📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 237

บทที่ 237 - บัวมารโลหิต แท่นบูชาลึกลับ
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

มู่ซีกำลังพูดคุยกับเชินจิ่วซง

หนิงซือฮวานั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่เพียงลำพัง ก้มหน้าอ่านตำราเล่มหนึ่งในมือ เค้าโครงใบหน้าที่งดงามมีสีสันแห่งความสงบเงียบ

ไม่ไกลนัก ซูอี้เอนตัวหลับตาพักรักษาจิตอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างสบายอารมณ์

เมื่อเจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงฟื้นก็มองเห็นภาพลักษณะเช่นนี้

“ท่านทั้งสองรู้สึกเป็นเช่นใดบ้าง?”

มู่ซียิ้มพลางเบนสายตามองมา

เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงรีบลุกขึ้น โค้งคารวะพลางกล่าว “ขอบพระคุณท่านมู่ที่ยื่นมือเข้าช่วย บุญคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ พวกเราทั้งสองจะจดจำไม่มีลืม”

เสียงขอบคุณแสดงถึงความจริงใจ

“ท่านทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ”

มู่ซียิ้มพลางโบกมือ

พูดจบ เขาเป็นฝ่ายแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกับซูอี้และหนิงซือฮวา

เมื่อทราบฐานะของหนิงซือฮวาแล้ว ทั้งสองต่างก็ชื่นชม ไม่กล้าทำเพิกเฉยรีบคารวะ

แต่เมื่อทราบฐานะของซูอี้ ทั้งสองตะลึงนิ่งไปอย่างเห็นได้ชัด

ในอดีต พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้นำตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงยังมีบุตรชายนามว่าซูอี้

ถึงแม้ในใจจะมีข้อกังขา ทว่าสำหรับเรื่องมารยาทแล้ว ทั้งสองมิได้เพิกเฉย ยังคงเดินไปคารวะ

ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ เก็บเก้าอี้หวายพลางกล่าว “ไปกันเถอะ”

พูดจบก็เดินไปข้างหน้าก่อนแล้ว

หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงเห็นเช่นนี้ จึงเดินตามหลังไป

เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงถึงกับอึ้งด้วยความตื่นตระหนก

ในที่นี้ มีเจ้าตำหนักศึกษาเทียนหยวน มีจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงผู้เป็นใหญ่ และยังมีราชาสะกดขุนเขาผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรในใต้หล้า

ทว่าตอนนี้ ซูอี้ผู้เป็นบุตรหลานของตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงบอกว่าออกเดินทางก็พากันออกเดินทาง โดยไม่ถามความคิดเห็นของคนอื่น ๆ เช่นนี้แลดูเอาแต่ใจเกินไปเสียแล้ว

ประกอบกับเมื่อสักครู่ตอนที่แสดงความคารวะ ซูอี้ก็นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายตลอด ทำเอาเจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงรู้สึกตะขิดตะขวงขึ้นมาในใจ ความรู้สึกที่มีต่อซูอี้จึงแย่มากขึ้น

ทว่า อย่างไรเสียทั้งสองผ่านลมฝนมาจนเคยชิน เห็นว่าหนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงไม่ได้พูดอะไร พวกเขาจึงได้แต่เก็บซ่อนความไม่พอใจไว้ในใจ ไม่ได้แสดงออกมา

“คุณซูท่านนี้พิเศษกว่าคนทั่วไป กิริยาวาจาก็ต่างไปจากคนอื่น ๆ ท่านทั้งสองอย่าได้คิดมาก”

มู่ซีมองดูเจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิง จากนั้นยิ้มพลางกล่าว “ใช่แล้ว ท่านทั้งสองจะเดินทางไปด้วยกันหรือไม่?”

เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงสบตากัน ต่างก็ตอบอย่างรวดเร็ว

สามารถออกเดินทางร่วมกับราชาสะกดขุนเขาได้ เป็นเรื่องที่ดีมาก

เพื่อไม่ให้เสียเวลาอีก มู่ซีพาทั้งสองไล่ตามพวกของซูอี้ เดินทางเข้าไปในหุบเขามารบุปผาโลหิตด้วยกัน

“ท่านมู่ ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าผู้ที่โอบล้อมพวกเราทั้งสองคือคนของพรรคมารหยิน หรือว่าฝ่ายอธรรมนี้ต้องการวกกลับมาเพื่อเป็นใหญ่อีกครั้งเช่นนั้นหรือ?”

ระหว่างทาง เจียงถานอวิ๋นอดถามขึ้นมาไม่ได้

เขาเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของตำหนักคงต้ง สีผิวดำคล้ำ ดุดันน่าเกรงขาม

“ไม่ผิด”

มู่ซีเอ่ย “จากข้อมูลที่ข้าได้มา ดูเหมือนว่าพรรคมารหยินจะกุมความลับที่เกี่ยวข้องกับตัวประหลาดในหุบเขามารบุปผาโลหิตเช่นนี้จำนวนไม่น้อย ครั้งนี้พวกเขาออกปฏิบัติการร่วมกับบุคคลผู้มีความเก่งกาจอย่างที่สุดกลุ่มหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดแผนการใหญ่อยู่”

ได้ฟังความ เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงต่างก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา

ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งสองเกือบจะเจอภัยพิบัติถึงขั้นเกือบคร่าชีวิต เมื่อนึกถึงว่าต่อไปยังต้องเจอกับพวกโหดเหี้ยมของพรรคมารหยินเหล่านั้นแล้ว ในใจรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเช่นกัน

“พรรคมารหยิน…”

ซูอี้ราวกับกำลังตรึกตรองอะไรบางอย่างอยู่

หยกวิญญาณที่มีความเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของชิงหว่านชิ้นนั้นคือหยกที่ฮูเหยียนไห่นำออกมาจากส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิตแห่งนี้

และเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ซูอี้ทราบแล้วว่าฮูเหยียนไห่ผู้เป็นหัวหน้าผู้คุมสาขาย่อยแคว้นกุ่นเดินทางไปสาขาใหญ่พรรคมารหยินตามคำเชิญก็เพื่อปรึกษาแผนการใหญ่บางอย่าง

บัดนี้ คนของพรรคมารหยินปรากฏตัวอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ทั้งหมดนี้ทำให้ซูอี้ตั้งข้อสันนิษฐานหนึ่งขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

เกรงว่าการใหญ่ที่พรรคมารหยินวางแผน คงจะอยู่ในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิตแห่งนี้!

อีกทั้ง เป็นไปได้มากว่าฮูเหยียนไห่ก็เข้าร่วมในแผนการนี้ด้วย!

“หากว่าเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งเป็นการดี บางที เมื่อตรวจสอบพบความจริงของความพิสดารที่เกิดขึ้นในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิตเจอ ก็สามารถเสาะหาแตงโดยคลำเครือเถาวัลย์ได้ จะได้ตรวจสอบเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของชิงหว่านด้วย”

ซูอี้แอบคิดในใจ

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม

ไกลออกไป ณ ท่ามกลางป่าเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเลือด จู่ ๆ ก็มีร่าง ๆ หนึ่งปรากฏ

นี่คือชายวัยกลางคนในชุดกี่เพ้ายาวสีดำ มีความน่าเกรงขาม หน้าตาดุดันคมชัดประดุจภาพแกะสลัก

เขาก็คือผูอี้ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตำหนักซิงหยา เป็นปรมาจารย์ขั้นสี่

“ท่านมู่ ห่างจากตรงนี้ไปสามสิบลี้ มีรอยแยกขนาดใหญ่อยู่สายหนึ่ง คนของพรรคมารหยินปักหลักพักอาศัยบริเวณใกล้ ๆ กับรอยแยกสายนั้น”

ผูอี้เดินมาคารวะ

มู่ซีพยักหน้า จากนั้นแนะนำให้ผูอี้รู้จักกับหนิงซือฮวา และซูอี้

คารวะต่อทุก ๆ คนแล้ว พูดทักทายกันสักครู่จึงออกเดินทางไปข้างหน้าต่อ

ไอโลหิตเข้มข้นคละคลุ้ง ราวกับหมอกควันที่ไม่ยอมสลายตัวɴᴏᴠeʟɢu.ᴄᴏm

หลังจากมาถึงที่นี่แล้ว สรรพสิ่งนิ่งสงบมีความกดดัน เงียบจนหวาดหวั่นพรั่นพรึง ตลอดทางไม่พบกับสัตว์อสูรแม้แต่ตัวเดียว

ทุก ๆ คนต่างระมัดระวังตัว ถืออาวุธของแต่ละคนด้วยความระแวดระวัง

แม้กระทั่งราชาสะกดขุนเขามู่ซีก็ยังถือหอกรบสีทองด้ามนั้นในมือแน่น ไม่นิ่งนอนใจ

มีแต่เพียงซูอี้คนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้สึกหวาดหวั่น เดินมือไพล่หลัง ท่าทางสบาย

ลักษณะท่าทางเช่นนี้ทำให้เจียงถานอวิ๋นรู้สึกขัดลูกนัยน์ตายิ่งนัก จึงขมวดคิ้วกล่าวเตือน “คุณชายซูอย่าได้ประมาท สถานที่ตรงนี้อันตรายยิ่งนัก หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ต่อให้พวกข้ายื่นมือเข้าช่วย เกรงว่าคงช่วยไม่ทัน”

หลูฉางเฟิงก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นกัน “ไม่ผิด ไม่มีใครรู้ว่าอีกประเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้น คุณชายซูระวังตัวสักหน่อยจะเป็นการดี”

ดูเหมือนเป็นการเตือนสติ ทว่าแท้จริงเป็นการแสดงความไม่พอใจ

ตอนที่พบกันครั้งแรก ซูอี้ก็สร้างความรู้สึกไม่ดีให้แก่พวกเขาแล้ว

ภายใต้อิทธิพลของความประทับใจแรกพบ เมื่อเห็นท่าทีเบาสบายเช่นนั้นของซูอี้อีกครั้ง จึงทำให้พวกเขารู้สึกไม่ชอบใจมาก

ผู้ยิ่งใหญ่อย่างพวกของมู่ซีกับหนิงซือฮวา ล้วนเดินหน้าด้วยความระมัดระวังตัว

ทว่าคนหนุ่มชุดเข้มคนนี้กลับแสดงท่าทีเบาสบายราวกับเดินเล่น คนที่ไม่รู้คงจะเข้าใจไปว่าเขามาเพื่อท่องเที่ยวชมทิวทัศน์เสียมากกว่า

ลองนึก ๆ ดู หากว่าซูอี้เกิดประสบอันตรายขึ้นมา ผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยก็ยังคงต้องเป็นพวกเขาอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

หากไม่ติดที่ฐานะ เจียงถานอวิ๋นคงอดทนไม่ไหวตะคอกแผดเสียงด่าซูอี้ไปนานแล้ว

“พวกเจ้าดูแลตัวเองให้ดีก็พอแล้ว”

ซูอี้ตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็ส่ายหน้าให้

เขาฟังน้ำเสียงที่แฝงด้วยความไม่พอใจของเจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงออก ทว่าคร้านจะติดใจเอาความอะไรกับพวกเขา

“คุณชายซูกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร”

หัวคิ้วของเจียงถานอวิ๋นขมวดแน่นยิ่งกว่าเดิม “บัดนี้พวกเราเป็นกองเดียวกัน ความปลอดภัยของเจ้า พวกเราจะเพิกเฉยไม่สนใจได้เช่นใด?”

“ยิ่งไปกว่านั้น บนหนทางที่ต้องเดินต่อไป จะต้องมีอันตรายอย่างแน่แท้ หากว่าคุณชายซูเกิดพลาดพลั้งอันใดขึ้นมา พวกข้าจะเพิกเฉยได้เช่นใด?”

กล่าวเช่นนี้ เริ่มแสดงความไม่เกรงใจออกมาแล้ว

หลูฉางเฟิงก็ไม่พอใจเช่นกัน พวกเขาอุตส่าห์หวังดีเตือนสติ ทว่าเจ้าหนุ่มคนนี้กลับยังทำท่าไม่ใส่ใจ ช่างไม่รู้จักประมาณตน!

หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงอดขันไม่ได้ พวกเขามองออกว่าเจียงถานอวิ๋นไม่พอใจซูอี้

หรืออาจกล่าวได้ว่า เจียงถานอวิ๋นยึดมั่นในฐานะของตนเอง มองว่าซูอี้เป็นเพียงบุตรหลานธรรมดาของตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงคนหนึ่งเท่านั้น

ความหมายที่กล่าวมาไม่ว่าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ดุจดังผู้อาวุโสอบรมสั่งสอนผู้น้อยที่ไม่รักดี วางท่าเป็นผู้อาวุโสดูแคลนคนอื่น

มู่ซีสังเกตดูสีหน้าของซูอี้อยู่ตลอด เห็นว่าเขายังคงเฉยเมยดุจเดิม ไม่แสดงอาการโกรธออกมา ในใจรู้สึกผิดหวังขึ้นมาอย่างประหลาด

ฉับพลัน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้มอารมณ์ดี “ผู้อาวุโสเจียง อย่าได้สบประมาทคุณชายซู ดังคำโบราณที่กล่าวว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ สีหน้าราบเรียบประดุจน้ำนิ่ง คนเช่นนี้จึงจะเป็นแม่ทัพใหญ่ คุณชายซูก็เป็นเช่นคำกล่าวนี้”

เจียงถานอวิ๋นนิ่งตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่ามู่ซีจะช่วยแก้ต่างแทนซูอี้

นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาพยักหน้ากล่าว “ท่านมู่กล่าวเช่นนี้แล้ว ดูท่าทางเจียงผู้นี้คงจะเข้าใจผิดไปเองจริง ๆ”

ถึงตรงนี้ เขาจึงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีก

ทว่าทุกคนล้วนสังเกตเห็นว่าเจียงถานอวิ๋นยังคงมีความรู้สึกต่อซูอี้เหมือนเดิม

ซึ่งนี่ก็คืออคติ

เมื่อความประทับใจยามแรกพบไม่ดี ก็จะก่อตัวเป็นความอคติยึดครองจิตใจ

“อืม?”

เดินหน้าต่อได้ไม่นาน จู่ ๆ ซูอี้ก็แหงนหน้ามองดูท้องฟ้า

“นั่นคือ?”

แทบจะขณะเดียวกัน มู่ซี หนิงซือฮวา และคนอื่น ๆ ต่างก็แหงนมองดูท้องฟ้าที่ไกลออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับรับรู้แล้วเช่นกัน

ดอกบัวสีเลือดประหลาดขนาดใหญ่เก้าดอกก่อตัวขึ้นกลางอากาศ

ที่ดอกบัวแต่ละดอกมีพลังแห่งโลหิตมารเข้มข้นเกาะรวมกัน มีขนาดใหญ่ถึงเก้าจั้ง ปรากฏเป็นค่ายกลเก้าตำหนัก ลอยอยู่ใต้แผ่นฟ้า

ที่น่าประหลาดก็คือ ใจกลางบัวมารโลหิตนั้น สีเลือดที่แตกเป็นฝอยเหล่านั้นหมุนรอบตัวราวกับเกลียวคลื่นไม่มีวันหยุด

มองดูไกล ๆ จิตวิญญาณพลันเกิดความหวั่นไหวหวาดกลัวหนาวสะท้านไปทั้งตัว

“ดูเหมือนว่าจะเป็นจุดสำคัญของค่ายกลใหญ่…”

เกิดประกายระยิบระยับในแววตาของมู่ซี เจิดจ้าเฉิดฉายราวกับมองทะลุความลี้ลับมากมาย “ไปกัน พวกเราไปดูกัน”

อย่างรวดเร็ว คนทั้งหมดก็มาถึงด้านหน้าร่องแยกขนาดใหญ่

ร่องแยกนี้เปรียบได้ดังรอยแตกแยกบนผืนธรณี ด้านล่างของรอยแยกลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง หมอกโลหิตเดือดพล่านพุ่งทะลักขึ้นสู่ท้องฟ้า

ทว่าภายใต้ท้องฟ้ามีบัวมารโลหิตขนาดใหญ่เก้าดอกลอยอยู่ เพื่อรอรับการบ่มเพาะของพลังมารโลหิตเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา ยิ่งดูพิสดารสวยงามยิ่งขึ้น

ที่น่าตกใจก็คือ สองข้างรอยแยกบนพื้น มีแท่นบูชาทรงโบราณหลายแท่นตั้งวาง รวมกันแล้วมีถึงหนึ่งร้อยแปดแท่น

แต่ละแท่นบูชาล้วนมีสีดำขลับ สูงถึงเก้าศอก สลักลวดลายประหลาดที่แตกต่างกันออกไป

ตูม! ตูม! ตูม!

เมื่อพวกของซูอี้มาถึงก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องเป็นพัก ๆ ราวกับเสียงลั่นกลอง ดังมาจากด้านล่างลึกของรอยแยกที่มองไม่เห็นก้นบึ้งนั้น

เสียงนั้นราวกับจังหวะการเคลื่อนไหวของแผ่นดิน แฝงไว้ซึ่งพลังอันน่ากลัวและมีเอกลักษณ์ กระแทกหัวใจของแต่ละคนอย่างแรง ถึงกับทำให้แต่ละคนตัวแข็งทื่อ เลือดลมในกายเกิดความผันผวน รู้สึกอึดอัดจนแทบกระอักเลือด

มีแต่เพียงซูอี้ มู่ซี กับหนิงซือฮวาเพียงสามคนเท่านั้นที่ไม่รู้สึกอะไร ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากเสียงนี้

ทว่าเมื่อได้ยินเสียงลึกลับประหลาดนี้แล้ว ทั้งสามคนต่างแสดงสีหน้าประหลาดออกมา

บัวมารโลหิตเก้าดอกลอยอยู่กลางอากาศ แท่นบูชาหนึ่งร้อยแปดแท่นตั้งอยู่สองข้างของรอยแยก ลึกเข้าไปในรอยแยก กลับมีเสียงเคาะจังหวะประหลาดและลึกลับ…

ทั้งหมดนี้ดูแล้วล้วนแปลกพิสดาร

“ดูท่าทาง ปรากฏการณ์ประหลาดของหุบเขามารบุปผาโลหิตในครั้งนี้ คงจะมาจากที่ตรงนี้!”

สายตาของมู่ซีเร่าร้อน ความคาดหวังปรากฏขึ้นบนสีหน้า

ที่นี่ ที่แท้แล้วซ่อนความลับเช่นใดเอาไว้กันแน่?

จะเหมือนกับที่เล่าลือกันเช่นนั้นหรือไม่ ซุกซ่อนร่องรอยโบราณ มีสิ่งล้ำค่าที่สุดในโลกอยู่ในนี้?

สภาพจิตใจของคนอื่น ๆ ก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เช่นกัน

ฉับพลัน เสียงแหลมเล็กเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ราชาสะกดขุนเขา จงผู้นี้เคยเตือนพวกเจ้าไว้ก่อนแล้ว อย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย แต่พวกเจ้ากลับไม่ฟัง จะหาเรื่องตายกันให้ได้เช่นนั้นหรือ?”

เสียงยังคงดังก้องในอากาศ พลันร่างคนกลุ่มหนึ่งก็เดินออกมาจากด้านหลังแนวเขาเตี้ยซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งหนึ่งของรอยแยกขนาดใหญ่

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset