📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 246

บทที่ 246 - เข้าสู่ขอบเขตแห่งปรมาจารย์
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

ก่อนที่จะเข้าหุบเขามารบุปผาโลหิต เต๋ากังที่ซูอี้ฝึกฝนได้มีเพียงแค่หนึ่งส่วนเท่านั้น

ทว่าตอนนี้ เขาฝึกฝนธาตุแท้ทั้งหมดในตัวจนเป็นเต๋ากังแล้ว

นี่ก็คือ ‘การแปรสภาพ’

เมื่อบรรลุสมบูรณ์ก็หมายความว่าผลการฝึกตนขอบเขตรวบรวมลมปราณบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว!

“ในที่สุดก็สามารถฝึกฝนขอบเขตหลอมกำเนิด…”

ขณะที่ครุ่นคิด ซูอี้ก็หยิบท้อไฟหยางบริสุทธิ์ที่เก็บรักษามานานออกมาสองผลโดยไม่ลังเล

นี่คือโอสถวิญญาณระดับสี่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยตัวสกัดธาตุไฟหยางบริสุทธิ์ มีคุณประโยชน์อย่างมากต่อการรวมชีพจรขอบเขตหลอมกำเนิด

หลังจากที่กลืนท้อไฟหยางบริสุทธิ์สองผลไปแล้ว ซูอี้จึงรู้สึกว่ากระแสร้อนเดือดปุดพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งตัว

เขาขับเคลื่อนเคล็ดลับเดินพลังที่เกี่ยวข้องกับบทหลอมกำเนิดซึ่งอยู่ในเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องอย่างไม่ลังเล จากนั้นจึงเริ่มนั่งสมาธิ

ขอบเขตหลอมกำเนิด คือการฝึกฝนอวัยวะทั้งห้าซึ่งประกอบด้วยหัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไต เปรียบได้กับเตาหลอมห้าจุด ด้วยเหตุนี้จึงถูกตั้งชื่อว่าขอบเขตหลอมกำเนิด

ฝึกตนจนถึงขั้นสุดยอด อวัยวะภายในจะแข็งแกร่งประดุจเตาหลอม กลืนหินทองคำเข้าไปก็สามารถหลอมละลายได้

วิชาฝึกที่ต่างกัน ตำแหน่งอวัยวะภายในที่ฝึกฝนขั้นที่หนึ่งของปรมาจารย์ก็ต่างกันไปด้วย

ดังเช่นเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง การฝึกฝนขั้นที่หนึ่งคือหัวใจ

หัวใจ เป็นธาตุไฟ

ผู้มีหัวใจแกร่งกล้า เปรียบประดุจเตาหลอมที่แผดเผา บ่มเพาะวิญญาณโลหิต ฝึกฝนจิตใจ

สำหรับซูอี้แล้ว ในขอบเขตเดียวกันหากต้องการล้ำหน้าเกินกว่าเมื่อชาติที่แล้ว ต้องฝึกฝนจนเกิดพื้นฐาน ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ เท่านั้น!

เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณดังกล่าวก็คือการฝึกฝนจนเกิด ‘แสงเบญจธาตุ’ อันได้แก่ ธาตุไม้ ธาตุทอง ธาตุไฟ ธาตุน้ำ และธาตุดินในเตาหลอมอวัยวะทั้งห้า

ธาตุไม้ มีแสงประจำคือสีเขียว เพาะเลี้ยงเตาหลอมแห่งตับ

ธาตุทอง มีแสงประจำสีทอง เพาะเลี้ยงเตาหลอมแห่งปอด

นับเช่นนี้ไปตามลำดับ

อวัยวะทั้งห้าประดุจเตาหลอม เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ จึงก่อรูปเป็นพลังมหาสมบูรณ์ นี่ก็คือความเร้นลับสุดท้ายของปรมาจารย์ขั้นที่ห้า

ตามการศึกษาสังเกตของซูอี้ ในโลกสามัญต้าโจวแห่งนี้ ผู้ยิ่งใหญ่อย่างหนิงซือฮวากับมู่ซีล้วนแล้วไม่ได้ฝึกฝน ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ จนสำเร็จอย่างแท้จริง

หากว่าเป็นที่เก้ามหาแดนดินเมื่อชาติก่อน ผู้มีพื้นฐานคนใดก็ตามที่มี ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ ล้วนเป็นบุคคลเก่งแห่งฟ้าดิน หมื่นปีพันปีก็ยังยากจะได้พบ!

โดยทั่วไปแล้ว มีแต่เพียงสำนักเต๋าเก่าแก่โบราณเท่านั้นจึงมีหวังที่จะบ่มเพาะบุคคลขั้นสุดยอดเช่นนี้ได้

แน่นอนว่าแค่มีหวังเท่านั้น

ในอดีต ซูอี้มีศิษย์ที่ได้รับการสืบทอดจากตนเองเก้าคน ทว่าผู้ที่ฝึกฝน ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ ได้สำเร็จ กลับมีเพียงแค่สามคนเท่านั้น

คนหนึ่งคือศิษย์เอกผีหมัว คนที่สองคือศิษย์ห้าหวังเชวี่ย และคนที่สามคือศิษย์เล็กชิงถัง

เพียงแต่ว่า พื้นฐานอย่างเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณก็ยังมีการแบ่งลำดับขั้น

ดังเช่นเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณที่ชิงถังฝึกฝนสำเร็จ เวลาที่ปล่อยแสงเบญจธาตุออกมา สามารถพุ่งสูงถึงร้อยจั้ง สว่างเจิดจ้าราวกับสายรุ้งเทพห้าสี

เมื่อเทียบกับแสงเบญจธาตุแปดสิบจั้งของศิษย์เอกผีหมัวกับแสงเบญจธาตุหกสิบจั้งของศิษย์ห้าหวังเชวี่ยแล้ว แสงเบญจธาตุของศิษย์เล็กของชิงถังสูงยิ่งกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

สำหรับโลกแห่งนี้ ซูอี้ฝึกฝนพื้นฐานยิ่งใหญ่สามประเภท อันได้แก่ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ ‘ชีพจรลับ’ และ ‘เต๋ากัง’ จนสำเร็จตั้งแต่อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณแล้ว เพียงพอที่จะทำให้เขาฝึกฝนเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการฝึกตนขอบเขตหลอมกำเนิด!

ทว่ายังเร็วเกินไปนักที่จะพูดสิ่งเหล่านี้ในเวลานี้

เพราะอย่างไรเสีย ตอนนี้ เวลานี้ เขาเพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตหลอมกำเนิดเท่านั้น…

ครืน!

พลังเลือดลมอันแข็งแกร่งถาโถมในร่างของซูอี้ราวกับภูเขาทลายคลื่นใหญ่ซัด พลังปราณในร่างราวกับกำลังโหมกระหน่ำ ทั่วทั้งร่าง อาบชโลมอยู่ท่ามกลางแสงเรืองรองแห่งธาตุแท้

และที่หัวใจของเขา มันได้เกิดจังหวะลี้ลับอันมีเอกลักษณ์คล้ายกับเตาหลอมที่กำลังแผดเผา เสียงดังประดุจอัสนีวายุ รุนแรงเดือดดาล

ชั่วขณะที่คลุมเครือ ประกายแสงเบญจธาตุเริ่มแผ่ซ่านครอบคลุมหัวใจแล้ว

จนกระทั่งหลังจากครึ่งวันผ่านไป

ซูอี้ลืมตาขึ้นช้า ๆ

ชั่วขณะนี้ ณ ทรวงอกอันเป็นจุดที่ตั้งของหัวใจ แสงสีแดงเป็นประกายพุ่งออกมา ยิงทะลุขึ้นสู่ท้องฟ้า

ชั่วพริบตาเดียวก็พุ่งสูงถึงร้อยจั้ง!

ฉับพลัน ประกายแสงสีแดงนี้ก็หายไป

“ข้าเพิ่งย่างเข้าสู่ขอบเขตหลอมกำเนิด ก็สามารถฝึกฝนแสงเบญจธาตุอันเป็นที่ตั้งของหัวใจสูงถึงร้อยจั้งได้ หากฝึกตนในขั้นนี้จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมเป็นแน่!”

รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของซูอี้

ขอบเขตหลอมกำเนิด หรือเรียกอีกอย่างว่าขอบเขตปรมาจารย์ สำหรับโลกสามัญแล้ว เป็นการดำรงอยู่ราวกับเทพมังกรบนสวรรค์

บรรลุถึงขั้นนี้ก็สามารถฆ่าศัตรูในระยะไกลได้ สามารถบินได้ในช่วงเวลาอันสั้น เลือดลมทั่วร่างไม่หวาดหวั่นต่อการกัดกร่อนของน้ำและไฟ สามารถไปในที่ ๆ ห่างไกลนับร้อยจั้งเพียงชั่วครู่เดียว

ยิ่งไปกว่านั้นผู้มีพื้นฐานที่มี ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ ยังสามารถใช้ยุทธ์บงการวิญญาณ ใช้กำลังสลายเคล็ดวิชาได้!

กล่าวอีกอย่างก็คือใช้ผลการฝึกขอบเขตหลอมกำเนิดมาบงการปราณวิญญาณและกำลังแห่งฟ้าดิน จากนั้นผันแปรเป็นพลังอานุภาพอันเปรียบได้กับกฎเคล็ดวิชา!

ในครั้งที่ประลองเพื่อศึกษากับซูอี้ หนิงซือฮวาก็เคยแสดงพลังเช่นนี้

ถึงแม้หนิงซือฮวาจะแกร่งกล้ามาก ทว่ากลับไม่ได้ฝึกฝนแสงเบญจธาตุ ณ จุดที่ตั้งของอวัยวะภายในทั้งห้าอย่างแท้จริง

ตามการสันนิษฐานของซูอี้ สตรีลึกลับนางนี้คงจะฝึกฝนแสงเบญจธาตุเพียงสองอย่างเท่านั้น ไม่ใช่ห้าอย่าง

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงน่าสะพรึงกลัวอยู่ดี

เพราะอย่างไรเสีย ที่นี่ก็คือโลกสามัญโน เวล กู ดอท คอม

สงบใจรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของกำลังและพลังปราณในร่างเสร็จแล้ว ซูอี้ก็ลุกขึ้นยืน

เขาในตอนนี้ เป็นปรมาจารย์อย่างแท้จริงแล้ว!

พอพลิกฝ่ามือ หยกวิญญาณชิ้นหนึ่งก็ปรากฏในมือของซูอี้

เขาแหงนหน้ามองดูเกลียวคลื่นสีเลือดพันจั้งใต้ท้องฟ้านั้น ในใจเกิดความเสียดายน้อย ๆ

ในการเดินทางมาครั้งนี้ เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะค้นหาปริศนาเรื่องชาติกำเนิดของชิงหว่าน

ทว่าดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เป็นไปได้ยาก ทว่าซูอี้ก็พอจะคาดเดาออกบ้างแล้ว เกรงว่าหยกวิญญาณชิ้นนี้คงจะมาจากโลกที่อยู่อีกฝั่งของผนังมิติ!

หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า ชิงหว่านอาจจะไม่ใช่คนในมหาทวีปคังชิง!

“ด้วยลวดลายและริ้วรอยที่หลอมประทับบนหยกวิญญาณชิ้นนี้ หากใช้วิชาลับบางอย่างมาผลักดัน ก็จะสามารถข้ามทะลุผนังโลกนี้ได้โดยตรง แต่เสียดาย พลังแห่งหยกวิญญาณถูกทำลายลงจนไม่เหลือแล้ว จึงไม่อาจแยกแยะความเร้นลับอื่น ๆ ได้อีก…”

ซูอี้คิดสักครู่ จากนั้นจึงเก็บหยกวิญญาณ หมุนตัวออกไปจากโลกใต้ดินแห่งนี้

เมื่อจวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งหลอมละลายจิตวิญญาณในห้วงความนึกคิดของเขาแล้ว บางทีอาจสามารถค้นหาข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับโลกนอกผนังมิติจากความทรงจำของจิตวิญญาณนั้นได้บ้าง

ถึงเวลานั้น ก็จะสามารถคาดเดาเบาะแสบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของชิงหว่านได้เป็นธรรมดา

——-

บนพื้นดิน

“ผ่านไปสองวันแล้ว เหตุใดคุณชายซูจึงยังไม่กลับมาอีก หรือว่าจะเกิดเหตุอันใดขึ้น?”

เฉินเจิ้งรู้สึกเป็นห่วง

“หากว่าเขาเกิดเหตุ ต่อให้พวกเราทุกคนเข้าไปช่วยพร้อมกัน เกรงว่าคงไม่มีประโยชน์”

หนิงซือฮวายิ้มน้อย ๆ

เทียบกับคนอื่น ๆ แล้ว นางสงบนิ่งเป็นที่สุด

“พูดขึ้นมา เดิมทีครั้งนี้พวกเรามาเพื่อเสาะหาโอกาสสัมพันธ์ ไม่นึกเลยว่า สิ่งที่ได้เจอะเจอกลับเป็นภัยพิบัติที่คาดไม่ถึง ช่างกลั่นแกล้งกันเหลือเกิน”

ผูอี้ผู้อาวุโสใหญ่ของตำหนักศึกษาซิงหยาถอนใจ

เชินจิ่วซง เจียงถานอวิ๋น หลูฉางเฟิง นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน แล้วได้แต่แอบถอนใจเช่นกัน

จริงตามว่า ใครกันจะคาดคิด ว่าปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในหุบเขามารบุปผาโลหิตจะมีความเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกตนบำเพ็ญจากอีกโลก?

ซึ่งพรรคมารหยินรู้ความลับนี้ตั้งนานแล้ว!

พวกเขายังถึงขั้นออกเดินทางกันก่อนล่วงหน้า เพื่อเตรียมตัวตอบรับสิ่งน่ากลัวที่ข้ามภูมิมา

โชคยังดีที่การตอบรับในครั้งนี้ถูกซูอี้ทำลาย มิเช่นนั้นก็ไม่อาจคาดเดาผลที่จะเกิดขึ้นตามมา

“ปราณวิญญาณในมหาทวีปคังชิงบางเบาถึงเพียงนี้ เหตุใดผู้ฝึกตนแท้จริงอย่างพวกเขาเหล่านั้นต้องข้ามผนังมิติมาด้วย?โลกนี้มีผลประโยชน์อันใดควรค่าแก่พวกเขาข้ามมากัน?”

มู่ซีพึมพำ

เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก

“ลำพังเพียงแค่หุบเขามารทั้งแปดแห่งในดินแดนต้าโจว แต่ละแห่งล้วนซุกซ่อนความเร้นลับอันยิ่งใหญ่ หากมองไกลไปถึงเขตแคว้นนับร้อยทั่วมหาทวีปคังชิง สถานที่ที่ซุกซ่อนความเร้นลับยิ่งใหญ่เช่นนี้คงมีจำนวนไม่น้อยเลย”

หนิงซือฮวากล่าวเคร่งเครียด “บัดนี้ พวกเรารู้เพียงแค่ว่าภายในหุบเขามารบุปผาโลหิตแห่งนี้ ผนึกกั้นผนังมิติ แต่ไม่ได้หมายความว่า ในหุบเขามารอื่น ๆ จะไม่มีผนังมิติเช่นนี้”

ทุกคนต่างพากันหวาดหวั่นขึ้นมาในใจ

“ที่ข้าอยากจะรู้ยิ่งกว่าก็คือ แท่นบูชาหนึ่งร้อยแปดแท่นเช่นนั้นใครกันที่เป็นผู้ตั้ง และเหตุใดต้องผนึกมิติโลกที่อยู่ใต้รอยแยกนั้นด้วย เรื่องนี้จะต้องมีความลับซุกซ่อนเป็นแน่”

มู่ซีกล่าวเคร่งเครียด

พวกเชินจิ่วซงได้ฟังการสนทนาทั้งหมดนี้แล้ว ถึงกับทำให้พวกเขายิ่งกลัดกลุ้มใจมากขึ้น

ในโลกสามัญ พวกเขาคนใดบ้างที่ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ในบรรดายอดยุทธ์? คนใดบ้างที่ไม่มีฐานะสูงส่งหรือไม่มีอำนาจล้นฟ้า?

ทว่า หลังจากทำความเข้าใจเกี่ยวกับความลับในสถานที่แห่งนี้แล้ว และหลังจากที่ได้รู้ถึงความน่ากลัวของผู้ฝึกตนที่แท้จริงแล้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้เกิดความรู้สึกกดดันขึ้นมา

ปรมาจารย์ผู้แกร่งกล้าสามารถ?

เกรงว่าคงจะมีแต่ในโลกสามัญเท่านั้นจึงจะได้รับการยกย่องเช่นนี้

ในสายตาของผู้ฝึกตนบำเพ็ญที่แท้จริง ขอบเขตปรมาจารย์ทั้งหลายก็เป็นเพียงแค่ขอบเขตหลอมกำเนิดขั้นที่สามของวิถียุทธ์เท่านั้น!

ผู้ฝึกตนที่แท้จริง กินลมดื่มน้ำค้าง ไม่แตะธัญพืช ขี่เมฆขับหมอก เป่าลมเป็นสายฟ้า!

นั่นจึงจะเป็นการดำรงอยู่อย่างเทพเซียน

เหมือนกับผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เทพเซียนเดินดิน’ ในโลกสามัญเหล่านั้นจึงจะกล่าวได้ว่าก้าวเข้าสู่ประตูแห่งวิถีการบำเพ็ญอย่างแท้จริง

ทว่า…

ก็เพียงแค่เพิ่งย่างเข้าประตูเท่านั้น

เมื่อทำความเข้าใจความลับที่เกี่ยวข้องกับการฝึกตนเหล่านี้อย่างแท้จริงแล้ว จะไม่ให้ผู้ยิ่งใหญ่ในโลกสามัญที่มีอำนาจล้นฟ้าเหล่านี้เศร้าใจได้เช่นใด?

เข้าใจว่าตัวเองประดุจมังกรเทพบนสวรรค์ แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่กลุ่มคนที่ยังไม่ได้ย่างก้าวเข้าสู่ประตูแห่งการฝึกตนอย่างแท้จริงก็เท่านั้น…

“โชคดีที่ข้าได้รับการชี้แนะจากเจ้าตำหนักหนิงก่อนนานแล้ว รู้ว่าควรจะคว้าโอกาสที่เกี่ยวข้องกับการฝึกตนนั้นอย่างไร!”

เทียบกับคนอื่น ๆ แล้ว เชินจิ่วซงแอบรู้สึกโชคดีในใจ

“ความเร้นลับที่ซ่อนเร้นอยู่ในที่แห่งนี้ สหายเต๋าซูจะต้องรู้มากกว่าพวกเราอย่างแน่นอน ด้วยวิธีการของเขา จะต้องมีวิธีแก้ไขแน่”

หนิงซือฮวากล่าวสบาย ๆ ทว่าเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวซูอี้มาก

มู่ซีชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นพยักหน้ากล่าว “ไม่ผิด เขายังเคยบอกด้วยว่า อยากจะให้ผู้ฝึกตนข้ามภูมิเหล่านั้นข้ามโลกมาเสียด้วยซ้ำ เช่นนี้จะได้จับเป็นเหยื่อทั้งหมด…”

พูดถึงสุดท้าย สายตาของเขาดูประหลาด สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วยเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโลกใต้ดิน เมื่อได้ยินซูอี้มองดูเหยื่อที่มาจากภายนอกและเอ่ยด้วยความดูแคลน มู่ซีรู้สึกว่าช่างเหลวไหลยิ่งนัก ยังคิดไปว่าซูอี้กำลังคุยโม้โอ้อวด

ทว่าตอนนี้ มู่ซีกลับต้องยอมรับแล้วว่า ซูอี้ใช้ความสามารถที่แท้จริงตบหน้าเขาอย่างแรง

ผู้ฝึกตนภูมิอื่นที่สิงสถิตเฉินเจิ้งนั้นถูกซูอี้จับกักขังอย่างง่ายดาย!

ได้ยินคำกล่าวของมู่ซีแล้ว สีหน้าของพวกผูอี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พวกเขาต่างพากันแอบถอนใจ

ในโลกนี้ เกรงว่าคงจะมีแต่ซูอี้ผู้ที่ไม่อาจใช้หลักการทั่วไปมาเป็นเครื่องวัดเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าทำเช่นนี้…

หากเป็นคนอื่น ผู้ใดจะกล้าดูแคลนผู้ฝึกตนภูมิอื่นที่สามารถข้ามผนังมิติเหล่านั้นถึงเพียงนี้ได้?

เฉินเจิ้งกล่าวออกมาว่า “หากว่าเป็นตอนที่ยังหนุ่ม ข้าจะต้องขอร้องคุณชายซูให้รับข้าเป็นศิษย์โดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นเป็นแน่ เช่นนี้ อาจจะสามารถก้าวสู่หนทางแห่งการฝึกตนที่แท้จริงได้ตั้งแต่เริ่มต้นก็เป็นได้ ไม่ต้องเป็นเหมือนดังตอนนี้ที่ได้แต่ลอยเคว้งคว้างอยู่บนหนทางแห่งวิถียุทธ์…”

ผู้พูดไม่ได้มีเจตนา ผู้ฟังกลับคิดจริงจัง

คำกล่าวของเฉินเจิ้งนี้ทำให้ผูอี้กับพวกของเจียงถานอวิ๋นถึงกับสะดุ้งขึ้นมาในใจ

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset