📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 267

บทที่ 267 - โดดเดี่ยวในวันที่สี่เดือนสี่
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

ข้างบานหน้าต่างที่เปิดอ้า ชายในชุดคลุมหันกลับมาและเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งได้ข่าวว่าซูอี้จะเดินทางไปนครหลวงอวี้จิงในวันที่สี่เดือนสี่”

หลังจากหยุดไปครู่ ชายในชุดคลุมก็เอ่ยต่อ “หากข้าคาดไม่ผิด ระหว่างทางเขาจะต้องเผชิญทั้งการสกัดกั้นและลอบสังหารมากมาย”

สตรีและชายชราผมสีเงินผู้ซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างนักหรี่ตาลงเล็กน้อย

สตรีผู้นั้นเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่หลี่ ข่าวนี้น่าเชื่อถือหรือไม่”

“ข่าวมาจากตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิง มันหาได้เป็นความลับใดไม่”

ผู้พูดคือหลี่ตงหลิว

ผู้อาวุโสสายในแห่งสำนักดาบมังกรเร้น บุคคลผู้ซึ่งเข้าสู่ขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์มาแล้วเป็นเวลายี่สิบปี!

หรือให้พูดอย่างเถรตรง หลี่ตงหลิวนับได้ว่าเป็นผู้บ่มเพาะอันแท้จริง ความแข็งแกร่งของเขานั้นนับได้ว่าผู้ใดเทียบเทียมได้ยากแม้จะอยู่ในขอบเขตเดียวกัน

สตรีผู้ที่อยู่ด้านข้างอุทานด้วยความประหลาดใจ “ตระกูลซูเผยแพร่ข่าวเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาวางแผนยืมมือผู้อื่นกำจัดซูอี้?”

เลี่ยวอวิ้นหลิว

นางคือผู้อาวุโสลำดับสองสายนอกแห่งสำนักดาบมังกรเร้น ฉายา ‘ดาบวินาศ’ บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ผู้ซึ่งเป็นเลิศในวิถีดาบ

เมื่อยี่สิบปีที่แล้วระหว่างที่นางยังอยู่ในปรมาจารย์ขั้นห้า นางเคยสามารถสังหารบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้!

“สิ่งนี้เป็นเรื่องไม่แปลกเลย หลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่จวนเจ้าแคว้น ความสัมพันธ์ของซูอี้และตระกูลซูนับได้ว่าขาดสะบั้นลงโดยสมบูรณ์ ตอนนี้คนทั้งโลกต่างกำลังรอดูว่าตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร”

ชายชราผู้นั่งอยู่เอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมย “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การเปิดเผยเวลาการเดินทางของซูอี้ไปยังนครหลวงอวี้จิงล่วงหน้านั้นไม่ต่างจากยืมมือผู้อื่นฆ่าคนแม้แต่น้อย”

หลีชาง

ผู้อาวุโสใหญ่สายนอกของสำนักดาบมังกรเร้น บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบ ว่ากันว่าอีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิด ความแข็งแกร่งของเขานั้นยากจะหยั่งถึง

“ตอนนี้เรามีทางเลือกแล้ว”

หลี่ตงหลิวพูดอย่างเฉยเมย “หากเราลงมือตอนนี้ ตราบใดที่เราสามารถสังหารซูอี้ได้ ‘โชค’ ของซูอี้จะเป็นของสำนักดาบมังกรเร้นเราแต่เพียงผู้เดียว”

“หรือเราจะรอให้เขาออกจากนครหลวงอวี้จิงในวันที่สี่เดือนสี่ และรอโอกาสที่จะลงมืออีกครั้ง”

“นี่คือตัวเลือกทั้งสองซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทว่าข้าชอบอย่างหลังมากกว่า”

“ท้ายที่สุด เรายังไม่รู้ว่าพลังต่อสู้ของซูอี้มากล้ำเพียงใด และไม่รู้ว่าเขามีไพ่ตายอันทรงพลังที่เราไม่รู้จักอยู่เท่าไร การลงมือจู่โจมโดยไม่รู้สิ่งใดเลยเช่นนี้นับว่าไม่ฉลาด”

หลังจากหยุดชั่วคราว หลี่ตงหลิวกล่าวต่อ “และในเมื่อเด็กผู้นี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็เดินทางไปที่นครหลวงอวี้จิงอยู่แล้ว ดังนั้นชะตากรรมของเขาย่อมถูกกำหนดให้ถูกสกัดกั้นและเผชิญการลอบสังหารมากมายตลอดทาง ด้วยวิธีนี้เราสามารถยืมมือผู้อื่นตรวจสอบเขาได้ และเมื่อใดที่ทุกอย่างเหมาะสม เมื่อนั้นเราค่อยลงมืออีกครั้งก็ยังไม่สายไป”

“ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของการทำเช่นนี้คือเด็กคนนี้มีแนวโน้มจะถูกผู้อื่นสังหาร และเราจะถูกขโมยโชคลาภไปเสียก่อน”

หลังจากนั้นหลี่ตงหลิวเหลือบมองหลีชางและเลี่ยวอวิ้นหลิวพูดว่า “พวกท่านคิดเห็นอย่างไร”

หลีชางยิ้มและเอ่ยตอบ “ข้าคิดเห็นเช่นเดียวกับผู้อาวุโสหลี่”

เลี่ยวอวิ้นหลิวลังเลอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดก็พยักหน้า

ซูอี้ไม่ใช่ปรมาจารย์ขั้นหนึ่งธรรมดา เขาเคยฆ่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ดังนั้นถ้าหากบอกว่าซูอี้ไม่มีไพ่ตายในมือเลยคงไม่มีใครเชื่อ

ด้วยเหตุนี้เหล่าตัวตนยิ่งใหญ่ทั้งสามจากสำนักดาบมังกรเร้นจึงระมัดระวัง

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามนี้ ในวันที่สี่เดือนสี่ เราจะออกเดินทางติดตามซูอี้ไป!”

ดวงตาของหลี่ตงหลิวเป็นประกาย

“หลิงเสวี่ย ข้าจะไปนครหลวงอวี้จิงในวันที่สี่เดือนสี่ ช่วงเวลาระหว่างนั้นข้าอยากให้เจ้าอยู่แต่ในตำหนักเทียนหยวนอย่าได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ใด”

ซูอี้นั่งอยู่ริมทะเลสาบในเรือนพำนักหินศิลา เขาเอ่ยเตือนเบา ๆ

ขณะที่พูด เขาหันมองไปที่ฉาจิ่น “เจ้าก็เช่นกัน”

เหวินหลิงเสวี่ยและฉาจิ่นทั้งคู่พยักหน้า

“ท่านอาซูอี้ แล้วข้าเล่า?”

เจิ้งมู่เหยาอดไม่ได้ที่จะถาม

ซูอี้กล่าวว่า “เจ้าเป็นศิษย์ของตำหนักเทียนหยวนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

เจิ้งมู่เหยาสีหน้าแข็งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะอย่างเก้อเขิน “เอ่อ… จริงด้วย~”

“นายท่าน ท่านจะไปเพียงคนเดียวเลยงั้นหรือ?” ฉาจิ่นถามเบา ๆ สีหน้าของนางบ่งบอกถึงความกังวล

ซูอี้กล่าวตอบ “มากคนมากความ”

ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับอันตรายร้ายแรง เขาก็ยังมีวิธีแก้ไขnᴏveʟɢᴜ.cᴏᴍ

ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ที่เขาไปนครหลวงอวี้จิงไม่ใช่เพื่อท่องเที่ยว ดังนั้นการพาผู้อื่นไปด้วยมันย่อมจะกลายเป็นภาระให้กับตัวเอง

เมื่อใกล้ค่ำ หนิงซือฮวาก็กลับมาพร้อมกับนกอินทรียักษ์อีกครั้ง

“สหายเต๋า นี่เป็นของขวัญขอบคุณท่านจากหลานซัว โปรดรับมันด้วยเถิด”

หนิงซือฮวาหยิบกล่องหยกออกมาแล้วยื่นให้ซูอี้

ซูอี้กล่าวว่า “เมื่อระหว่างข้าช่วยนาง ข้าได้เอาเศษเสี้ยววิญญาณร้ายมาสร้างประโยชน์ให้กับตัวข้าแล้ว ซึ่งแค่นั้นนับว่าเพียงพอ เจ้าจงนำกล่องหยกนี้กลับคืนไปเถิดข้าไม่ต้องการ”

หนิงซือฮวาส่ายหัวและกล่าวว่า “หนี้ชีวิตก็คือหนี้ชีวิต บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่หลวงไม่อาจมองข้าม หลานซัวต้องการขอบคุณท่านด้วยความจริงใจ หากท่านปฏิเสธ นางคงไม่อาจหลับได้ลงเป็นแน่แท้”

ซูอี้ไม่เคยต้องการอยากจะวุ่นวายกับปัญหาทางโลกเล็กน้อยเช่นนี้ ทว่าด้วยความแน่วแน่ของหนิงซือฮวา เขาจึงไม่พูดอะไรต่อและยอมรับกล่องหยกทันที

หนิงซือฮวายิ้มอย่างอ่อนหวาน ทว่าดวงตาของนางแฝงด้วยความนัย “ท่านไม่เปิดดูสักหน่อยหรือว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างใน”

ซูอี้ประหลาดใจ มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับของในกล่องหยกนี้?

เขาเปิดกล่องหยกอย่างเฉยเมย แต่แล้วยามที่กล่องแง้มออก แสงรัศมีอันงดงามซึ่งเต็มไปด้วยสีสันเจิดจ้าออก จากนั้นเขาเห็นชัดเจนว่ารัศมีที่เจิดจ้านี้สำแดงออกมาจากเหล่าลูกปัดหยกที่อยู่ภายใน

ภายในกล่องคือลูกปัดหยกห้าเม็ดซึ่งถูกคล้องไว้ด้วยสายเอ็น ลูกปักหยกเหล่านี้มีห้าสีได้แก่ แดง เขียว เหลือง ขาว และดำ แต่ละเม็ดถูกโอบล้อมด้วยรัศมีทั้งห้าธาตุของไฟ ไม้ ดิน ทอง และน้ำตามลำดับ ซึ่งเชื่อมโยงหมุนเวียนด้วยหลักแห่งฟ้าดิน

“ลูกปัดหยกปัญจธาตุ?”

ซูอี้อดแปลกใจไม่ได้

ในเก้ามหาแดนดิน ‘ลูกปัดหยกปัญจธาตุ’ คือสมบัติที่เหล่าผู้บ่มเพาะวิถีวิญญาณมักจะสร้างขึ้นเพื่อมอบให้กับเหล่าศิษย์ของตนเองที่อยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ใช้มันเพื่อปรับเสริมรากฐานเต๋าให้มั่นคง

แม้ว่าของสิ่งนี้จะไม่ใช่ของแปลกอันใด แต่ซูอี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่าในโลกนี้ที่แห้งแล้ง เขาจะยังมีโอกาสเห็นสมบัตินี้ได้

ต้องรู้ว่าการสร้างลูกปัดหยกปัญจธาตุนั้นจำเป็นต้องรวบรวม ‘มวลพลังธาตุทั้งห้า’ จนเพียงพอ จากนั้นผู้บ่มเพาะวิถีวิญญาณจึงจะสามารถควบแน่นมวลพลังธาตุทั้งห้าและสร้างมันขึ้นมาได้

อันที่จริงยังไม่จำเป็นต้องพูดถึงการรวบรวม ‘มวลพลังธาตุทั้งห้า’ เอาแค่เพียงประเด็นเรื่องในทวีปคังชิงนี้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดที่ถูกเรียกว่าเทพเซียนเดินดินนั้นนับได้ว่าหายากมากแล้ว นับประสาอะไรกับการหาผู้บ่มเพาะขั้นวิถีวิญญาณสักคนมาสร้างมัน

ตามข่าวลือ มีเฉพาะใน ‘อาณาจักรต้าเซี่ย’ ผู้ปกครองทวีปคังชิงเท่านั้นที่มีข่าวลือเรื่องผู้บ่มเพาะวิถีวิญญาณ

หนิงซือฮวากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หลานซัวตั้งใจมอบลูกปัดหยกปัญจธาตุนี้ให้ท่านหลังจากนางได้รับรู้ระดับการบ่มเพาะของท่าน ตราบใดที่สหายเต๋าชอบ ข้าก็โล่งใจ”

ซูอี้เอ่ยถามอย่างครุ่นคิด “สหายของเจ้าได้สมบัตินี้มาจากที่ใดกัน?”

หนิงซือฮวาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หลานซัวมาจากสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน หนึ่งในสามสำนักยุทธ์อันยิ่งใหญ่แห่งต้าฉิน และตัวตนของนางนั้นพิเศษสูงส่งยิ่ง สำหรับคนอื่น ๆ ลูกปัดหยกปัญจธาตุนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แต่สำหรับนางมันไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นหากนางต้องการได้มาครอบครอง”

“กลายเป็นว่าสหายของเจ้าคือศิษย์สำนักใหญ่”

ซูอี้พยักหน้า

เขารู้ว่าในบรรดาสามอาณาจักรที่มีพรมแดนติดกับต้าโจว ต้าฉินเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจมากที่สุด

ในแง่ของกองกำลังสำนักยุทธ์อันยิ่งใหญ่เพียงอย่างเดียว ในอาณาจักรฉินนั้นมีถึงสามสำนัก ซึ่งห่างไกลหากเทียบกับต้าโจวซึ่งมีสำนักดาบมังกรเร้นเพียงสำนักเดียว

หลานซัวนี้มาจากสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนแห่งต้าฉิน และแม้แต่หนิงซือฮวายังกล่าวว่าสถานะของนางนั้นพิเศษสูงส่งอย่างยิ่ง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่มีทางที่ผู้บ่มเพาะธรรมดาทั่วไปจะเทียบเทียมกับนางได้

หลังจากคุยกันไปสักพักหนิงซือฮวาก็ออกไป

แน่นอนว่าเหวินหลิงเสวี่ยก็ถูกพาตัวไปเช่นกัน

นับจากวันนี้เป็นต้นไป ชีวิตของซูอี้เข้าสู่สภาวะสุขสงบชั่วคราว

นอกเหนือจากการฝึกฝน ชายหนุ่มยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบ่มเพาะแก่ฉาจิ่น และนอกจากนี้ เขายังเปิดปัญญาให้ลูกพยัคฆ์ สอนวิธีการบ่มเพาะที่เรียกว่า ‘ผสานเรียงดารา’ ให้กับมัน

สองวันต่อมา

วันนี้คือวันที่สามสิบเดือนสาม หยวนอู่ทงผู้นำตระกูลหยวนได้นำหยวนลั่วซี หยวนลั่วอวี่ เฝิงเสี่ยวเฟิง เฝิงเสี่ยวหราน และคนอื่น ๆ รวมทั้งหวงอวิ๋นชง ผู้นำตระกูลหวงแห่งเมืองกว่างหลิงมาเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง

ซูอี้จัดงานเลี้ยงและสนทนาระหว่างดื่มกับเขา

ในท้ายที่สุด เฝิงเสี่ยวเฟิงและเฝิงเสี่ยวเหรินก็ถูกซูอี้ส่งตัวต่อไปยังตำหนักเทียนหยวนเพื่อการบ่มเพาะในอนาคต และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้พี่น้องคู่นี้ถูกศัตรูของเขาจับตัวไปอีก

วันแรกของเดือนสี่

ซูอี้ฝึกฝนเช่นเดิม แต่ทว่าวันนี้เขากินสมุนไพรวิญญาณระดับสี่ถึงเจ็ดชนิดในคราวเดียว ซึ่งมันทำให้ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ขั้นหนึ่งขั้นสมบูรณ์แบบ!

และในวันเดียวกันนี้ ซูอี้ก็ก้าวเข้าสู่ขั้นสองของขอบเขตปรมาจารย์ และเริ่มฝึกฝนตำแหน่งตับของเขา

ตับ ตำหนักแห่งธาตุไม้ ยิ่งฝึกฝนเส้นลมปราณก็ยิ่งแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ หล่อเลี้ยงพลังทั้งร่างกายยิ่งไหลลื่น ขจัดปราณปนเปื้อนในร่างกาย ส่งเสริมตันเถียนและจิตวิญญาณ

เมื่อมาถึงสถานะนี้ ความแข็งแกร่งของซูอี้เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน

วันที่สองของเดือนสี่

ซูอี้ได้รับจดหมายจากโจวจือหลีองค์ชายหกแห่งต้าโจว

ในจดหมาย โจวจือหลีบอกซูอี้ด้วยความกังวลว่าตอนนี้ทั้งต้าโจวรู้ว่าซูอี้จะเดินทางไปนครหลวงอวี้จิงในวันที่สี่ของเดือนสี่

เหล่าตัวตนที่โหดเหี้ยมและแข็งแกร่งในกองกำลังใหญ่น้อยจำนวนมากพร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้วเพื่อหยุดซูอี้ และฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากความลับที่เขาอาจมี

ในหมู่ตัวตนยิ่งใหญ่ที่ร่วมด้วย มีกระทั่งเหล่าปีศาจเฒ่าที่หายหน้าไปจากโลกมานานนม

ในตอนท้ายของจดหมาย โจวจือหลีบอกซูอี้ให้ระวัง ถ้าเป็นไปได้ เขาหวังว่าซูอี้ควรเปลี่ยนตารางเวลาเดินทาง

หลังจากอ่านจดหมายแล้วซูอี้ยิ้มเย้ย

วันที่สามของเดือนสี่

ซูอี้ส่งฉาจิ่นไปที่ตำหนักเทียนหยวน และทำข้อตกลงกับหนิงซือฮวา ว่าจะไปพบกับนางในเมืองจินหลิวซึ่งอยู่ห่างจาก ‘หุบเขาปีศาจวัดวิปัสสนา’ ราวสิบลี้หลังจากนี้

แน่นอนว่าหนิงซือฮวาจะแจ้งมู่ซีให้ไปที่หุบเขาปีศาจวัดวิปัสสนาด้วยเช่นกัน

วันที่สี่ของเดือนสี่

ในตอนเช้าฝนตกเบา ๆ จากท้องฟ้า

เหมือนเช่นเคย ซูอี้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยหลังจากฝึกฝนและอาบน้ำเสร็จ เขาถือร่มกระดาษน้ำมัน เดินออกจากเรือนพำนักหินศิลาเพียงลำพัง

ก่อนจะออกจากเมือง เขาแวะทานอาหารเช้าที่ภัตตาคารเตามัจฉาอชะในเมือง แล้วจึงเดินออกไปนอกประตูเมือง

เช่นเดียวกับตอนที่ออกจากมหานครอวิ๋นเหอ สำหรับซูอี้ เขาเลือกที่จะเดินทางด้วยการเดินเท้าท่องไปตามภูเขา แม่น้ำ ชมทิวทัศน์ตลอดทางซึมซาบในเต๋าแห่งฟ้าดิน

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset