวน้อยหน้าใสยังต้องการจะถามอีก ชายหนุ่มชุดขาวจึงกล่าวยับยั้ง “ศิษย์น้อง คุณชายท่านนี้ไม่อยากจะบอก เจ้าอย่าได้ถามอีกเลย”

นิ่งเงียบไปสักครู่ เขาก็กล่าวต่อซูอี้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากว่าคุณชายต้องการความช่วยเหลือ ขอเพียงพวกเราสามารถช่วยได้ ไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”

น้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงด้วยความมั่นใจในตัวเอง

ซูอี้เป็นบุคคลระดับใดมีหรือจะมองไม่ออกว่า ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดี บนตัวของพวกเขามีคุณธรรมที่หาได้ยาก

หากเขาสันนิษฐานไม่ผิด จนถึงตอนนี้ทั้งสองคงยังไม่เคยเจอปัญหาอุปสรรคใหญ่โตมาก่อน จึงได้มีคุณธรรมแห่งจอมยุทธ์หลงเหลือภายในจิตใจ

เช่นนี้ทำให้ซูอี้รู้สึกชื่นชมนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป เมื่อได้ประสบเจอกับเรื่องราวมากมายแล้ว ยังจะสามารถรักษาคุณธรรมความดีเช่นนี้ได้อีกหรือไม่

ระหว่างทาง ถึงแม้ซูอี้จะไม่เคยถาม แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกับศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้ เขาก็สามารถรู้ได้ว่าชายหนุ่มชุดขาวมีนามว่าฟู่ชิงเหยี่ยน

สาวน้อยหน้าใสมีนามว่ากูไฉ่หนิง

ทั้งสองมาจากตำหนักซิงหยาซึ่งตั้งอยู่ในเขตแดนแคว้นหงแห่งอาณาจักรต้าโจว

——

แม่น้ำชิงหลาง ท่าเรือข้ามฟากวสันต์ทะเล

เมื่อทั้งสามคนมาถึง ก็เห็นแม่น้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล น้ำไหลเชี่ยวกราก สาดกระทบชายฝั่ง คลื่นซัดสีขาวประดุจหิมะ ช่างน่าตื่นตาตื่นใจนัก

ท่าเรือข้ามฟากวสันต์ทะเลมีเรือสำราญลำหนึ่งจอดอยู่ มีความยาวถึงสามสิบจั้ง มีเสากระโดงมากมาย และสำเภาใบใหญ่

“พี่ชิงเหยี่ยน แม่นางไฉ่หนิง พวกเจ้ามาถึงสักที!”

บนเรือสำราญ ชายหนุ่มชุดดำร่างสูงใหญ่งามสง่ายิ้มพลางกวักมือเรียก “รีบขึ้นมาคุยกันบนเรือ ผ่านไปอีกหนึ่งเวลาถ้วยชาเรือก็จะออกแล้ว”

ชายหนุ่มชุดขาวฟู่ชิงเหยี่ยนยิ้มพลางประสานมือคารวะ จากนั้นขึ้นเรือสำราญลำนี้พร้อมกับซูอี้และกูไฉ่หนิง

“พี่ชิงเหยี่ยน ท่านนี้คือ?”

ชายหนุ่มชุดดำเบนสายตามองไปที่ซูอี้ ยิ้มพลางถาม

ฟู่ชิงเหยี่ยนยิ้มพลางตอบ “สหายที่รู้จักกันระหว่างทาง เขาจะมุ่งหน้าไปยังนครหลวงอวี้จิงเหมือนกับพวกเรา ดังนั้นจึงเดินทางมาด้วยกัน”

พูดจบ เขาก็แนะนำให้ซูอี้รู้จัก “ท่านนี้คือเหยียนเหวินฝู่ ศิษย์สืบทอดคนสำคัญของตำหนักคงต้ง บุคคลรุ่นใหม่ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่ว อายุเพียงแค่สิบเก้าปีเท่านั้นก็ย่างก้าวสู่ขอบเขตแห่งปรมาจารย์แล้ว ตำหนักคงต้งจึงให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างมาก”

ชายหนุ่มชุดดำยิ้มอย่างมีมารยาท พลางกล่าว “พี่ชิงเหยี่ยนชมเกินไปแล้ว พวกเจ้าตามข้ามา บนเรือสำราญลำนี้ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เดินทางไปร่วมงาน ‘การสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดู’ เหมือนกับพวกเรา ประเดี๋ยวข้าจะแนะนำให้พวกเจ้าได้รู้จัก”

พูดจบก็เดินนำทาง ขึ้นไปยังส่วนบนสุดของเรือ

เรือสำราญลำนี้มีด้วยกันทั้งหมดสามชั้น ชั้นบนสุดสร้างเป็นเวทีหยกกับตำหนักที่มีปลายหลังคาแหลมสูง มองดูไกล ๆ ก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดของแม่น้ำชิงหลางได้

ในตำหนักแห่งหนึ่งเวลานี้ มีหญิงชายวัยหนุ่มสาวนั่งรออยู่แล้วสิบกว่าคน กำลังพูดคุยดื่มสุรากันอย่างคึกคัก

เมื่อเหยียนเหวินฝู่พาทั้งสามคนไปถึง สร้างความสนใจดึงดูดสายตาหลายคู่ให้มองมา

คนที่นั่งตำแหน่งประธานเป็นชายหนุ่มสวมเกล้าขนนก ใส่ชุดคลุมยาวสีเหลืองหยก ดวงตาเฉียบแหลมเป็นประกาย ยิ้มพลางเชิญพวกเขาให้นั่งลง

ทว่า ที่นั่งในตำหนักมีไม่พอ เหลือแต่เพียงที่นั่งที่ใกล้กับประตูตำหนัก เป็นที่นั่งค่อนข้างห่างไกล

ด้วยเหตุนี้ เหยียนเหวินฝู่จึงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก กล่าวขึ้นมาเบา ๆ “พี่ชิงเหยี่ยน พวกเรามาถึงช้า นั่งตรงนี้ไปก่อน”

ฟู่ชิงเหยี่ยนยิ้มพลางพยักหน้า

ซูอี้ไม่ติดใจเอาความอยู่แล้ว เดิมทีเขาก็เพียงแค่บังเอิญพบกับพวกเขาเท่านั้น ทำตัวตามสบายก็ได้แล้ว

ดังนั้นคนทั้งหมดจึงนั่งลง

“คุณชาย ผู้ที่นั่งตำแหน่งประธานมีนามว่าเวินอวี้ชง เป็นคนรุ่นใหม่อันดับหนึ่งของตำหนักหลูหยาง มีชื่อเสียงโด่งดังมาก อายุเพิ่งยี่สิบกว่า ๆ เท่านั้นก็มีผลการฝึกตนเป็นปรมาจารย์ขั้นสามแล้ว ว่ากันว่าฝ่าบาททรงรับปากว่าขอเพียงเวินอวี้ชงติดสามอันดับแรกใน ‘การสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดู’ ได้จะแต่งตั้งให้เขาเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่!”

กูไฉ่หนิงบอกเบา ๆ น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความนับถือ

คนที่นางพูดถึงก็คือชายหนุ่มผู้สวมเกล้าขนนก ดวงตาเฉียบแหลมคนนั้น และเขาก็เป็นผู้จัดงานเลี้ยงครั้งนี้ขึ้นเช่นกัน

ชายหนุ่มหญิงสาวที่นั่งกับที่เหล่านั้นต่างก็แสดงสีหน้าเคารพยำเกรงต่อเวินอวี้ชงขณะที่พูดคุยกับเขา

ซูอี้ส่งเสียงรับอืม จากนั้นยกกาสุราขึ้นรินและดื่ม สายตาบังเอิญมองไปนอกตำหนักก็เห็นว่าบนแม่น้ำที่กว้างใหญ่ ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายกับภาพวาดที่ใช้น้ำหมึกสีดำสาด งดงามยิ่งนัก

“ใช่แล้ว การสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูคืออะไร?”

ซูอี้ดื่มสุราไปจอกหนึ่งพลางถาม

กูไฉ่หนิงนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ สายตาดูประหลาด “ข้าชักเริ่มสงสัยแล้วว่า เจ้าเป็นคนสมัยเดียวกับพวกเราหรือไม่ กระทั่งข่าวคราวการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูก็ยังไม่สนใจ…”

พูดจบ นางยังคงอธิบายที่มาที่ไปของการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูให้ฟังด้วยความใจเย็น

ที่แท้แล้ว ทุกวันที่หนึ่งเดือนแปดของทุก ๆ สามปี ต้าโจวจะจัดให้มีการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูขึ้น เพื่อคัดเลือกบุคคลสุดยอดในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่

ในครั้งนี้ ศิษย์ของสิบตำหนัก รวมถึงคนเก่งรุ่นใหม่ในอาณาเขตหกแคว้นใหม่ต่างก็เข้าร่วมในงานการสอบนี้

หากว่าติดห้าอันดับแรกในการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูได้ จะได้รับพระราชทานรางวัลและแต่งตั้งตำแหน่งในราชสำนักต้าโจว

ยิ่งกว่านั้นผู้ที่ติดสิบอันดับแรกยังมีโอกาสเข้ารับใช้ภายในราชสำนักอีกด้วยโนlวลกูดอทคoม

ส่วนตำแหน่งจอหงวน ป๋างเหยี่ยน กับทั่นฮวา ซึ่งติดสามอันดับแรก รุ่งเรืองอย่างที่สุดโดยมิต้องสงสัย

ไม่เพียงแต่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิและรับแต่งตั้งตำแหน่งเท่านั้น ยังสามารถเข้าฝึกตนที่สำนักดาบมังกรเร้นได้อีกด้วย!

ดังเช่นหญิงชายหนุ่มสาวที่นั่งอยู่ในตำหนักใหญ่แห่งนี้ แต่ละคนมาจากสถานที่ต่าง ๆ ของต้าโจว ต่างก็เป็นผู้มีความสามารถชั้นแนวหน้าในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เดินทางไปนครหลวงอวี้จิงก็เพื่อเข้าร่วมการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูในครั้งนี้ทั้งสิ้น

เมื่อทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูอี้ก็กล่าวขึ้นด้วยความสงสัย “ตอนนี้เพิ่งวันที่สิบห้าเดือนสี่เท่านั้น ยังห่างไกลจากเดือนแปด เหตุใดจึงต้องเดินทางไปตั้งแต่ตอนนี้ด้วย?”

กูไฉ่หนิงได้ยิน สุดท้ายจึงมั่นใจได้ว่าผู้ชายที่ดูหน้าตาดีไม่ธรรมดาคนนี้ ที่แท้แล้วไม่ได้รู้กฎระเบียบการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูเลยจริง ๆ

คิดสักครู่ นางจึงตอบ “ต้องการจะเข้าร่วมการสอบยุทธ์ภาควสันตฤดู ยังต้องผ่านการทดสอบและคัดเลือกอีกหลายครั้ง สุดท้ายคนที่สามารถเข้าร่วมการสอบยุทธ์ได้จะมีเพียงแค่สามร้อยคนเท่านั้น การทดสอบเช่นนี้จะเริ่มมีขึ้นในกลางเดือนหน้า และดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงวันที่หนึ่งเดือนแปด”

ซูอี้จึงเข้าใจ

และในขณะนี้เอง มีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากที่นั่งด้านหนึ่ง “น่าสนใจ กระทั่งการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูก็ยังไม่รู้จัก กลับอยู่ในตำหนักแห่งนี้ได้ หรือว่าสหายท่านนี้มาเพื่อหลอกดื่มกิน?”

คนที่พูดคือชายหนุ่มร่างผอมสูงใส่ชุดคลุมยาวสีน้ำทะเล เวลานี้กำลังถือจอกสุราหมุนไปมาเล่นในมือ แสดงสีหน้าหยอกกระเซ้า

เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินคำสนทนาระหว่างซูอี้กับกูไฉ่หนิงเมื่อสักครู่

ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจ ทว่ากูไฉ่หนิงกลับขมวดคิ้วกล่าว “เว่ยเสียน พวกเราคุยกันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เจ้าควรจะให้ความเคารพกันบ้าง”

ชายหนุ่มชุดสีน้ำทะเลที่ถูกเรียกว่าเว่ยเสียนคนนั้นเบะปากพลางกล่าว “ข้าไหนเลยไม่ให้ความเคารพ ข้าเพียงแค่คาดไม่ถึงว่าในโลกนี้ยังมีคนที่ปิดหูปิดตาไม่รับรู้ข่าวสารก็เท่านั้น มีผู้ฝึกยุทธ์คนใดบ้างที่ไม่รู้เรื่องการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดู?”

พูดจบ เขาก็ส่ายหน้า ทำท่าขี้เกียจจะสนใจอีก

กูไฉ่หนิงรู้สึกไม่พอใจ ทว่าไม่อาจโต้แย้งได้

เป็นผู้ฝึกยุทธ์ งานใหญ่อันดับหนึ่งเช่นนี้กลับไม่รู้ ดูแปลกกว่าพวกจริง ๆ

ซูอี้ยิ้ม ๆ พลางยกจอกสุราขึ้นกล่าวกับกูไฉ่หนิง “ข้ายืมดอกไม้ถวายพระ ดื่มเคารพแม่นางหนึ่งจอก ขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือระหว่างการเดินทาง”

กูไฉ่หนิงยิ้มหน้าบาน ยกจอกสุราขึ้นดื่ม

ส่วนอีกด้านหนึ่ง เหยียนเหวินฝู่ชายหนุ่มชุดดำกดเสียงเบาถาม “พี่ชิงเหยี่ยน หนุ่มน้อยที่เดินทางมาพร้อมกับพวกเจ้า ที่แท้เป็นใครกัน เหตุใดจึงไม่รู้จักแม้กระทั่งการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดู?”

ฟู่ชิงเหยี่ยนยิ้มฝืดขึ้นมาทีหนึ่ง จากนั้นลดเสียงเบาตอบ “พี่เหยียน อย่าได้ใส่ใจ อืม… ถือเสียว่าคุณชายท่านนั้นเป็นเพียงแค่คนผ่านทางก็พอ”

เขาไม่อาจอธิบายอะไรได้มากนัก

“คนผ่านทาง…”

เหยียนเหวินฝู่ยิ้ม ๆ และไม่สนใจในตัวซูอี้อีก

ไม่นานนัก เรือสำราญลำนี้ก็เคลื่อนตัว แล่นทวนแม่น้ำชิงหลางอันกว้างใหญ่ไพศาล ไปนครหลวงอวี้จิงครั้งนี้ยังมีระยะทางอีกประมาณหกสิบกว่าลี้

ทว่าเนื่องด้วยน้ำในแม่น้ำชิงหลางไหลแรงเชี่ยวกราก อีกทั้งยังแล่นทวนน้ำ นั่งเรือสำราญต้องใช้เวลาถึงสองชั่วยามจึงจะถึงฝั่ง

ในตำหนัก จู่ ๆ เว่ยเสียนผู้ที่สวมชุดคลุมยาวสีน้ำทะเลคนนั้นก็กระแอมขึ้นมาแล้วกล่าว “ทุกท่านเคยได้ยินเรื่องการต่อสู้ที่ซูอี้ฟันเทพเซียนเดินดินเมื่อหลายวันก่อนหรือไม่?”

เรื่องนี้ดึงดูดใจของทุกคนในตำหนักในฉับพลัน

กระทั่งเวินอวี้ชงผู้ที่นั่งตำแหน่งประธานก็หัวเราะพลางเอ่ยขึ้นเช่นกัน “การต่อสู้ครั้งนั้นสั่นสะเทือนไปถึงใต้หล้า รู้กันไปทั่ว ใครบ้างไม่เคยได้ยิน?”

มีคนรำพึง “พูดถึงซูอี้ขึ้นมา เป็นคนที่น่ากลัวจนคาดไม่ถึงเลยคนหนึ่งจริง ๆ ว่ากันว่า… ปีนี้เขาอายุแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น…”

ทุกคนต่างรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง

พูดถึงซูอี้ แม้กระทั่งกูไฉ่หนิง ฟู่ชิงเหยี่ยน กับเหยียนเหวินฝู่ล้วนแสดงสีหน้าเปลี่ยนไป

มีแต่เพียงซูอี้เท่านั้นที่นั่งสงบนิ่งเหมือนเดิม

มีคนทนไม่ไหวถามขึ้นมา “พี่เว่ยเสียนมาจากแคว้นกุ่น หรือว่าจะเคยเห็นซูอี้?”

เว่ยเสียนผู้ที่ก่อนหน้านี้ยังเคยพูดเหน็บแนมว่าซูอี้ปิดหูปิดตาไม่รับรู้ข่าวสาร เวลานี้กลับจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและนั่งตัวตรง กล่าว “บอกทุกท่านตามตรง เว่ยผู้นี้โชคดีเคยเห็นความงามสง่าของคุณชายซูท่านนั้น”

สายตาแฝงไว้ซึ่งความชื่นชมนับถือ

คำกล่าวนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในตำหนัก

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าลองเล่าให้พวกเราฟังหน่อย”

เวินอวี้ชงที่นั่งตำแหน่งประธานกล่าวด้วยความสนใจอยากรู้

กูไฉ่หนิงอดไม่ได้เงี่ยหูคอยฟัง

กระทั่งซูอี้ก็ยังตะลึง เมื่อก่อน คน ๆ นี้เคยเห็นตัวเองเช่นนั้นหรือ?

เห็นสายตาของคนทั้งหลายต่างก็จับจ้องมาที่ตนเอง เว่ยเสียนรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นมาในทันใด

“ยังคงจำได้ว่า ตอนนั้นเป็นงานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิมแห่งแคว้นกุ่น ข้าไปกับบิดายืนอยู่ใต้เชิงเขา เคยเห็นซูอี้กับองค์ชายหกขึ้นสู่ยอดเขาพร้อมกัน…”

เขาเล่าถึงเหตุการณ์การต่อสู้ในงานเลี้ยงน้ำชาพลางใส่อารมณ์เต็มที่จนน้ำลายกระเด็นไปทั่ว คนอื่น ๆ ฟังแล้วหัวใจแทบเต้นตาม ส่งเสียงร้องตกใจติดต่อกัน

มีแต่ซูอี้เพียงคนเดียวที่มีสีหน้าประหลาด

หากว่าคน ๆ นี้อยู่ใต้เชิงเขาประจิมด้วย ไหนเลยจะสามารถมองเห็นการต่อสู้ในงานเลี้ยงน้ำชาได้?

อย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าหมอนี่กำลังพูดโม้โอ้อวด

“เฮ้อ น่าเสียดายที่ตอนนั้นอยู่ห่างไกลเกินไป ข้าจึงมองเห็นเพียงแค่คร่าว ๆ เท่านั้น ไม่อาจเข้าร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตนเอง ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”

พูดถึงท้ายสุด เว่ยเสียนก็ทอดถอนใจยาว ๆ

สุดท้ายกูไฉ่หนิงทนไม่ไหว กล่าว “เว่ยเสียน ถ้าเช่นนั้นเจ้าลองบอกมาสิว่าซูอี้คนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร น่ากลัวอย่างที่เล่าขานกันหรือไม่?”

“ไร้สาระ เหตุใดพวกผู้หญิงอย่างพวกเจ้าถึงมักจะสนใจแต่รูปภายนอกของผู้ชาย?”

เว่ยเสียนชายตามองดูกูไฉ่หนิง กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังเปี่ยมคุณธรรม “ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตน สิ่งที่ควรจะให้ความสนใจ ควรจะเป็นเรื่องที่ว่าซูอี้ทำอย่างไรจึงกลายเป็นคนแข็งแกร่งได้ไม่ใช่หรือ?”

กูไฉ่หนิงถูกต่อว่าจนรู้สึกกระดากอาย ในใจมีแต่ความละอาย

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset