📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 669

บทที่ 669 - สายฟ้าน้ำค้างแข็ง
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“หือ!”

เย่ซุ่นตกใจยามเมื่อเห็นอาวุธวิเศษชิ้นนี้

ในขณะเดียวกัน…

เสียงกัมปนาทหนึ่งก็ดังมาจากไกล ๆ

“เร็วเข้า หยุดมันไว้ ต้องเป็นสมบัติชั้นยอดเป็นแน่!”

“ตามไป!”

ลำแสงจากการทะยานของผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งพุ่งมาจากไกล ๆ แหวกอากาศจนเกิดเสียงดังหวีดหวิว

ทว่าเศษอาวุธวิเศษชิ้นนี้รวดเร็วนัก มันพุ่งมาหาพวกซูอี้ในพริบตา

หากกล่าวให้ถูกก็คือ มันพุ่งมาหาเย่ซุ่น!

ในยามนี้ เหมือนในที่สุดเย่ซุ่นจะเข้าใจแล้ว และยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว

ฟิ้ว!

เศษอาวุธวิเศษร่วงลงสู่มือเย่ซุ่นราวนางแอ่นคืนรัง

เมื่อมองใกล้ ๆ เศษอาวุธวิเศษชิ้นนี้เป็นสีเงินขาวราวหิมะ เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ ทว่าผิวนอกของมันกระดำกระด่าง มีร่องรอยสนิมกัดกิน

มันหมุนคว้างบนฝ่ามือของเย่ซุ่น เปล่งประกายน้อย ๆ เยี่ยงดวงดารา ดูตื่นเต้นยิ่งนัก

เมื่อหันมองเย่ซุ่นอีกครั้ง ใบหน้าของเขาก็ปรากฏความตื่นเต้น เหม่อลอย และความโล่งใจให้เห็นจาง ๆ

“นี่คือเศษสมบัติที่เจ้าทิ้งไว้หรือ?”

ซูอี้ถามอย่างครุ่นคิด

เย่ซุ่นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว สีหน้าหวนคิดถึง กล่าวราวกับกำลังหวนรำลึก “ขอรับ เดิมทีนี่คือดาบของข้า ‘สายฟ้าน้ำค้างแข็ง’ น่าเสียดายที่มันถูกทำลายในการต่อสู้กับพวกพัศดี ไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านไปนานนับหมื่นปี เศษของสายฟ้าน้ำค้างแข็งจะยังจำข้าได้…”

ซูอี้เข้าใจแล้ว

สายฟ้าน้ำค้างแข็งเล่มนี้เป็น ‘สมบัติวิญญาณ’ ชิ้นหนึ่ง

หมายความว่า ในสายตาโลกหล้า สมบัติชิ้นนี้อยู่ในระดับจักรพรรดิ

กล่าวโดยภาครวม สมบัติวิญญาณที่แข็งแกร่งจะมีจิตวิญญาณอันอัศจรรย์เกินเทียบได้ และสมบัติบางชิ้นอาจมีกระทั่งวิญญาณเป็นของมันเอง

สมบัติในลักษณะนี้มักจะมีพลังเพียงพอจะแผดเผานภาทลายปฐพี

แม้จะไร้พลังจากผู้เป็นนาย แต่พลังของจิตวิญญาณในตัวสมบัติเหล่านั้นก็พอจะเป็นภัยต่อผู้ใดก็ตามในขอบเขตต่ำกว่าจักรพรรดิแล้ว!

“สหายเอ๋ย ข้าพบเศษสมบัติวิเศษนี้ก่อน โปรดคืนสมบัตินี้มาด้วย” กลุ่มผู้ฝึกตนที่พุ่งมาไกล ๆ มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

พวกเขามีกันราวสิบกว่าคน เห็นได้ชัดว่ามาจากฝ่ายเดียวกัน

ผู้เอ่ยปากคือชายวัยกลางคนในชุดหนังงู สูงใหญ่แข็งแรง เป็นมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ

ยามเมื่อเขาพูด กลุ่มของชายวัยกลางคนก็เริ่มตีวงโอบล้อมพวกเขาด้วยท่าทีพร้อมต่อสู้หากความเห็นไม่ลงรอย

“เฮ้อ เมื่อมังกรถูกกับดักก็ถูกกุ้งรังแก ยามพยัคฆ์ตกหล่มก็ถูกหมารังแก กาลก่อน ปลาซิวปลาสร้อยจะกล้าพูดกับข้าเช่นนี้หรือ?”

เย่ซุ่นถอนหายใจ

ชายในชุดสีเงินคนหนึ่งเบ้หน้าและกล่าวกระแทกกระทั้น “ขอทานเฒ่า เจ้าแสร้งทำทีใหญ่โตพล่ามไร้สาระอันใดอยู่!?” โนเวล-พีดีเอฟ

เย่ซุ่นชะงักค้าง เงื้อมือเล็กน้อยพลางดุด่าชายชุดสีเงินอย่างโกรธเคือง “ปากพล่อย คอยดูเถิด เจ้าจะคุกเข่ากราบข้าเป็นบรรพชนในภายหลัง! แต่ไม่ เจ้าไม่คู่ควรเป็นทายาทให้ข้ายอมรับหรอก!”

ชายในชุดสีเงินชักกระบี่ออกด้วยจิตสังหารรุนแรง “ไร้สาระ ส่งสมบัตินั่นมาเดี๋ยวนี้ หาไม่ พวกเจ้าอย่าหวังมีชีวิตรอด!”

คนอื่น ๆ เองก็ดูสีหน้าย่ำแย่

ไม่ใช่พวกเขาไร้ตาหรอก

ทว่าซูอี้ดูเยาว์วัย และกลิ่นอายของชายหนุ่มก็เบาบางนัก ดังนั้นในสายตาพวกเขา ซูอี้จึงดูจืดจางอย่างสมบูรณ์

ในขณะเดียวกัน ภาพลักษณ์ของเย่ซุ่นก็ดูซอมซ่อเกินไป สภาพร่างกายดูไม่ได้ และทุกการกระทำดูไร้ราศี

เหตุใดพวกผู้ฝึกตนเหล่านั้นจะต้องสนใจพวกเขาด้วย?

แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขามีชายวัยกลางคนในชุดหนังงูและผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณคนอื่น ๆ ล้อมอยู่!

แม้ว่าต้าเซี่ยในช่วงนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงมากมาย ทว่าโลกทุกวันนี้ บทบาทของผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณก็ยังเป็นตัวตนระดับสูงสุด!

“พี่เขย ท่านคิดเช่นไร?”

เย่ซุ่นหันมองซูอี้โดยไม่รู้ตัว

ด้วยความสามารถของเขาในยามนี้ เว้นเพียงใช้วิชาต้องห้ามออกมาอย่างไร้ปรานี ตัวเย่ซุ่นจะไม่ใช่คู่ต่อกรของผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจริง ๆ…

และการใช้วิชาต้องห้ามรังแก่จะทำให้สถานการณ์ของเขาแย่ลง

เพราะถึงอย่างไร เขาในยามนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยววิญญาณที่หลงเหลืออยู่ กระทั่งร่างของเขายังเป็นซากศพที่เพิ่งยืมมาแบบสุ่ม ๆ ซึ่งพอจะถือได้ว่าเป็นการ ‘ยืมศพคืนชีพ’

“เมื่อเจ้าไร้คุณสมบัติให้หยิ่งผยอง จงนิ่งสงบเข้าไว้”

ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ

เย่ซุ่นกล่าวอย่างเขิน ๆ “เพราะพี่เขยข้าอยู่ที่นี่หรอก ดังนั้นต่อให้นภาถูกทะลวง ข้าก็ไม่กลัว”

ซูอี้ “…”

โชคดีที่เขารู้อุปนิสัยของเจ้าเด็กเย่ซุ่นตั้งแต่ในอดีต หาไม่แล้วเกรงว่าคงมีตบเจ้าบ้าที่ชอบใช้นามของเขาราวจิ้งจอกยืมหนังเสือให้ตายไปข้าง

เมื่อพวกเขาได้ยินคำสนทนาระหว่างทั้งสอง ชายวัยกลางคนในชุดหนังงูและพรรคพวกก็นิ่งไปในคราแรก และจากนั้นก็หัวเราะลั่น

เจ้าแก่ซอมซ่อเหมือนขอทานนี่ เรียกชายหนุ่มผู้หนึ่งว่าพี่เขย!?

ซ้ำยังถือชายหนุ่มผู้นั้นเป็นผู้หนุนหลัง?

มองเช่นไรก็น่าขันนัก

พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!

จู่ ๆ ก็เกิดเสียงแหวกอากาศดังมาจากระยะไกล

ตามมาด้วยแสงทะยานอีกหลายสิบที่พุ่งมายังที่นี่

สีหน้าของพวกชายวัยกลางคนในชุดหนังงูเปลี่ยนแปร

“รีบส่งสมบัตินั่นมาซะ!”

ชายในชุดสีเงินกระวนกระวาย ข่มขู่เย่ซุ่นอย่างดุร้าย

ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้ขยับตัว เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ที่แท้ก็เป็นสหายจากสกุลฉี ช่างโชคดี พวกเจ้าพบเศษสมบัติชิ้นหนึ่ง!”

เสียงนั้นมาจากในหมู่แสงที่ทะยานมาหา

ผู้นำของพวกเขาเป็นชายชุดสีน้ำเงินผู้มีหนวดระย้าเยี่ยงต้นหลิวโuเวลกูดoทคอม

“ซุนซ่างหลิ่ว? อันใดนี่ พวกเจ้าสำนักเมฆาวารีก็คิดเข้ามาลงปลักโคลนด้วยหรือ?”

ชายวัยกลางคนในชุดหนังงูหน้าเสีย เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายคือหนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่แห่งแคว้นซาเหอ ผู้ฝึกตนจากสำนักเมฆาวารี

ชายชุดสีน้ำเงินผู้นำหน้าพวกเขาคือซุนซ่างหลิ่ว รักษาการเจ้าสำนักเมฆาวารี

ตัวตนที่อยู่ในขั้นปลายของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!

ซุนซ่างหลิ่วถอนหายใจ “ในช่วงเวลานี้ ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนแทบจะปล้นโอกาสน้อยใหญ่ในเมืองผีหลิงหลงไปหมดแล้ว ยามนี้เมื่อในที่สุดก็ได้พบสุดยอดโอกาสสัมพันธ์เช่นนี้ เราสำนักเมฆาวารี… จะยอมพลาดได้เช่นไร?”

กล่าวจบ เขาก็เมินชายวัยกลางคนในชุดหนังงูไปมองเย่ซุ่นและกล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “สหาย ขอเพียงเจ้ายอมส่งเศษสมบัตินั่นมา เม็ดโอสถจิตวารีระดับหกมูลค่าแปดร้อยศิลาวิญญาณนี้จะเป็นของเจ้า”

เขาหยิบขวดหยกออกมาส่ายเบา ๆ

เย่ซุ่นกลอกตามองชายวัยกลางคนในชุดหนังงู เติมเชื้อไฟใส่กองเพลิง “สหาย เจ้าทนการกระทำเยี่ยงนี้ได้หรือ?!”

ไม่ว่าใครก็เห็นได้ว่าเขาไม่ยินยอม

ซุนซ่างหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะเก็บขวดหยกในมือพลางแค่นเสียงเย็นชา “ไม่คิดดื่มเหล้าฉลอง จะดื่มเหล้าลงทัณฑ์!”

ตู้ม!

แขนเสื้อของเขาพองตัว ฟาดแขนขวา ห้านิ้วคว้าเข้าหาเย่ซุ่นทันที

ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนในชุดหนังงูก็ลงมือ ชกออกมาขวางฝ่ามือของซุนซ่างหลิ่วทันควัน

ท่ามกลางเสียงปะทะ ชายวัยกลางคนในชุดหนังงูกล่าวอย่างเย็นชา “ซุนซ่างหลิ่ว เจ้าไม่มองตระกูลฉีของข้าในสายตาแม้แต่น้อย! บอกไว้นะว่าตระกูลฉีของข้าจะนำเศษสมบัติชิ้นนี้ไปให้จงได้ ผู้ใดกล้าปล้นมัน ผ่านตระกูลฉีของข้าไปก่อน!”

เหล่าผู้ฝึกตนรอบกายเขาต่างสีหน้าย่ำแย่ มองคนจากสำนักเมฆาวารีอย่างเย็นชา

“จริงหรือ? งั้นข้าก็จะทิ้งข้อความไว้เช่นกัน เศษสมบัติชิ้นนั้นเป็นของสำนักเมฆาวารีของข้า!”

ซุนซ่างหลิ่วกล่าวอย่างเย็นชา

“หยุดเถียงกันได้แล้ว!”

เย่ซุ่นตะโกนลั่น “ฟังข้านะ สู้กันเถิด!”

ทุกคน “…”

ชายวัยกลางคนในชุดหนังงูมุมปากกระตุก เขาอยากตบเจ้าแก่นี่ให้ตายนัก

ไม่ไกลนัก สีหน้าของซุนซ่างหลิ่วเองก็ย่ำแย่ลง

เขากล่าวช้า ๆ “พี่ฉี ไยเราจึงไม่ฆ่าเจ้านี่ก่อน แล้วจึงมาคุยกันว่าผู้ใดจะถือครองสมบัตินั่นเล่า?”

ชายวัยกลางคนในชุดหนังงูเงียบไปครู่หนึ่ง จึงกัดฟันกล่าวว่า “ได้!”

สายตาของเขาจับจ้องเพียงเย่ซุ่น

สีหน้าของเย่ซุ่นแข็งค้าง ผรุสวาทกลับ “มองข้าเพื่ออันใด กัดกันเป็นหมาต่อไปสิ!”

ซูอี้ “…”

เขาอดเอามือก่ายหน้าผากไม่ได้

ทุกคน “…”

พวกเขาเห็นคนเย่อหยิ่งมามากมาย ทว่าไม่เคยพบพานผู้เย่อหยิ่งถึงเพียงนี้ ทำกระทั่งเรื่องชั่วร้ายอย่างยุแยงให้แตกกัน ทว่ากลับอ้างคุณธรรมอย่างไร้ปิดบัง!

“ฮ่า ๆๆ สหายผู้นี้น่าสนใจนัก!”

จู่ ๆ เสียงหัวเราะดังลั่นก็ดังขึ้น ชายในชุดสีทองผู้มีหนวดเคราหนา ถือง้าวสั้นสีดำก็ก้าวมาจากบนอากาศ

บรรยากาศรอบร่างของเขาสะท้านทั่วโลกา ร้ายกาจยิ่งนัก

เยว่สิงซาน!

เมื่อเห็นผู้มาใหม่ สีหน้าของชายวัยกลางคนในชุดหนังงู ซุนซ่างหลิ่วและยอดฝีมืออื่น ๆ จากสำนักเมฆาวารีก็เปลี่ยนผันเล็กน้อย แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา

เยว่สิงซานเป็นศิษย์สำนักในของสำนักอันดับหนึ่งของแคว้นซาเหออย่าง ‘สำนักมกรกุญชร’ และยังเป็นผู้ฝึกตนอาวุโสผู้หนึ่งด้วย

ไม่นานมานี้ สำนักมกรกุญชรได้ยอมสยบต่อหนึ่งในสามขุมอำนาจใหญ่จากต่างโลก ‘สำนักมารแปรดารา’!

นี่คือสิ่งที่ผู้คนกลัวที่สุด

การมีร่มไม้ใหญ่ให้พึ่งพิงนั้นเป็นเรื่องดี ทว่าในยุทธจักร เมื่อได้รับการหนุนหลังโดยพรรคระดับสูงสุด แม้จะมีการฝึกฝนย่ำแย่ ใครเล่าจะกล้าพิพาทด้วย?

อย่าว่าถึงเรื่องที่เยว่สิงซานก็เป็นมหาปราชญ์สวรรค์ในวิถีวิญญาณด้วยเลย!

การมาของเขาก็ยังทำให้บรรยากาศรอบข้างหดหู่ลงในฉับพลันด้วย

มีเพียงซูอี้ที่ดูเยือกเย็น มองไปรอบ ๆ อย่างครุ่นคิด

เขาเห็นได้ว่า ไม่ว่าผู้ฝึกตนเหล่านี้จะมาจากขุมอำนาจใด แต่พวกเขาดูจะใส่ใจเศษดาบวิถีสายฟ้าน้ำค้างแข็งในมือเย่ซุ่นมากนัก

ยามนี้ เย่ซุ่นถามขึ้นว่า “เจ้าก็มาที่นี่เพื่อเศษอาวุธนี้หรือ?”

เยว่สิงซานพยักหน้าพลางยิ้ม ก่อนกล่าวว่า “ถูกต้อง เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นชิ้นส่วนสมบัติระดับจักรพรรดิ กล่าวได้ว่าประเมินค่าไม่ได้ และในช่วงนี้ เหตุผลที่ผู้ฝึกตนมากมายรีบเร่งเข้ามายังเมืองผีหลิงหลงนี้ ก็เพื่อตามหาเศษสมบัติเหล่านี้อย่างไรเล่า”

แววตาของเย่ซุ่นซับซ้อน เขาไม่เคยคิดว่าเศษดาบที่ตนทิ้งไว้จะกลายเป็นอาหารอันโอชะในสายตาของเหล่าผู้ฝึกตนทุกวันนี้…

“ก็แค่เศษอาวุธวิเศษสองสามชิ้น ไม่ว่าจะมูลค่าสูงเพียงไรก็ไม่เห็นต้องใส่ใจมันนักเลยนี่ มีเหตุผลอื่นหรือไม่?”

ซูอี้ผู้เฝ้ามองอยู่แต่ต้นถามขึ้น

เยว่สิงซานกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้หรือว่า โถงวิญญาณหยินทมิฬให้สัญญาเมื่อไม่นานนี้ ว่าหากผู้ใดเก็บเศษสมบัติเช่นนี้ไปให้พวกเขาได้ จะได้รับรางวัลอย่างงามหาใดเทียบ”

“ในช่วงเวลานี้ มีผู้ฝึกตนมากมายที่ได้รับรางวัลมากพอให้ผู้อื่นอิจฉาจากการส่งเศษสมบัติที่ตนเจอให้พวกเขาแล้ว”

ซูอี้พลันตระหนักว่านี่คือเหตุผล

โถงวิญญาณหยินทมิฬถูกสร้างขึ้นโดยเย่ซุ่น

ผู้ฝึกตนในโถงวิญญาณหยินทมิฬย่อมรู้ดีที่สุดว่าเศษดาบวิถีสายฟ้าน้ำค้างแข็ง อันเป็นดาบของบรรพชนของพวกเขามีค่าเพียงไร

เย่ซุ่นตะลึง ดูโล่งใจเล็กน้อยและพึมพำ “พี่เขย ดูเหมือนศิษย์ของข้าจะยังไม่ลืมข้านะ”

ซูอี้กล่าวเบา ๆ “พวกเขาก็แค่พยายามเก็บสมบัติที่เจ้าทิ้งไว้เท่านั้นต่างหาก”

เย่ซุ่น “…”

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset