📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 136

บทที่ 136 - จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง เฉินเจิ้ง
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

เรือนเล็กเงียบสุขสงบ

“พี่สาว ท่านเป็นนางฟ้างั้นหรือ?” เฝิงเสี่ยวหรานถาม

แลเห็นเหวินหลิงเสวี่ยซึ่งตัวสูงกว่า และมีรูปลักษณ์ที่งามงดสมบูรณ์แบบ เฝิงเสี่ยวหรานรู้สึกว่าหากมีนางฟ้าในโลกนี้จริง พี่สาวคนนี้คือหนึ่งในนั้นแน่นอน

“ข้าไม่ใช่หรอก”

เหวินหลิงเสวี่ยใช้สองนิ้วบีบใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กสาว ความเอ็นดูปรากฏออกผ่านแววตา “เจ้าต่างหากที่สวยเหมือนนางฟ้า โดยเฉพาะดวงตาของเจ้าที่สุกใสราวกับดวงจันทร์บนนภา เมื่อเจ้าโตขึ้น เจ้าจะสวยกว่าข้าแน่นอน”

เฝิงเสี่ยวหรานยิ้มหยี ดวงตาของนางหรี่ลงเป็นเสี้ยววงเดือนอันงดงาม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเบิกบาน “ก็จริง ข้าสวยที่สุดอยู่แล้ว!”

เหวินหลิงเสวี่ยตะลึงงันเล็กน้อย เด็กสาวคนนี้ไม่รู้ว่าความเจียมตัวคืออะไรเลยงั้นหรือ? หวงเฉียนจวินซึ่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจแทรกขึ้น “หลิงเสวี่ย ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเจ้างามมากแล้ว แต่ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าทำไมข้าจึงรู้สึกว่าเจ้างดงามมากกว่าเดิมหลายเท่ากว่าที่พบเห็นคราก่อน หรือว่านี่คือสิ่งที่ผู้คนเรียกว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สิบแปดของวัยสตรี?”

อันที่จริง ตั้งแต่พบเห็นเหวินหลิงเสวี่ยเมื่อครู่ หวงเฉียนจวินแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือเหวินหลิงเสวี่ยที่เขารู้จัก

นางงดงามมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า และด้วยความงดงามอันเกินบรรยายที่เพิ่มขึ้นมา มันทำให้เขาแทบไม่กล้าที่จะมองหน้านางตรง ๆ กระทั่งรู้สึกละอายใจในความขลาดกลัวของตัวเองในบางครั้ง

เหวินหลิงเสวี่ยจ้องไปที่หวงเฉียนจวิน และพูดอย่างโกรธเคือง “สิบแปดอะไร ข้าจะอายุแค่สิบหกในอีกสองเดือนหน้า!”

“เอ่อ…” หวงเฉียนจวินก้มหน้าด้วยความกระอักกระอ่วน

ตามปกติแล้วหญิงสาวอายุสิบห้าธรรมดาทั่วไปไม่มีทางดูดีได้ถึงอย่างที่เหวินหลิงเสวี่ยเป็นในเวลานี้

อย่างไรก็ตาม ผู้บ่มเพาะนั้นแตกต่างจากคนทั่วไป ทั้งชายและหญิง รูปลักษณ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วตามความก้าวหน้าของการบ่มเพาะ

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้บ่มเพาะจะปรับแต่งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของพวกเขา และการพัฒนาความแข็งแกร่งของพวกเขามักจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปลักษณ์ที่คล้ายกับการกำเนิดใหม่

ยกตัวอย่างเช่น เฝิงเสี่ยวหราน ตอนนี้อายุสิบสี่ปี นางอายุน้อยกว่าเหวินหลิงเสวี่ยเพียงปีสองปี แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้นางไม่เคยบ่มเพาะมาก่อน ดังนั้นแม้ว่ารูปลักษณ์ของนางจะโดดเด่น แต่ผิวพรรณของนางจะดูไม่เปล่งปลั่งเท่าเหวินหลิงเสวี่ย และผอมบางกว่ามาก

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากช่วงเวลาที่ผ่านมานางได้บ่มเพาะกับซูอี้ ทั้งยังยังได้กินสมุนไพรวิญญาณไปมากมายทั้งเช้าเย็น ดังนั้นร่างกายของนางในตอนนี้จึงดูดีมากกว่าในตอนแรกที่เจอกับชายหนุ่ม และในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยพลังที่อัดแน่น เลือดลมไหลเวียนลื่นไหล ดวงตาคู่โตสีดำขลับแวววาวเปล่งประกายดูเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ

“ศิษย์พี่ซู ดื่ม!”

เฝิงเสี่ยวเฟิงหยิบเหยือกขึ้นมาและเติมสุราให้ซูอี้

พวกเขานั่งที่โต๊ะหินในลานบ้าน ซึ่งบนโต๊ะตอนนี้เต็มไปด้วยอาหารเลิศรสมากมาย

แม้ว่าอาหารเหล่านี้จะเทียบไม่ได้กับอาหารรสเลิศของคฤหาสน์ดื่มเหมันต์ แต่เหวินหลิงเสวี่ยรู้สึกว่าบรรยากาศในขณะทานมื้อนี้นั้นผ่อนคลายกว่า ซึ่งทำให้มันน่ารับประทานเป็นที่สุด

ดอกไม้ที่เบ่งบานงดงาม ต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มสมบูรณ์ และบางคราวมีแมลงและนกร้องเป็นระยะ สิ่งเหล่านี้ส่งเสริมบรรยากาศโดยรวมให้รื่นรมย์จนจิตใจผ่อนคลาย

ยิ่งกว่านั้นยังมีพี่เขยอยู่เคียงข้าง

นางรู้สึกเหมือนกลับมาบ้าน

เมื่อจิตใจผ่อนคลายไร้กังวล เหวินหลิงเสวี่ยจึงถามข้อสงสัยทั้งหมดในใจนางขณะรับประทานอาหาร

แต่คำตอบส่วนใหญ่กลับเป็นหวงเฉียนจวินที่ตอบขึ้นแทน ส่วนซูอี้ผู้เป็นเจ้าของเรื่องกลับตอบแต่คำสั้น ๆ แค่ ‘ใช่’ ‘ไม่’ ‘อืม…’

หนึ่งคือเขาขี้เกียจเกินกว่าจะพูดถึงเรื่องที่นางถามยาว ๆ และอีกเรื่องคือหากเขาพูดมากเกินไปมันจะกลายเป็นดูเหมือนโอ้อวด ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

ในทางกลับกัน เหวินหลิงเสวี่ยดูตกตะลึง ใบหน้าที่เรียบเนียนและงดงามของนางแปรเปลี่ยน

ท้ายที่สุด เหวินหลิงเสวี่ยถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยออก “พี่เขย หากข้านำเรื่องนี้ไปบอกกับพี่สาวของข้า ท่านจะว่าอะไรหรือไม่?”

ซูอี้เอ่ยถามกลับ “หลิงเสวี่ย หากวันหนึ่งข้ากับพี่สาวเจ้าเลิกรากัน เจ้ายังจะมีความรู้สึกเช่นเดิมกับพี่เขยคนนี้หรือไม่?”

“นี่…” เหวินหลิงเสวี่ยตกตะลึง

หลังจากนั้นไม่นาน เหวินหลิงเสวี่ยก็ถอนหายใจ “พี่เขย พูดตามตรงข้าอยากให้ท่านและพี่สาวรอมชอมกัน ข้าไม่อยากจะให้พวกท่านต้องหย่าขาดจากกัน”

ซูอี้ตอบกลับอย่างใจเย็น “พี่สาวของเจ้าเกลียดการแต่งงานครั้งนี้ ข้าเองก็เช่นกัน ตั้งแต่แรกเริ่มเราเป็นเหมือนคนแปลกหน้า และจนมาบัดนี้ข้าและพี่สาวของเจ้าก็ยังคงที่ไม่มีความรู้สึกใดต่อกันแม้แต่น้อย ดังนั้นการยกเลิกการแต่งงานย่อมเป็นสิ่งที่เหมาะควรที่สุดสำหรับทั้งข้าและพี่สาวของเจ้า”

เหวินหลิงเสวี่ยหลังได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าผุดผ่องแปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์

ซูอี้ตบไหล่เด็กสาวด้วยความสงสารและกล่าวว่า “ช่างเถอะ อันที่จริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าให้สัญญากับเจ้าได้แน่นอนก็คือ ตราบใดที่เจ้าต้องการ ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีเสมอ”

เหวินหลิงเสวี่ยรู้สึกอบอุ่นในใจและพยักหน้า

เมื่อกินเสร็จทุกคนก็เตรียมแยกย้ายกันไปบ่มเพาะต่อ

ซูอี้นอนอยู่บนเก้าอี้หวายในศาลา และเริ่มสอบถามเกี่ยวกับการบ่มเพาะของเหวินหลิงเสวี่ย ก่อนจะให้คำแนะนำ

“หลิงเสวี่ย จำไว้ เจ้าต้องบ่มเพาะช้าลงหน่อยในช่วงเริ่มต้นของขอบเขตรวบรวมลมปราณ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะมีปราณวิญญาณไม่เพียงพอในการปรับแต่งและเปิดจุดเบิกวิญญาณทั้งหนึ่งร้อยแปดช่อง”

“ไม่พอ?”

“ถูกต้อง จุดเบิกวิญญาณแต่ละจุดเปรียบเสมือนบ่อกักเก็บปราณวิญญาณขนาดเล็ก หากเจ้าเปิดพวกมันไม่สมบูรณ์ทั้งหมด เจ้าจะไม่สามารถทะลวงขอบเขตขั้นต่อไปได้”

“แล้วพี่เขยตอนนี้สำเร็จแล้วหรือยัง?”

“ข้าไปถึงยังขั้นตอนสุดท้ายแล้ว”

…บทสนทนาเช่นนี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลาพักใหญ่โน เวล กู ดoท คoม

ยามพลบค่ำ เหวินหลิงเสวี่ยลุกขึ้นก่อนจะเอื้อนเอ่ย “พี่เขย ข้าต้องกลับไปยังสำนักดาบชิงเหอแล้ว เอาไว้เราค่อยพบกันใหม่”

ซูอี้พยักหน้าและยื่นถุงผ้าที่เตรียมไว้ให้ “ในนี้คือสมุนไพรวิญญาณสำหรับบ่มเพาะ เจ้าจงนำพวกมันไปใช้มัน และนับจากนี้ทุกครั้งที่เราเจอกันข้าจะให้เจ้าเพิ่มอีก เจ้าจะได้มีใช้ไม่ขาดมือ”

ซูอี้รู้ดีว่าด้วยทรัพยากรทางการเงินของตระกูลเหวิน เหวินหลิงเสวี่ยไม่มีทางมีทรัพยากรบ่มเพาะที่เพียงพอได้แน่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เด็กสาวคนนี้อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตโคจรโลหิตด้วยแล้ว ทั้งนางยังบ่มเพาะเคล็ดวิชาหยกวิญญาณธาตุลึกล้ำ ซึ่งจำนวนสมุนไพรวิญญาณที่นางต้องใช้บ่มเพาะนั้นจะต้องการมากขึ้นทุกวัน

ภายใต้เงื่อนไขนี้ ต่อให้นางมีทรัพยากรการบ่มเพาะจากสำนักดาบชิงเหอที่แจกจ่ายทุกเดือนมาสนับสนุนเพิ่ม มันก็ยังคงไม่เพียงพออยู่ดี

หัวใจของเหวินหลิงเสวี่ยเต้นระส่ำเล็กน้อย ดวงตางดงามของนางจ้องไปที่ซูอี้ครู่หนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากจะยกยิ้มสดใสและกล่าวว่า “พี่เขย ข้าจะไม่ปฏิเสธน้ำใจของท่าน แต่ถ้าในอนาคตข้ามีโอกาสช่วยท่านบ้าง ท่านก็อย่าได้ปฎิเสธข้าแล้วกัน!” เอ่ยคำจบนางก็หยิบกระเป๋าสัมภาระของนางแล้วโบกมือ

“ข้าไปก่อนล่ะ!”

เด็กสาวเดินจากไปอย่างร่าเริง และไม่นานร่างเพรียวบางของนางก็หายไปภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง

ซูอี้ถอนสายตาของเขา ยิ้มเล็กน้อย และพูดด้วยอารมณ์ “หลิงเสวี่ย เจ้าโตขึ้นมากจริง ๆ”

จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและกลับไปที่ห้องของตนเอง นั่งบ่มเพาะปรับแต่งจิตวิญญาณของตนเองต่อโดยใช้เคล็ดจากคัมภีร์เขากลายสู่อิสระ

การบ่มเพาะก็เหมือนงานบ้าน ต้องทำทุกวันไม่ควรละเลย

ซูอี้ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองหย่อนยาน

อีกด้านหนึ่ง

กลางแม่น้ำต้าฉาง เรือลำหนึ่งกำลังแล่นข้ามเกลียวคลื่น

“อี้เหริน ยามข้าไปถึงมหานครอวิ๋นเหอ ข้าจะไปเยี่ยมมู่ชางถูก่อนเพื่อดูว่าจะหาต้นกล้าดี ๆ จากสำนักดาบชิงเหอได้หรือไม่”

“ส่วนตัวเจ้า จงรีบเร่งไปช่วยข้าตรวจสอบที่อยู่ของคุณชายซูอี้คนนั้น และเมื่อใดที่ข้าเสร็จธุระแล้ว ข้าจะไปพบเขา”

บนลำเรือ ชายร่างสูงตระหง่านราวกับทวนในชุดแต่งกายแบบโบราณกำลังยืนเอามือไพล่หลัง

สีผิวของเขาเปล่งปลั่งราวกับทองสัมฤทธิ์ ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายขึงขังดูราวกับผ่านสมรภูมินองเลือดมามากมาย

เฉินเจิ้ง

‘จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง’ หนึ่งในสิบแปดจวิ้นอ๋องแห่งต้าโจว!

กองทัพเกราะเขียวภายใต้การบัญชาการของเขาได้ประจำการอยู่ที่ตีนเขามารบุปผาโลหิตตลอดทั้งปี ทั้งเขาและเหล่าทหารกล้าใต้บัญชาสังหารสัตว์อสูรไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน สร้างผลงานความชอบต่อราชสำนักมากมาย

“รับทราบ!” จางอี้เหรินรับคำสั่งด้วยความเคารพยิ่ง

อย่างไรก็ตาม หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลังเล “นายท่าน อันที่จริงผู้น้อยมีบางเรื่องอยากจะกล่าว แม้ว่าคุณชายซู ภายนอกดูธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วตัวเขานั้นหยิ่งผยอง เมื่อท่านพบเขา ผู้น้อยขอแนะนำว่าอย่าได้ถือสากับการกระทำของเขาให้มากเกินไป”

เฉินเจิ้งพยักหน้า “ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว มนุษย์ยิ่งมีความสามารถมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเย่อหยิ่งมากเท่านั้น ตามที่เจ้าพูด ซูอี้คนนี้เป็นคนไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะหยิ่งผยอง วางใจได้ ในชีวิตของข้าเฉินเจิ้ง ผู้คนมามากมายล้วนเคยพบปะ ข้ารู้ดีว่าจะต้องรับมือกับผู้คนประเภทนี้อย่างไรจึงจะเหมาะ นับจากนี้ข้าหวังแค่ว่าเขาจะดีจริงอย่างที่เจ้าบอกมา”

เสียงของเขาดังก้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ

จางอี้เหรินกล่าวพร้อมกับยิ้ม “ข้าเชื่อว่าคุณชายซูจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน” กระนั้นแล้วหลังจากพูดจบประโยคไปครู่ เขาถามต่อ “ว่าแต่นายท่าน เมื่อเร็ว ๆ นี้องค์ชายหกถูกโจมตีบนเรือของเรา ท่านมีความเห็นจะทำเช่นใด?”

เฉินเจิ้งขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ชีวิตนี้ ข้าชิงชังที่สุดคือการแก่งแย่งชิงบัลลังก์ของราชวงศ์ ตามที่ข้าเดา ข้าคิดว่าเบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้จะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับองค์ชายคนอื่นแห่งต้าโจว เรื่องเช่นนี้เราไม่ควรเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยว จะเป็นการดีที่สุด”

ในขณะเดียวกัน เรือได้มาถึงท่าเรือนอกเขตมหานครอวิ๋นเหอแล้ว

“เราแยกย้ายกันไปเถิด”

หลังจากพูดจบ ร่างของเฉินเจิ้งพลันหายไปอย่างฉับพลันและไปปรากฏอีกที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปเกือบสิบจั้ง

“นายท่านช่างยอดเยี่ยมเสมอมา…”

จางอี้เหรินถอนหายใจด้วยความชื่นชม ก่อนจะรีบเดินไปทางประตูเมือง

“คนคนนั้นน่าจะเป็นเฉินเจิ้ง จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงไม่ใช่หรือ? ทำไมเขาถึงมาที่มหานครอวิ๋นเหอเช่นนี้?

ในเวลาเดียวกันบนเรือบรรทุกสินค้าอยู่ใกล้ท่าเรือ

ชายชราสวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าโบราณกำลังขมวดคิ้วจ้องมอง ข้าง ๆ กายเขามีหญิงสาวสวยวัยกลางคนแต่งหน้าจัดผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างเกียจคร้าน พลางเอ่ยออก “ภารกิจของเราในครั้งนี้คือการจับเวิงอวิ๋นฉี และนำชิ้นส่วนของจี้หยกวิญญาณกลับมา เรื่องอื่นเราไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”

อีกฝั่งหนึ่งของชายชราในชุดนักพรตเต๋า ชายรูปร่างผอมหน้าซีดเซียวราวกับป่วยไข้ เอ่ยถาม “แน่ใจหรือ? ว่าเวิงอวิ๋นฉีอยู่ในมหานครอวิ๋นเหอจริง?”

ยามเอ่ยพูด สายตาของชายป่วยไข้จับจ้องไปที่เนินอกของหญิงวัยกลางคนไม่วางตา คอเสื้อของนางแหวกออกชัดเจน แลเห็นเช่นนี้ อดไม่ได้ลอบกลืนน้ำลายเงียบงัน หญิงคนนี้ยิ่งนานวันก็ยิ่งเปิดเผยมากขึ้นเรื่อย ๆ!

หญิงงามวัยกลางคนขยิบตาและพูดเบา ๆ ว่า “รับชมขนาดนี้ ทำไมคืนนี้ไม่มานอนในห้องข้าสักหน่อย? ช่วงนี้ข้ากำลังคิดอยู่ว่าอยากได้ซากศพเพิ่มอีกสักหนึ่ง!”

“พอได้แล้ว!”

“เวิงอวิ๋นฉีอยู่ในมหานครอวิ๋นเหอแน่นอน นายท่านหัวหน้าสาขาได้ข่าวนี้จากสายลับว่าไอ้เฒ่าคนนั้นแอบไปหลบซ่อนในมหานครอวิ๋นเหอเมื่อเจ็ดวันก่อน แต่เขาระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ซ้ำที่ซุ่มซ่อนยังไม่แน่นอน ผู้บ่มเพาะระดับล่างไม่มีทางหาร่องรอยเขาเจอ”

ชายชราในชุดนักพรตเต๋าเอ่ยจบ ก็หยิบเทียนสีเลือดจากในเสื้อคลุมของตนเองออกมาแล้วยื่นให้ชายหน้าซีดป่วยไข้พร้อมกับกล่าวออก “นี่คือ ‘เทียนสะกดรอยวิญญาณ’ เทียนเล่มนี้เป็นสิ่งที่เวิงอวิ๋นฉีหล่อหลอมขึ้นตามกฎของสำนักตอนเข้าร่วม เจ้าจงนำมันไปตามหาร่องรอยของเขา”

ชายหน้าซีดมองเทียนสีเลือดแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ด้วยสิ่งนี้ ภายในสามวัน ข้าย่อมหาตาเฒ่านั่นพบเป็นแน่!”

“เซียงหลาน เจ้าเข้าไปในเมืองเพื่อค้นหาสถานที่เหมาะ ๆ สำหรับตั้งแท่นบูชานี้ หากเราเผชิญกับภัยคุกคามที่น่าหวั่นเกรง เราจะได้ใช้มันเป็นวิถีทางรอดของเราได้”

ชายชราในชุดนักพรตเต๋ามอบภาระหนักให้กับหญิงงามวัยกลางคน “จงจำไว้ว่านี่เป็นศาสตราวิเศษราคาแพง จงทะนุถนอมมันให้ดี”

“แล้วท่านเล่า?” หญิงงามวัยกลางคนถามกลับ

ชายชราในชุดนักพรตเต๋าดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบ “ข้าจะไปเยี่ยมเยียนสหายเก่า หากเราได้รับความช่วยเหลือจากเขา เวิงอวิ๋นฉีจะไม่มีทางหลุดมือเราไปได้แน่นอน!”

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset